Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 152

A World Worth Protecting 152

บทที่ 152 ศิษย์เอกของผู้อาวุโสสูงสุด

ทะเลวัตถุเวทล้อมคู่ต่อสู้ทั้งสองเอาไว้ จนทั้งคู่ไม่สามารถเปิดฉากโจมตีได้เลย สองคู่หูก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อโดนล้อมด้วยวัตถุเวทพลังทำลายล้างราวคลังแสง พวกมันกะพริบวาบเหมือนจะระเบิดตัวทันทีเมื่อแตะโดน

ความรู้สึกราวกับมีมีดจ่อมาที่คอหอยอย่างไม่ผิดเพี้ยน ความรู้สึกถูกคุกคามที่ไม่รู้ว่าจะเปิดฉากขึ้นเมื่อไหร่นี้ ทำให้ทั้งสองแทบคลั่ง หากพวกเขาไม่รู้ว่าวัตถุเวทของ     หวังเป่าเล่อแต่ละชิ้นทำอะไรได้บ้าง คงจะยอมเสี่ยงเข้าโจมตีแล้ว แต่หวังเป่าเล่อกลับ…บรรยายคุณสมบัติของแต่ละชนิดอย่างละเอียดเห็นภาพเป็นฉากๆ เมื่อได้เห็น     วัตถุเวทที่กะพริบแสงราวกับระเบิดเวลากระจัดกระจายอยู่รอบตัวตนเอง แค่คิดภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากแตะโดนวัตถุเหล่านั้นเข้า ก็ทำให้ทั้งสองหน้ามืดด้วยความหวาดหวั่นเสียแล้ว

สองคู่หูเริ่มตื่นตระหนก หัวใจเต้นเร็วด้วยความกลัวจับใจ อารมณ์ขุ่นหมองด้วยความโกรธและความกลัวตีกันยุ่งจนอธิบายไม่ถูก แต่ก็อดคิดในใจไม่ได้ว่าตนเองโดนหวังเป่าเล่อและลู่จื่อหาวต้มเข้าเสียแล้ว คนที่พวกเขาควรจะกักขังไว้ในกรงพายุไม่ใช่ลู่จื่อหาว แต่เป็นผู้ช่วยจากตำหนักอาวุธเวทคนนี้ต่างหาก

“ข้าว่าแล้วว่าไอ้ลู่จื่อหาวมันกะต้มพวกเรา ตอนที่มันพุ่งเข้ามาหาเราแบบนั้น แถมยังตะโกนเสียงดังตีโพยตีพาย มันต้องตั้งใจให้เป็นแบบนี้แน่ๆ! ไอ้ลู่จื่อหาวมันพยายามดึงความสนใจไปที่ตัวเอง พวกเราจะได้ขังมันแทน! ไม่น่าเล่นไปตามกลของมันเลย!”

ทั้งสองมองหน้ากันเองแบบจนปัญญา ก่อนหันไปมองลู่จื่อหาวที่ยังคงติดอยู่ในกรงขังพายุหมุน และพยายามเตะต่อยโจมตีพายุนั้นอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่รู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างที่โลกภายนอก

“ไอ้หมอนี่มันมารยาจริงๆ! ดูสิ ยังแสดงอยู่เลย!” ทั้งคู่ก่นด่าลู่จื่อหาวพลางกัดฟันกรอดกับสิ่งที่คิดว่าเป็นภาพละครตรงหน้า พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับความพ่ายแพ้ไปในที่สุด ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่ดูอยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง           ต่างตื่นตะลึงกับทะเลวัตถุเวทมากมายมหาศาลของหวังเป่าเล่อ ทุกคนหายใจสะดุดด้วยความตกใจ ก่อนจะระเบิดเสียงคุยกันขึ้น

“หวังเป่าเล่อเปลี่ยนวิธีขายแล้ว! คราวนี้เขาใช้โฆษณาแฝง!”

“ข้าก็เคยเห็นพวกคนที่ชอบตะโกนบอกชื่อและสรรพคุณของวัตถุเวทตนเองมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นใครอธิบายละเอียดเป็นฉากๆ แบบนี้มาก่อนเลย…”

ผู้ชมหลายหมื่นคนบนเกาะต่างคิดว่าหวังเป่าเล่อจะยอมหยุด เมื่อโดนปรามจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครคาดคิดว่ารายการเปิดท้ายขายของนี้จะดำเนินต่อไป…แม้ทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่าหวังเป่าเล่อทำทั้งหมดนั่นเพื่อการโฆษณาโดยเฉพาะ       แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้

นั่นก็เพราะหวังเป่าเล่อไม่ได้โฆษณาขายให้ผู้ชมฟังแบบโต้งๆ เหมือนเมื่อก่อนหน้าแล้ว แต่เขาแค่ตะโกนบอกสรรพคุณของกระบวนท่าโจมตีของตนเองเท่านั้น      กลยุทธ์ของหวังเป่าเล่อนี้คลุมเครือเกินกว่าจะคาดโทษไปได้ว่าตั้งใจขายของแน่นอน เพราะเขาก็อาจอ้างได้เช่นกันว่าตนเองมีนิสัยชอบร้องเตือนคู่ต่อสู้ถึงการโจมตีที่กำลังจะมาถึง เพราะเป็นคนใจดีโดยธรรมชาติ

หากพูดกันจริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีโฆษณาแฝงแบบนี้เกิดขึ้น คนอื่นที่เคยเข้าร่วมการประลองก็ทำเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีใครโจ่งแจ้งโผงผางเท่าหวังเป่าเล่อ        ที่บรรจงจุดพลุเรียกความสนใจจากผู้ชมก่อนเริ่มบรรยายสรรพคุณ…

ผู้ชมบนอัฒจันทร์เองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กับการกระทำที่จงใจ     ฉวยโอกาสจากความคลุมเครือนี้ ท่านแม่ทัพโจวมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาฉายแววสนใจอย่างแจ่มชัด ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเรียกความสนใจจากท่านแม่ทัพได้อยู่หมัด โจวลู่ที่ยืนอยู่ข้างกายท่านก็ยิ้มเยาะที่มุมปากอย่างพึงพอใจ พลางคิดว่าแผนการแก้แค้นของนางใกล้สำเร็จผลแล้ว

“หวังเป่าเล่อ โจวลู่คนนี้ ไม่ใช่คนต่ำช้าขนาดจะนำอำนาจมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่เจ้านี่แหละ คือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจนี้!”

บรรดาผู้อาวุโสจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น      ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงถอนใจ ก่อนลอบมองผู้อาวุโสประจำตำหนักการยุทธ์ ที่บัดนี้สีหน้าเข้มคล้ำเหมือนถ่านหินด้วยความทุกข์ระทม เขากระแอมไอก่อนเอ่ยปากขึ้นเองเป็นครั้งแรก

“หวังเป่าเล่อ ต่อไปนี้เจ้าห้ามจุดพลุอีก!”

เสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยแรงกดดันที่สะพัดไปทั่วลานประลอง ผู้เข้าร่วมแข่งขัน   ทุกคนต่างตระหนักรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น เพราะได้ยินชื่อหวังเป่าเล่อในประกาศถึงสองครั้งสองคราด้วยกันในระยะเวลาอันสั้น

แต่แค่นี้หวังเป่าเล่อก็พอใจในผลงานของตนแล้ว ถึงจะถูกต่อว่าต่อหน้าธารกำนัลมากมาย เขาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายหรือเสียใจ เพราะว่าได้โฆษณาสรรพคุณของวัตถุเวทที่ตนต้องการขายครบถ้วนแล้วทุกชิ้น ชายหนุ่มดีใจเป็นล้นพ้นที่แผนของตนสำเร็จผล เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ยอมแพ้ เขาก็วาดมือขวาเพื่อเก็บเอาวัตถุเวททั้งหมดกลับมาไว้ที่ตน

ฉากนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจมากจากระยะไกล แสงเรืองรองที่สว่างจากวัตถุเวทหลายสิบชิ้นรายล้อมหวังเป่าเล่อไว้ ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มเรืองไปด้วยแสงสว่างรุ่งโรจน์ ภาพนี้ติดอยู่ในใจของผู้ชมบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงอย่างไม่รู้ลืม

ในทันทีที่คู่ต่อสู้ของพวกเขายอมจำนน เสียงกึกก้องก็ดังตามมา ซึ่งก็คือ         เสียงตะโกนของลู่จื่อหาวที่ดังออกมาเมื่อพายุสงบลงแล้วนั่นเอง ชายหนุ่มเลือดร้อน  พุ่งพรวดเข้าหาคู่ต่อสู้ อย่างอึกทึกครึกโครม

“มา ดวลกับข้า!” ลู่จื่อหาวคำรามด้วยท่าทีขึงขัง กระบี่เหาะเหินเยือกแข็งที่    ล้อมกายเขาอยู่หมดอิทธิฤทธิ์ความเย็นลงแล้ว หลังจากที่ก้าวดุ่มๆ ออกมาข้างหน้าได้สองสามก้าว เขาก็หยุดนิ่งและจ้องมองหน้าซื่อตาใส ไปยังคู่ต่อสู้สองคนที่หันมาเหล่มองเขา ลู่จื่อหาวสังเกตเห็นภาพหวังเป่าเล่อท่ามกลางทะเลวัตถุเวท แววตาเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้ม เส้นเลือดในดวงตาปูดโปนจนแดงก่ำ

“หวังเป่าเล่อ เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าจะไม่จู่โจมใคร เจ้าแย่งบทข้าอีกแล้วนะ!” ลู่จื่อหาวตะโกนก้องด้วยความโมโหโทโสปนความเศร้าใจ

หวังเป่าเล่อเหล่มองเขาเขม็ง แต่ก่อนที่ทันจะได้ตอกกลับ คู่ต่อสู้ทั้งสองของเขาก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ลู่จื่อหาว หยุดแสร้งทำได้แล้ว เจ้าทำอย่างกับว่านี่ไม่ใช่แผนการชั่วร้ายของ   พวกเจ้าเช่นนั้นละ!” ทั้งสองปรามาสหลังจากที่ทำใจให้สงบลงเรียบร้อยแล้ว         พวกเขาคิดถึงไม้ตายของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ และนึกขอบคุณที่ชายหนุ่มไม่ได้ทำให้ตนอับอายขายหน้า และวัตถุเวทที่ปล่อยออกมาสกัดพวกเขาไว้ก็ทรงพลังจริงๆ

หลังจากทำความเคารพหวังเป่าเล่อเรียบร้อย ศิษย์จากตำหนักวงแหวนปราณก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ศิษย์พี่หวังเป่าเล่อ ท่านขายวัตถุเวทพวกนั้นหรือขอรับ”

“ถูกต้องแล้ว!” หวังเป่าเล่อตอบด้วยดวงตาวาววับ ชายหนุ่มรีบสาวเท้าออกไปแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อกับคู่ต่อสู้ทั้งสอง ก่อนเสนอรายการลดราคาให้อย่างดิบดี     ไม่นานนักการซื้อขายแลกเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในทันที หวังเป่าเล่อทำแม้กระทั่งเดินไปส่งลูกค้าทั้งสอง พลางโบกมืออำลาหน้าตาเฉย

ลู่จื่อหาวยิ่งเดือดพล่านเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า สมองของเขาราวกับกำลังจะระเบิดเป็นจุณ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนฉวยโอกาส

“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”

“กระบี่เหาะเหินเยือกแข็งสองเล่มข้างๆ นั่นเป็นของเจ้า!” หวังเป่าเล่อเอ่ยขัดตาทัพขึ้นมา พลางโบกมือแสดงท่าทีใจกว้าง เขารู้จักนิสัยลู่จื่อหาวดี และไม่ประสงค์ที่จะลดตนลงไปทุ่มเถียงทะเลาะกันเหมือนเด็กอมมือ ในเมื่อเรื่องนี้แก้ได้ด้วยการมอบของกำนัลให้นิดๆ หน่อยๆ เป็นสินน้ำใจ

“ข้า…ข้าคือลู่จื่อหาว ชายผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม!” ลู่จื่อหาวประกาศด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาอดตื่นเต้นดีใจขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ความโกรธก็ยังอัดแน่นอยู่ในใจ

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเอาไปให้หมดทุกเล่มเลย!” หวังเป่าเล่อเสนอพลางยกคิ้วขึ้น

ลู่จื่อหาวสูดหายใจลึก ในเมื่อเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนี้แล้ว เขาจะกล่าวคาดโทษอย่างไรก็คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา ถึงอย่างไรผู้ช่วยก็มีบทบาทหน้าที่เพียงแค่สี่ด่านแรกเท่านั้น และบัดนี้ก็เหลืออีกเพียงด่านเดียว เขาก็จะก้าวเข้าไปดวลกับผู้ท้าชิงคนอื่นด้วยลำแข้งของตนเอง ทั้งในศึกผู้พิชิตยอดเขาและศึกสุดท้ายเพื่อหาผู้ชนะหนึ่งเดียว เมื่อถึงตอนนั้น หวังเป่าเล่อจะไม่มีทางมาเกะกะขวางทางเขาได้อีก

ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อครู่นี้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาถูกทดสอบ แต่เขาก็ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มไปกับกลเม็ดแพรวพราวของหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่จื่อหาวก็คลายความโกรธลง เขาอยากจะพ่นลมออกทางจมูกตามความเคยชิน      แต่เมื่อนึกถึงคำขู่ของหวังเป่าเล่อก่อนหน้า ชายหนุ่มเลือดร้อนก็ทำได้แค่พ่นลมใน    หัวตัวเองเท่านั้น เขาหันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดตัดที่สี่ด้วยสีหน้าอมทุกข์

จุดตัดที่สี่นี้เอง ที่จะเป็นการต่อสู้นัดสุดท้ายของเขากับผู้ช่วย!

การต่อสู้ในนัดสุดท้ายนี้คือ การเฟ้นหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของภูเขาแต่ละด้าน    จากทั้งหมดสี่ด้าน มีผู้ชนะเพียงสี่คนเท่านั้นต่อภูเขาหนึ่งลูก ที่จะเข้าไปดวลกันต่อในศึกผู้พิชิตยอดเขา ผู้ชนะของแต่ละยอดเขาจะก้าวไปประลองในศึกสุดท้ายต่อไปได้

คู่ที่ฝ่าฟันมาถึงจุดตัดที่สี่ได้ แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา ลู่จื่อหาวพยายามทำใจให้เย็นลงขณะก้าวเข้าไปใกล้จุดตัดสุดท้าย ชายหนุ่มพยายามเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่    ด่านสุดท้ายนี้

ความจริงแล้ว หวังเป่าเล่อจัดว่าทำหน้าที่ผู้ช่วยได้ดีเยี่ยม ลู่จื่อหาวไม่ได้ใช้พละกำลังไปกับการพยายามเอาชนะคู่ต่อสู้ในสามด่านแรก จึงทำให้เขามีทั้งแรงและทรัพยากรเหลือล้น พลังของลู่จื่อหาวขณะนี้กำลังพลุ่งพล่านถึงขีดสุด

มาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มนักสู้เลือดร้อนก็ไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ทั้งสองเดินตามกันไปเรื่อยๆ จนใกล้ถึงจุดตัดที่สี่ที่อยู่ใกล้ยอดเขา เมื่อถนนทั้งสองบรรจบกัน   เป็นหนึ่ง ถนนสายเดียวที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าลิบๆ มีม่านที่มองไม่เห็นบังอยู่      เส้นทางนั้นทอดยาวไปสู่ยอดเขา

หวังเป่าเล่ออารมณ์ปรีดา เขาไม่ได้พยายามยียวนกวนประสาทลู่จื่อหาวแต่อย่างใด ด้วยเพราะรู้สึกว่าตนเองทำความตั้งใจได้ลุล่วงเรียบร้อยแล้ว ในใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยภาพรายการสั่งซื้อมากมาย ที่หลั่งไหลเข้ามาในแหวนสื่อสารของเขา หลังจากที่การต่อสู้ด่านสุดท้ายนี้จบลง

สงสัยข้าจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว คงจะพอเป็นต้นทุนการวิจัยและฝึกตนของข้าต่อไปได้เป็นแน่ ชายหนุ่มยิ้มกับตนเอง เขาครวญเพลงอย่างอารมณ์ดี ขณะสาวเท้าไปข้างหน้าและเอามือไพล่หลังไว้ เมื่อลู่จื่อหาวเดินหน้าเข้าใกล้สนามประลองสุดท้าย เขาก็หยุดชะงักลงเสียก่อน

ราวกับว่าขนทุกเส้นในร่างกายของเขาพร้อมใจกันตั้งชันขึ้นด้วยความพรั่นพรึง ลู่จื่อหาวสูดหายใจเข้าปอดลึก เหงื่อกาฬแตกพล่าน หัวใจเต้นเร็วราวกลองรัว สีหน้าของชายหนุ่มเครียดขึงเมื่อเห็นร่างสองร่างที่คอยอยู่ที่ปลายทาง

“หวังเป่าเล่อ เจ้า…เจ้าต้องช่วยข้าแล้วล่ะคราวนี้…” ลู่จื่อหาวหายใจลึก ก่อนพูดด้วยเสียงเบาตะกุกตะกัก เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินดังนั้น เขาก็เก็บความประหลาดใจเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้น ชายหนุ่มก็เห็นสองร่างนั้นเช่นกัน

ร่างหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ ส่วนอีกร่างยืนอยู่เคียงข้างด้วยท่าทีสำรวมราวกับกำลังคุ้มกัน!

ผู้คุ้มกันนั้นร่างกายหนากำยำ สวมชุดเกราะสีม่วง ผมยาวปลิวไสวไปตามแรงลม เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับภูผาแข็งแกร่งลูกย่อมๆ มวลพลังที่ปล่อยออกมาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะถึงระดับจุดสูงสุดของลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่งไปแล้ว พลังนั้น      ท่วมท้นจนราวกับว่าเขาสามารถบรรลุขั้นปราณเมื่อใดก็ได้ตามที่ใจปรารถนา

ชายผู้นั้นดูราวกับอสูรร้ายที่มีประกายตาพิฆาต เหมือนภูเขาไฟที่จวนจะระเบิดอยู่รอมร่อ!

เมื่อเทียบกับผู้คุ้มกัน ชายหนุ่มที่กำลังทำสมาธิอยู่นั้นปล่อยมวลพลังที่แตกต่างกันออกมา บรรยากาศของเขาสงบนิ่งสยบทุกความเคลื่อนไหว ราวกับไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่ความสนใจของเขาบนโลกใบนี้

แม้จะไม่มีเส้นผมบนศีรษะ แต่ใบหน้าของเขาก็หล่อเหลา ชายหนุ่มผู้นี้ดู           ทั้งอ่อนโยนและอ่อนแอไปในเวลาเดียวกัน ดวงตาของเขาปิดมิดเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ลมโชยอ่อนพัดวนรอบกายอย่างแผ่วเบา ราวกับแม้แต่สายลมเองก็ยัง      อดหลงรักเขาไม่ได้

ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าผู้ไร้นามบนยอดเขา              ที่เสกหยดน้ำให้อุบัติขึ้นจากอากาศธาตุ ในแก้วที่ว่างเปล่าผู้นั้น!

ยังไม่พอ…เขายังเป็นศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของอดีตผู้นำสหพันธรัฐ ที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!

แม้หวังเป่าเล่อจะไม่เคยเห็นชายปริศนาผู้นี้มาก่อน แต่ทันทีที่ร่างของชายหัวโล้นปรากฏขึ้นในระยะสายตา ฝีเท้าของเขาก็หยุดนิ่งลง ชายหนุ่มรู้ได้ในทันทีว่า        เพราะเหตุใดลู่จื่อหาวถึงหันกลับมาขอความช่วยเหลือจากเขา ในความเป็นจริงแล้ว   ผู้คุ้มกันข้างกายนั้นไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย ปัญหาที่แท้จริงคือ ชายที่นั่งสมาธิอยู่     ตรงนั้นต่างหาก เขาปล่อยแรงกดดันคมกริบราวใบมีด ออกมาจากหว่างคิ้วของตน

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองและหุบยิ้มในทันที เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความกระหาย

ในเสี้ยววินาทีที่หวังเป่าเล่อมองตรงไปยังชายไร้ผม ชายผู้นั้นก็…ลืมตาขึ้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!