บทที่ 342 เขตแดนใหม่บนดาวอังคาร
ราวกับว่ามีลมพายุพัดผ่านห้องไป ทุกคนต่างก็หยุดหายใจด้วยความตื่นกลัว หลี่หว่านเอ๋อร์ ผู้ซึ่งได้ทำลายทั้งแหวนสื่อสารของจั่วอี้เซียนและบันทึกภาพทิ้งไปแล้ว ขณะนี้กำลังจ้องมองเจ้าของสองสิ่งนั้นด้วยสายตาเยียบเย็น ก่อนจะหันหลังและเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แม้ว่านางจะจากไปแล้วแต่ความตึงเครียดในห้องกลับไม่ได้จากไปด้วย ความจริงตอนที่นางเดินออกไป ทุกๆ คนก็ค่อยๆ คลายจากความกลัวจับขั้วหัวใจเมื่อครู่ แต่เมื่อพวกเขานึกถึงสิ่งที่ได้เห็นขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจก็พากันเต้นโครมครามขึ้นมาอีก
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองขณะที่เจ้าหน้าที่ของกองวินัยอาณานิคมทั้งกลุ่มพากันเงียบงัน ไปหมด จั่วอี้เซียนดูเหมือนว่ายังตกตะลึงไม่หาย สายตาเขาแสดงความพ่ายแพ้ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออย่างอึดอัด ก่อนจะลุกขึ้นยืนและตบบ่าจั่วอี้เซียนเบาๆ
“อี้เซียน ข้าบอกแล้วใช่ไหม เรื่องนี้ไม่ควรจะไปพูดถึง แต่เจ้า…ก็ยังจะถาม ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำพลาดครั้งใหญ่เสียแล้วละ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจและ โคลงศีรษะแม้ว่าจะรู้สึกพอใจอยู่ภายใน ก่อนจะยกมือไพล่หลังและก้าวอาดๆ ออกไปจากห้อง ทิ้งให้เหล่าเจ้าหน้าที่จ้องมองเขาตาละห้อยราวกับกำลังมองเทพเจ้า
เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับกุลีกุจอมาส่งหวังเป่าเล่อ พวกเขาเพิ่งจะได้สติ หากสตรีในบันทึกภาพนั้นไม่ใช่หัวหน้าฝ่ายหลี่แล้ว การที่นางทำลายบันทึกภาพทิ้งก็ถือเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหวังเป่าเล่อ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ หนุนหลังหวังเป่าเล่อนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ในท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์การเมืองคงต้องมืดมนจนถึงระดับหนึ่ง ทำให้ หลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ยุติธรรมยอมทำสิ่งที่นางได้ทำลงไป
อย่างไรเสีย…หากสตรีในบันทึกภาพคือ หลี่หว่านเอ๋อร์จริงๆ ความสัมพันธ์ของ ทั้งคู่จะต้องมีสิ่งใดพิเศษเป็นแน่ เพราะถึงกับไปนอนค้างอ้างแรมกันในถ้ำ แต่ไม่ว่า จะเป็นทางใด การยอมเหนื่อยเพื่อผูกมิตรกับหวังเป่าเล่อและชำระความบาดหมางที่เคยเกิดขึ้นก็นับว่าคุ้มค่า
หลังจากที่พวกเขาส่งหวังเป่าเล่ออย่างอบอุ่นและนอบน้อม เจ้าหน้าที่ที่เหลือก็รีบเผ่นออกจากห้องไป ก่อนที่พวกเขาจะจากไปนั้น ทุกคนหันกลับไปมองจั่วอี้ฟาน พวกเขา รู้ดีว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็น…จุดจบของจั่วอี้เซียนเป็นแน่
ภาพที่หลี่หว่านเอ๋อร์กัดกรามพูดลอดไรฟันออกมายังคงชัดเจน เสียงที่บ่งบอกว่านางพร้อมจะใช้ความรุนแรงนั้นยังคงทำให้พวกเขาเสียวสันหลังเมื่อนึกถึง
จั่วอี้เซียนยืนอยู่คนเดียวในห้องหลังจากที่ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว ความสับสนในดวงตาของชายหนุ่มค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นความหวาดกลัวและตื่นตระหนก เหงื่อเม็ดเป้งๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก ร่างกายของชายหนุ่มขณะนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ คนอื่นๆ อาจมองเห็นได้ไม่ชัดจากจุดที่พวกเขายืน แต่จั้วอี้เซียนผู้ที่ยืนอยู่ใกล้จอที่สุดมองเห็นชัดเจนกว่าใครๆ
แม้ว่าบันทึกภาพจะถูกหลี่หว่านเอ๋อร์ทำลายไปแล้ว แต่เมื่อจั่วอี้เซียนนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เห็นอีกครั้ง ใบหน้าเขาก็ซีดเผือดลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มไม่อาจโกหกตนเองได้ อีกต่อไป เขาทันได้เห็นใบหน้าของสตรีในบันทึกภาพ
นางคือ…หลี่หว่านเอ๋อร์แน่นอน!
เรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือจั่วอี้ฟานรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ชายหนุ่มรู้ว่าหวังเป่าเล่อหายตัวไปทั้งคืน…ก่อนจะกลับมาปรากฏตัวในนครในตอนบ่ายของอีกวันหนึ่ง
ทั้งคืน…จั่วอี้เซียนขนลุกเมื่อคิดถึง ใบหน้าเขาไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่แม้สักนิด ชายหนุ่มไม่อาจควบคุมภาพจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจได้…ค่ำคืนนั้นช่างแสนมืดมิด หัวหน้าของเขาและหวังเป่าเล่อใช้เวลาด้วยกันทั้งคืนในห้องเดียวกัน…
การบันดาลโทสะของหลี่หว่านเอ๋อร์เป็นกุญแจสำคัญ ความเกรี้ยวกราดนั้น มีต้นเหตุมาจากความอับอาย เห็นได้ชัดว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมีความลับที่ บอกใครไม่ได้อยู่
จั่วอี้เซียนยิ่งขนลุกมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดไปถึงจุดนั้น เขาสะอื้นอยู่ในอก ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาได้กระทำความผิดมหันต์ลงไปเสียแล้ว เขาได้ละลาบละล้วงเข้าไปในชีวิตส่วนตัวของหัวหน้า เข้าไปค้นหาข้อมูลในชีวิตรักของนาง…
ในหัวของจั่วอี้เซียนตอนนี้ตื้อตึงไปหมด เขารู้สึกคลื่นไส้ ชายหนุ่มไม่อาจลืมสิ่งที่ หลี่หว่านเอ๋อร์พูดกับเขาหรือสายตาที่นางจ้องมองมาก่อนจะเดินออกไปได้ จั่วอี้เซียนนึกถึงทั้งสองสิ่งด้วยความหวาดกลัว
ชายหนุ่มรู้จักนิสัยใจคอของหัวหน้าเป็นอย่างดี รู้ว่านางจะดุร้ายได้มากเพียงใด นางทั้งเลือดเย็นและไร้ความปรานี แถมยังมีตระกูลใหญ่ครอบครัวของนางหนุนหลังอยู่ นางเป็นนักสู้ที่เก่งกาจ เป็นคนอารมณ์ร้อน มีเรื่องซุบซิบนินทามากมาย เกี่ยวกับนาง บิดาของนางเป็นผู้นำเสนาบดี เป็นถึงขุนนางระดับหนึ่งชั้นรอง ดูเผินๆ ราวกับจะอยู่ในระดับเดียวกับเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ทว่าอำนาจที่เขามีนั้นแม้กระทั่งเจ้านครก็ยังเทียบไม่ติด!
เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้นำของคณะเสนาบดี!
ตระกูลนภาห้าสมัยก็ทรงพลังไม่แพ้กัน แต่ก็เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นจากหลายตระกูลรวมกัน แถมยังได้รับความเสียหายหนักหลังจากเหตุการณ์บนดวงจันทร์ ตระกูลจั่วเอง เป็นหนึ่งในห้าตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในตระกูลนภาห้าสมัยแต่ก็ยังมีตระกูลอื่นที่ทัดเทียมกันได้ จั่วอี้เซียนแม้เป็นถึงบุตรชายคนโตของตระกูลจั่ว แต่ยังไม่อาจเทียบกับหลี่หว่านเอ๋อร์ได้ เขายังห่างชั้นกับนางหลายขุมนัก
ยิ่งไปกว่านั้น…หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นผู้บังคับบัญชาของเขาบนดาวอังคารแห่งนี้ แค่ความจริงข้อนี้ก็ทำให้จั่วอี้เซียนแทบจะน้ำตาคลอเบ้า ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึง เมื่อครั้งที่เพิ่งจะมาถึงดาวอังคาร นึกถึงความกลัวในตอนแรก และการที่เขาต้องระมัดระวังตัวมาโดยตลอด ในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็มีความทะเยอทะยาน อันยิ่งใหญ่ที่ต้องการจะสร้างชื่อให้ตน มาตอนนี้…เขาเหลือเพียงความสิ้นหวังเท่านั้น
จั่วอี้เซียนไม่มีแรงเหลือจะคิดเรื่องหวังเป่าเล่ออีก ชายหนุ่มออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบก่อนจะหยิบแหวนสื่อสารมาจากลูกน้องคนหนึ่ง และรีบส่งข้อความเสียงไปหาบิดาในทันที
บิดาของจั่วอี้เซียนเป็นผู้นำของตระกูลจั่ว ส่งผลให้เขาเป็นบุคคลสำคัญในสหพันธรัฐ แต่แม้จะมียศถาบรรดาศักดิ์เพียงใด หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้นเมื่อได้ฟังเรื่องที่บุตรชายเล่ามาจนจบ ชายชราเอ่ยปากถามบุตรชายอย่างเร่งรีบ “อี้เซียน นี่ หลี่หว่านเอ๋อร์รู้หรือเปล่าว่าเจ้าใช้เส้นสายของตระกูลเพื่อสืบคดีนี้ หากนางยังไม่รู้ก็อาจไม่แย่เท่าใดนัก อย่างไรเสียนี่ก็เป็น…”
“นางรู้ขอรับ…” จั่วอี้เซียนมีสีหน้าทุกข์ทน ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากจะบอกบิดาไปตรงๆ
“ไม่ใช่นางคนเดียว คนในตระกูลหลายคนก็น่าจะรู้แล้วเช่นกัน บันทึกภาพตัวจริง…ยังอยู่ที่ตระกูลขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นบิดาของจั่วอี้เซียนโกรธเป็นอย่างยิ่ง หากว่าเรื่องนี้รู้กันเพียงในหมู่ผู้เยาว์ ก็ยังมีโอกาสจะไกล่เกลี่ยให้จบไปได้ เพราะถือเป็นเพียงความเข้าใจผิดกันระหว่างเด็กๆ เท่านั้น แต่ขณะนี้เมื่อตระกูลเข้ามามีส่วนร่วม ปัญหานี้ก็ซับซ้อนขึ้น ไปอีก
“นางรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าใช้เส้นสายของตระกูล!” บิดาของจั่วอี้เซียนตะคอกถามด้วยโทสะ
“ข้าบอกนางเอง…” จั่วอี้เซียนทำหน้าเหมือนจะร่ำไห้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่ควรปกปิดสิ่งใดอีกต่อไป จึงกัดฟันสารภาพบิดาไปตามจริง
เมื่อได้ยินคำตอบจากลูกชาย ชายชราก็เงียบงันไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง เสียงของเขาที่ส่งมาตามสายฟังดูชราลงไปมาก
“พ่อจะจัดการเรื่องนี้เอง…อี้เซียน หยุดสร้างปัญหาให้พ่อสักทีเถิด พ่อของเจ้าน่ะแก่มากแล้วนะ ข้าทนความเครียดขนาดนี้ไม่ไหว บิดาของนาง หลี่ฉีเต๋า ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นคนพูดยาก เจ้าเห็นลูกสาวเขาแล้วไม่รู้เลยหรืออย่างไร”
แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้รู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างพ่อลูกคู่นี้ ชายหนุ่มกลับมาถึงสำนักศึกษาอย่างร่าเริง เขาไม่มีเวลามากังวลว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับจั่วอี้เซียน เพราะเมื่อกลับมาถึงก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนเปลวไฟสีดำและกระบวนท่า เต๋าสายฟ้าขั้นต้นต่อทันที และยังไม่ลืมเผื่อเวลาไว้หัดหลอมและแก้ไขหุ่นเชิดก่อสร้างอีกด้วย
หวังเป่าเล่อหลอมหุ่นเชิดก่อสร้างตัวแล้วตัวเล่า ชีวิตค่อยๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ เจ้าลายังคงออกจากที่พักไปแต่เช้าตรู่และกลับมาตอนค่ำมืด มันออกจากบ้านไปอย่างตื่นเต้นดีใจและกลับมาด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจอยู่โดยตลอด
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้งหลายหนก็อดสงสัยไม่ได้ ชายหนุ่มคิดอยากจะลองตามเจ้าลาไปดูว่ามันไปทำสิ่งใดกันแน่ แต่จินตั้วหมิงมาเยี่ยมถึงที่พักเสียก่อนจึงทำให้การสะกดรอยตามต้องถูกพักเอาไว้
คราวนี้จินตั้วหมิงไม่ได้นำปราการยักษ์มาด้วย มีเพียงองค์รักษ์สิบกว่าคนและ ข้ารับใช้สตรีจำนวนมากพอกัน
จินตั้วหมิงกำลังจะเอ่ยปากพูดกับหวังเป่าเล่อ แต่ฝ่ายหลังกลับชิงพูดก่อนด้วยการยิงคำถามอย่างตื่นเต้น
“ลูกพี่จิน เจ้ามาหาข้าเพื่อจะซื้อเจ้าลาใช่หรือไม่”
จินตั้วหมิงต้องการทักทายอย่างเรียบง่ายก่อนจะเข้าเรื่องธุระจริงจัง ทว่าทันที ที่ได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อเขาก็มีสีหน้าตื่นตกใจ และยิ่งตกใจขึ้นไปอีกเมื่อ หวังเป่าเล่อตั้งท่าจะโฆษณาลาให้ฟังชนิดลงรายละเอียด ชายหนุ่มยกมือขึ้นหยุด หวังเป่าเล่อไว้ได้ทัน จากนั้นก็กระแอมกระไอและตัดสินใจรีบพูดธุระเสียเลย
“เป่าเล่อ เจ้าได้ยินข่าวเรื่องเขตแดนอาวุธเทพแห่งใหม่บนดาวอังคารบ้างหรือไม่” จินตั้วหมิงถามก่อนจะหรี่ตาลง กระทั่งเสียงก็ยังฟังดูทุ้มต่ำกว่าที่เคย
“เขตแดนอาวุธเทพแห่งใหม่บนดาวอังคารหรือ” หวังเป่าเล่อถึงกับชะงักไป
“ใช่แล้ว โครงการสำรวจอาวุธเทพเคยถูกหยุดไว้ชั่วคราว แต่ข้าได้ยินว่าจะมีการนำโครงการนั้นกลับมาอีกเพราะว่าหมอกสีโลหิตปรากฏขึ้นมา แต่การออกสำรวจมีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุนี้จึงต้องมีการเตรียมการขั้นพื้นฐานไว้แต่เนิ่นๆ กำลังคนและทรัพยากรในการทำโครงการนี้จึงสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ ท่านเจ้านครเสนอให้มีการสร้างเขตนครใหม่!”
“สร้างเขตนครใหม่ให้ใกล้บริเวณที่มีอาวุธเทพหลับไหลอยู่และมอบหมายให้เขตนั้นเป็นผู้นำในการค้นหาอาวุธเทพ…เขตนครใหม่ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของนครอาณานิคมดาวอังคาร แต่จะเป็นส่วนของฝ่ายปกครองที่อยู่ภายนอกแทน!”
“ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำของเขต หรือนายกเทศมนตรีนั้น จะต้องเป็นขุนนางระดับสี่อยู่แล้ว นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง การแข่งขันก็จะสูงไปด้วย ข้าจะช่วยสนับสนุนเจ้าได้ หากเจ้าอยากลงสมัคร…ติดก็แต่ว่า…” จินตั้วหมิงหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจ้องมอง หวังเป่าเล่ออย่างเปี่ยมความหมาย ชายหนุ่มคิดว่าหลังจากที่ได้พูดไปมากมายขนาดนี้ ตามธรรมชาติของหวังเป่าเล่อแล้ว อีกฝ่ายน่าจะเดาได้ว่าความหมายที่เขาต้องการ จะสื่อคือสิ่งใด
แล้วก็เป็นจริงเช่นนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินสิ่งที่จินตั้วหมิงพูด หัวใจเขาก็เต้นระรัว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิงทันที ความทรงจำครั้งที่หลินเทียนหาวเคยเกริ่นเรื่องข้อความที่หลินโยวผู้บิดาฝากส่งต่อมาให้เขาผุดขึ้นมาในมโนสำนึก
เขาหมายความเช่นนี้นี่เอง!