Skip to content

A World Worth Protecting 379

บทที่ 379 ยิ่งเขตแดนใหญ่เท่าไหร่ เป่าเล่อก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น

ภายในสุสานตกอยู่ในความเงียบงัน

ราวกับว่าอาวุธเวทระดับเก้าของเจ้านครได้ทำลายทุกสิ่งอย่างไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ชั่วขณะนี้ไม่มีอสูรแม้สักตนหลงเหลืออยู่ในสุสาน

แม้แต่เหล่าก้อนเนื้อที่เกาะอยู่ตามผนังก่อนหน้านี้ยังถูกทำลายเป็นผุยผง ยุงสองตัว  บินไปตามทาง ไม่นานก็มาถึงปลายสุสานได้อย่างง่ายดายเพราะไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ

หวังเป่าเล่อถึงขีดจำกัดที่จะควบคุมยุงได้ เขาเห็นกำแพงรางๆ พลันดวงตาก็เบิกกว้าง ลมหายใจติดขัด  ใบหน้าถอดสี

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่เคยเห็นกำแพงอาวุธเทพมาก่อน แม้ไม่เคยเห็นด้วยตาของตนเองเลยสักครั้ง แต่ก็เคยเห็นภาพผ่านสายตาของยุงและจากบันทึกภาพที่กงเต๋ารายงานเข้ามาเรื่อยๆ

กำแพงอาวุธเทพที่อยู่ในหัวของเขาคือกำแพงน้ำแข็งหนาที่ปล่อยไอเย็นยะเยือกน่าพรั่นพรึงออกมา เป็นดังซากดึกดำบรรพ์ที่ทนต่อการกัดเซาะ ต้องใช้พลังจาก       วงแหวนปราณทั้งวันทั้งคืนเพื่อค่อยๆ ละลายมันลงมา

ปัจจุบันแทบจะมองไม่ออกเลยว่ากำแพงได้ทลายลงสักนิดหรือไม่ คงต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

แต่ตอนนี้…กำแพงน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อนั้นกร่อนลงไปจากที่เขาเคยเห็นในรายงานของกงเต๋าเมื่อสัปดาห์ก่อน ราวกับว่ามันผ่านกระบวนการกัดกร่อนมาเป็นเวลาหลายเดือน

หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไป ดวงตาฉายแสงวาบ เริ่มหายใจถี่รัว เขาไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นต้นตอที่เร่งกระบวนการกัดกร่อนกำแพงนี้

อาจจะมาจากการปรากฏตัวของมือขนาดยักษ์ ไม่ก็แรงปะทะจากอาวุธเวท  ระดับเก้าของเจ้านคร หรืออาจเป็นเพราะ…ข้าใช้เมล็ดดูดกลืนเร่งดูดปราณมืด       หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจแน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็พบว่านี่อาจจะเป็นโอกาส

แม้ไม่แน่ใจว่าการกร่อนลงอย่างรวดเร็วครั้งนี้จะเปิดโอกาสอะไรให้ แต่การศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาโดยละเอียดและสัญชาตญาณของตัวเองที่      บ่มเพาะมาตลอดได้บอกเขาว่า…ตนควรสำรวจเหตุการณ์ครั้งนี้ต่อไป

คิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เรียกกงเต๋ามาหาในทันที กงเต๋ายังไม่ได้ฟื้นจากอาการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์ แต่อาการของเขาก็ค่อนข้างทรงตัวดีแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน ชายหนุ่มคงไม่ใส่ใจที่หวังเป่าเล่อเรียกตัวและส่งผู้ช่วยไปแทน แต่ตอนนี้เขากลับ      นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเข้าพบอีกฝ่ายด้วยตนเอง

เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อถามเรื่องกำแพงอาวุธเทพ กงเต๋าก็เลือกที่จะไม่ปิดบังข้อมูลที่ตนเองรู้ เขาอธิบายทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับกำแพง รวมถึงเอาบันทึกภาพที่ตนถ่ายไว้ตอนเข้าไปสำรวจเมื่อวานให้ดูด้วย

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเมื่อได้ดูบันทึกภาพ สภาพของกำแพงเมื่อวานกับวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้อมูลนี้ทำให้หวังเป่าเล่อจำกัดขอบเขตการสำรวจลงได้ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะจำลองการปรากฏของมือขนาดยักษ์หรืออาวุธเวทระดับเก้าของเจ้านครเพื่อพิสูจน์สมมติฐาน

จากการวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ มือขนาดยักษ์น่าจะไม่ใช่สาเหตุ ส่วนอาวุธเวทระดับเก้าก็ไม่น่าจะเร่งกระบวนการกัดกร่อนกำแพงได้ หากเป็นเพราะอาวุธเวท    กลุ่มอำนาจทางการเมืองต่างๆ ในสหพันธรัฐคงไม่เลือกที่จะจัดตั้งวงแหวนปราณ     ขึ้นที่นี่ น่าจะผลัดกันใช้อาวุธเวทระดับเก้าปล่อยพลังใส่กำแพงไปแล้ว

จากเอกสารที่เจ้านครเคยให้อ่าน…มีเพียงอาวุธเทพที่จะสามารถใช้ทลายกำแพงได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตา หัวใจเริ่มเต้นถี่รัว เหลือสาเหตุเพียงหนึ่งเดียวที่เขาจะต้องทดสอบและหาข้อสรุป นั่นก็คือ…เมล็ดดูดกลืนส่งผลต่อกำแพงอาวุธเทพได้จริงหรือไม่!

ความคิดนี้เป็นดั่งคบเพลิงที่ลุกโชติช่วงในใจ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องทดสอบเพื่อหาข้อสรุป แต่สัญชาตญาณภายในบอกว่าถ้าได้ข้อสรุปว่าเมล็ดดูดกลืนเป็น   สาเหตุจริง โอกาสยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะปรากฏตรงหน้าเขา

หวังเป่าเล่อพยายามสงบใจก่อนจะบอกให้กงเต๋ากลับออกไป หลังจากนั้น       ชายหนุ่มก็รีบมุ่งหน้าไปยังสุสานอาวุธเทพใต้ดินที่ถูกผนึกไว้ ทั้งพื้นที่ถูกควบคุมโดยกองทัพ แต่จากเหตุการณ์ที่เขาเข้าไปช่วยเหลือครั้งก่อน ประกอบกับตำแหน่งนายกเทศมนตรีจึงไม่มีใครเข้ามาห้าม บางคนถึงกับขอติดตามเข้าไปคุ้มกันเสียด้วยซ้ำ

หวังเป่าเล่อไม่อยากให้ใครเห็นการทดลองของตนจึงบอกปฏิเสธไปอย่างสุภาพ เขาส่งยุงเข้าไปตรวจตราภายในก่อนจะเดินเข้าไปในสุสานด้วยใจที่เต้นถี่รัว

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงจุดที่น่าจะเหมาะสม ไม่ได้เข้าไปลึกมาก           เขาหันมองรอบตัวว่าปลอดภัยดีหรือไม่ จากนั้นก็พยายามข่มความตื่นเต้นในใจ กระตุ้นเมล็ดดูดกลืนให้ตื่นขึ้นพร้อมกับใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นรากฐาน ทันใดนั้น   ไอเย็นยะเยือกก็ทะลักออกมาจากส่วนลึกสุดของสุสานพวยพุ่งตรงมาทางที่เขาอยู่ หวังเป่าเล่อกลายเป็นดังวังวนขนาดใหญ่ที่ดูดกลืนไอเย็นเข้าไป อีกทั้งยังควบคุมยุงให้บินไปทางกำแพงอาวุธเทพเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นภาพผ่านสายตาของยุง เบื้องหน้านั้นกำแพงน้ำแข็งกำลังกร่อนลงอย่างรวดเร็วขณะที่เมล็ดดูดกลืนของเขาปลดปล่อยแรงสูบ

เป็นเพราะเมล็ดดูดกลืนจริงๆ ด้วย! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นใหญ่ เขาระงับแรงสูบจากเมล็ดดูดกลืนและรีบกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มปิดผนึกสุสานจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับที่พัก เขาเดินไปเดินมา สงบใจทำสมาธิไม่ได้เลย

นี่เป็นโอกาส…

ขอคิดก่อน ข้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะใช้โอกาสนี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด…

จะต้องทำอย่างไร… ความคิดมากมายแล่นเข้าหัวจนปราณวิญญาณปั่นป่วนอยู่ภายใน เขาครุ่นคิดอย่างหนักจนเริ่มเหนื่อยจึงหยิบขนมออกมากินไปด้วย

ทางสหพันธรัฐต้องให้ความสำคัญกับอะไรก็ตามที่ช่วยเร่งกระบวนการกัดกร่อนกำแพงอาวุธเทพอย่างแน่นอน…ถึงพลังของข้าจะมีจำกัด อีกทั้งข้าเองก็ไม่อยากเปิดเผยเรื่องเมล็ดดูดกลืนให้คนอื่นรู้ แต่กระบวนเวทที่ข้าเคยสอนเหล่าศิษย์ใน    สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาน่าจะใช้ได้ผลคล้ายๆ กัน…

แต่การจะใช้กระบวนเวทนั้นต้องมีวิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นรากฐานอยู่ดี…แต่ก็    แก้ได้ง่ายๆ ข้าแค่แปลงกระบวนเวทเป็นวงแหวนปราณแล้วใช้ตัวเองเป็นแก่น          วงแหวนปราณ!

ถ้าทำเช่นนี้ วงแหวนปราณก็จะช่วยขยายพลังของเมล็ดดูดกลืนและสูบเอาปราณมืดภายในสุสานได้มากขึ้นและกำแพงก็จะกร่อนลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน! หวังเป่าเล่อ   หยุดนิ่ง ตบหน้าขาเสียงดังก่อนจะเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เก็บความตื่นเต้นในใจไว้ไม่ได้ ชายหนุ่มกลั่นกรองความรู้ทั้งหมดที่ได้จากการศึกษาอัตชีวประวัติขั้นสูงาจนออกมาเป็น…วิธีการสุดเหนือชั้น!

ถ้าข้าทำสำเร็จ ข้าจะควบคุมทุกอย่างได้ทั้งหมด วงแหวนปราณ…อาจต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มและพื้นที่ที่กว้างกว่านี้ ทำให้…เราต้องขยายเขตนครปัจจุบันออกไปโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเป็นหลัก… จากนั้นเราก็จะสามารถจัดตั้ง      วงแหวนปราณเมล็ดดูดกลืนบนวงแหวนปราณค้ำจุนได้!

ถ้าทางสหพันธรัฐอนุมัติแผนของข้า ข้าก็จะมีสิทธิ์กำหนดว่าจะขยายเขตนครออกไปกว้างเพียงใดเพื่อจัดตั้งวงแหวนปราณ ข้าสามารถขยายเขตนครออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น…นครอาณานิคมดาวอังคารแห่งใหม่!

ใช่ ต้องเป็นแบบนั้น นี่เป็นโอกาสที่ข้าสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณ ถ้าจัดตั้ง         วงแหวนปราณได้สำเร็จ ข้าก็จะมีโอกาสแปลงเขตนครแห่งนี้…ให้กลายเป็นนครที่แท้จริง! หวังเป่าเล่อสมองตื้อไปด้วยความคิดมากมาย แผนของเขาครั้งนี้ถือเป็น    เรื่องใหญ่เกินตัว แต่ถ้าทำได้สำเร็จจริงๆ แล้วละก็…เขตนครแห่งนี้ก็จะได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นนคร จากนั้นตนก็จะได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีโอกาสเป็นศูนย์ แต่ ณ บัดนี้ ชายหนุ่มกำลังจะมีโอกาสได้ไต่เต้าจากตำแหน่งขุนนางระดับสี่     ชั้นสูงขึ้นไปเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูง!

อย่างไรเสียทางสหพันธรัฐคงไม่ยอมให้เขตนครมีโครงสร้างและขอบเขตเท่ากับนคร เนื่องจากจะเป็นการสร้างความวุ่นวายให้กับโครงสร้างและระบบการปกครองในปัจจุบัน หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เขตนครจะต้องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนครแน่!

หวังเป่าเล่อเป็นหัวเรือหลักในการก่อสร้างเขตนครจึงต้องเป็นคนเขียนแผนส่งด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นเรื่องยากที่จะหาคนขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนได้ อีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญไม่แพ้กันคือ…ทางสหพันธรัฐนั้นอยากทลายกำแพงภายในสุสานอาวุธเทพลงให้เร็วที่สุด หากทฤษฎีของเขาสามารถใช้งานได้จริง ก็มีโอกาสมากที่ชายหนุ่มจะได้  เลื่อนตำแหน่งไปเป็นขุนนางระดับสามชั้นต้นโดนปราศจากข้อครหาใดๆ!

นี่ก็หมายความว่า ยิ่งเขตแดนของข้าใหญ่มากเท่าไหร่ ข้าก็จะยิ่งมีอำนาจขึ้นเท่านั้น! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นจนตัวสั่น รู้สึกว่าตนเองฉลาดเกินไปที่คิดวิธีปราดเปรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ เขาหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นมากระดกอึกใหญ่ เปลวไฟในกายลุกโชติช่วงยิ่งกว่าเดิม

ข้าจะยังไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ส่วนเรื่องเปลี่ยนกระบวนเวทเมล็ดดูดกลืนให้เป็น  วงแหวนปราณ… หวังเป่าเล่อครุ่นคิดหาทางออกอย่างหนัก ทันใดนั้นภาพของ    เจ้าเยี่ยเหมิงและสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นในหัว

ข้าไปขอให้เจ้าเยี่ยเหมิงช่วยดีกว่า เสร็จแล้วก็ไปขอให้ประมุขสำนักศึกษา        เต๋าศักดิ์สิทธิ์ช่วยสนับสนุนด้วยอีกแรง! คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เปิดแหวนสื่อสารและต่อสายไปหาเจ้าเยี่ยเหมิงในทันที

เจ้าเยี่ยเหมิงประจำการอยู่ในเมืองหลวงของสหพันธรัฐบนโลก หญิงสาวผู้งดงามกำลังนั่งอยู่ภายในห้องทำงาน เหล่าผู้ฝึกตนชายต่างชื่นชมยกยอนางตั้งแต่ที่ได้มาประจำการที่นี่ แต่ตัวตนของหญิงสาวก็ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายเมื่อได้มายืน         ต่อหน้านาง

ชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่เบื้องหน้านาง เขาพูดขึ้นอย่างนิ่มนวลด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความหลงใหลในเสน่หา

“เสนาธิการเจ้า ฝ่ายของเราจะจัดงานเลี้ยงคืนนี้ ท่านสนใจ…”

เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ นางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสุขุมลุ่มลึก ชายตรงหน้าเหงื่อแตกพลั่กเมื่อโดนจ้อง เขาเริ่มแตกตื่น ตัวสั่นเทา ไม่ทันจะได้พูดต่อให้จบก็เลือกที่จะกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ

เจ้าเยี่ยเหมิงก้มหน้าอ่านเอกสารต่อเมื่อชายหนุ่มกลับออกไปแล้ว ทันใดนั้น   แหวนสื่อสารก็สั่นเตือน พลันเสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังออกมาให้ได้ยิน

“เยี่ยเหมิง เจ้าคิดถึงข้าไหม มาอ้าแขนกอดกันจากโลกและดาวอังคาร           ผ่านจักรวาลกว้างใหญ่นี้กันเถอะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!