Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 467

ตอนที่ 467

กระแสน้ำวนดิน

ทันทีที่เมิ่งฮ่าวยื่นมือออกไปคว้าจับวิญญาณอสูรไว้ได้ เขาก็เก็บมันเข้าไปในถุงสมบัติ จากนั้นก็หันหลังกลายเป็นลำแสงหลากสี เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า พุ่งผ่านกลุ่มคนที่ถูกบังคับให้ลอยไปด้านหลังโดยการโจมตีของฉีหนาน

ในตอนนี้มีอยู่เพียงสามคนเท่านั้นที่เป็นภัยคุกคามต่อเมิ่งฮ่าว ก็คือ จื่อเซียง, สวี่ไป๋ และเฉินโม่ถึงแม้สวี่ไป๋และเฉินโม่จะกำลังกระอักโลหิตอยู่ แต่ก็ทำให้พวกมันสูญเสียโอกาสในการไล่ตามไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อพิจารณาว่าพวกมันมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้ง เพียงไม่นานพวกมันก็สามารถรวบรวมสติกลับคืนมาได้และเริ่มไล่ล่าเขาต่อไป

สำหรับจื่อเซียง นางเป็นศัตรูที่น่ากลัวมากที่สุด ยากที่จะต่อสู้ด้วย และสมกับที่ถูกขนานนามว่าภูติสาวอย่างแท้จริง

ถ้าคนทั้งสามร่วมมือกัน เขาก็คงถูกบังคับให้ต้องใช้ฉีหนานและปราณกระบี่เริงระบำ มิเช่นนั้น ก็คงยากที่จะหลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้

แต่จากการวิเคราะห์ของเมิ่งฮ่าว ผลลัพธ์สุดท้ายของสถานการณ์เช่นนี้ ก็คงจะเป็นทุกคนไม่ได้อะไรเลย

ในตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะมีหนึ่งทางเลือกเท่านั้นที่เป็นไปได้ ก็คือการนำศิลาเซียนของเขาออกมา และใช้มันเคลื่อนย้ายทางไกลออกไปจากสถานที่แห่งนี้

ทางเลือกเช่นนั้น เป็นสิ่งที่เขาจะเลือกอยู่ในอันดับท้ายสุด ถึงเขาจะมีดินเซียนอยู่มากมาย แต่ตอนนี้ก็ยากจะบอกได้ว่ามีจนเพียงพอที่จะสร้างเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดินได้หรือไม่

เมื่อไหร่ที่เขาเลือกจากไป ก็ไม่มีทางจะกลับมาได้อีก และเขาก็คงจะสูญเสียโอกาสอันดีนี้ไป

ดังนั้น เขาจึงฝ่าอากาศด้วยความเร็วสูงสุดจนเป็นเสียงแหลมเล็กพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล พร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่น

ที่ด้านหลัง ดวงตาสวี่ไป๋และเฉินโม่ สาดประกายขณะที่พวกมันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลังจากที่ถูกโจมตีด้วยฉีหนานและเมิ่งฮ่าวได้จากไป พวกมันก็ไม่มีเวลาในการรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ปลดปล่อยพลังการเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย ขณะที่พวกมันเริ่มไล่ตามเมิ่งฮ่าวไป

พวกมันมุ่งมั่นจะครอบครองวิญญาณอสูรให้จงได้!

ขณะที่คนทั้งสองเริ่มต้นการไล่ล่า จื่อเซียงก็กลายเป็นลำแสง คนทั้งสาม หนึ่งนำหน้า สองติดตามอยู่ด้านหลัง ต่างก็พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อในทิศทางของเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ในตอนนี้เขาต้องตัดสินใจว่าจะทำอะไร ถ้าเขาต้องการเก็บวิญญาณอสูรไว้เพื่อช่วยเหลือเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ ก็คงต้องจ่ายค่าตอบแทนโดยการที่เขาอาจจะไม่มีดินเซียนเพียงพอ อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ คิดถึงตัวเองไว้ก่อน และปล่อยวิญญาณอสูรไป

หลังจากที่ผ่านไปสองสามอึดใจ ดวงตาเขาก็เริ่มสาดประกายด้วยความมุ่งมั่น การที่จะทำให้ภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดินกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ดินเซียนเพียงเท่านั้น มีดินอยู่มากมายหลายชนิดในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ แต่ในตอนนี้มีวิญญาณอสูรเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น!

ทันทีที่เขาตัดสินใจได้ก็ตบไปที่ถุงสมบัติ ทันใดนั้น ศิลาเซียนก็ปรากฎขึ้น เขากำลังจะบดขยี้มันแต่จู่ๆ เสียงจื่อเซียงก็ส่งผ่านเข้ามาในจิตใจ

“เมิ่งฮ่าว ถึงแม้ท่านจะมีการแสดงออกที่ฉลาดกว่านี้ แต่เมื่อคิดว่ากำลังถูกไล่ล่าโดยข้าและผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้งอีกสองคน มีเพียงทางเดียวที่จะเก็บวิญญาณอสูรนั้นไว้ได้ก็คือ ออกไปจากอาณาจักรแห่งซากสะพาน โดยไม่มีทางเลือกอื่นอีก”

“แต่ข้าสามารถบอกได้ว่าการมายังสถานที่แห่งนี้ของท่านยังมีเหตุผลอื่นอีก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านไม่ต้องการจะจากไป, ใช่หรือไม่?”

“ดังนั้น ข้าจึงขอเสนอ ทำไมพวกเราถึงไม่ร่วมมือกัน? ข้ารู้ว่าการร่วมมือครั้งล่าสุดของพวกเราไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าใดนัก และไม่ว่าข้าจะพูดอะไรออกไป ท่านก็คงไม่เชื่อถือ ดังนั้น ขอให้ข้าแสดงความจริงใจต่อท่าน!” ทันทีที่จื่อเซียงจบการถ่ายทอดคำพูด ร่างก็นางก็หยุดลงในทันที หมุนเป็นวงกลม และจากนั้นก็เริ่มร่ายเวทด้วยสองมือ บุปผาสีแดงสองดอกฉับพลันนั้นก็เกิดขึ้นมาที่เบื้องหน้านางในทันที

บุปผาทั้งสองดอกลอยตรงไปยังสวี่ไป๋และเฉินโม่ กลีบของบุปผาทั้งสองดอกนี้คล้ายคลึงกับใบหน้าของไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นบุรุษทั้งสอง

จากนั้น บุปผาทั้งสองดอกก็แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพียงแค่หนึ่งลมหายใจ เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลี ทันใดนั้น โลหิตก็กระจายออกมาจากปากของสวี่ไป๋ และร่างของมันก็ทรุดตัวลงไป ต่อจากมัน เฉินโม่สั่นไปทั้งร่างและกระอักโลหิตออกมา คนทั้งสองหยุดนิ่งลงในทันที สีหน้าเต็มไปด้วยทั้งความดุร้ายและประหลาดใจ

จื่อเซียงยังไม่หยุด ดวงตาหงส์ของนางสาดประกาย ขณะที่บุรุษทั้งสองหยุดนิ่งอยู่ นางยกมือขวาขึ้นมา และชี้ตรงไปยังพวกมัน ฉับพลันนั้น ทั้งสวี่ไป๋และเฉินโม่ก็กระอักโลหิตออกมาอีก มีท่าทางตกตะลึงมากยิ่งขึ้น พวกมันเริ่มล่าถอยออกไป

พวกมันตระหนักดีว่า เมื่อไหร่ที่นางยกมือขึ้นมา พวกมันก็จะได้รับบาดเจ็บ ราวกับว่าพวกมันได้ตกลงไปยังความจริงที่แปลกประหลาดซึ่งมีกฎเกณฑ์ใหม่กำหนดอยู่

“ทำให้บาดเจ็บก่อน แล้วค่อยโจมตี?”

“ทุกสรรพสิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป นั่นเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นไปตามกฏเกณฑ์แห่งความเป็นจริง? นั่นเป็นวิชาขั้นตัดวิญญาณ!” สีหน้าของพวกมันฉับพลันนั้นก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง จิตใจหมุนเคว้งคว้าง โดยไม่ลังเล พวกมันหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

จื่อเซียงลดมือลง และมองอย่างเรียบเฉยขณะที่คนทั้งสองจากไป จากนั้นนางก็หันหลังและพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

ด้วยจิตสัมผัสของเขา เมิ่งฮ่าวสามารถตรวจพบได้ว่ามีบางสิ่งเพิ่งจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หยุดการเคลื่อนที่ กำศิลาเซียนไว้ในมือจนแน่น พร้อมที่จะบดขยี้มันได้ทุกเมื่อ

“นั่นก็คือการแสดงออกถึงความจริงใจของข้า” จื่อเซียงกล่าว “พวกมันไม่อาจจะรักษาอาการบาดเจ็บได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และมั่นใจได้เลยว่าคงไม่กล้าจะไล่ตามมาอีกแล้ว”

“เมิ่งฮ่าว ครั้งนี้ข้าต้องการจะร่วมมือกับท่านอย่างจริงใจ ครั้งก่อนข้าได้ทำผิดพลาดไปจริงๆ ครั้งนี้…ทำไมพวกเราถึงไม่ร่วมมือกันอย่างจริงใจ?”

“ท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวตอบ หรือบอกข้าเรื่องที่ท่านตัดสินใจ ในสุดทางตะวันออกของดินแดนอันกว้างใหญ่นี้มีภูเขาศิลาที่ยื่นออกมาอยู่ ข้าจะรอท่านอยู่ที่นั่นหนึ่งเดือน ถ้าท่านมา พวกเราก็จะร่วมมือกัน และท่านก็จะได้ครอบครองดินเซียนอีกมากมาย ถ้าท่านไม่ต้องการมา ข้าก็จะไม่บังคับ” จื่อเซียงไม่ได้ไล่ตามเขาไป เมื่อถ่ายทอดเสียงเสร็จสิ้น นางก็หยุดลงและมองเมิ่งฮ่าวพุ่งห่างออกไปไกล ยากที่จะบอกว่านางกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก นางก็หันหลังและมุ่งหน้าตรงไปทางทิศตะวันออก

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ไม่อาจจะวิเคราะห์ถึงคำพูดและการกระทำของภูติสาวจื่อเซียงได้ นางมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกินไป ก่อนหน้านี้คนทั้งสองกำลังต่อสู้กันอยู่ ต่อมานางก็กระทำเช่นนี้ถึงแม้เขากำลังไม่แน่ใจ แต่ความเร็วก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย มุ่งหน้าต่อไปเป็นเวลาแปดวัน จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีใครไล่ติดตามมาอย่างแน่นอน เขาจึงหยุดลงเพื่อพักผ่อน

อีกสามวันได้ผ่านไป และจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าต่อไป หกวันหลังจากนั้น เขาก็หยุดลงอีกครั้ง ในตอนนี้ เขามั่นใจได้ถึงแปดในสิบส่วนว่าจื่อเซียงไม่ได้ติดตามมาจริงๆ

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านางได้เปลี่ยนใจไปแล้ว?” เขาขบคิดพร้อมกับหัวเราะเสียงเย็นชา ตอนนี้เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งเซียนที่สร้างขึ้นมาเอง การออกไปจากอาณาเขตแห่งซากสะพานเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะทำจริงๆ ดวงตาสาดประกายขณะที่ครุ่นคิด หยิบเอาดินเซียนบางส่วนออกมา และส่งจิตสัมผัสเข้าไป ค่อยๆ พยายามได้รับการรู้แจ้งจากดินเซียนนี้

เขาใช้วิธีการเดียวกันกับที่เคยใช้ศึกษาธาตุไฟ หลับตาลง และโครงสร้างของดินเซียนก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ เมื่อโครงสร้างปรากฎขึ้นโดยสมบูรณ์ เขาก็จะสามารถใช้เมล็ดภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดิน ที่ได้รับมาจากเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ มาทำให้กลายเป็นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดินอย่างสมบูรณ์ นี่คือวิธีที่เขากำหนดไว้อยู่ในใจ

เวลาผ่านไป ตลอดช่วงสิบวันที่ผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวเงียบสงบ ไม่มีใครมารบกวน ที่ด้านนอก ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกอื่นๆ มากมายได้ออกจากสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว

ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา ซึ่งสาดประกายเป็นแสงเจิดจ้า ในจิตใจเขาได้มีโครงสร้างพื้นฐานคร่าวๆ ที่สามารถอ้างอิงถึงดินเซียนเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เลว…” เขาคิด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากภายในถุงสมบัติ เขาหยิบเอาเมล็ดภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดินที่อ่อนแอ ซึ่งได้รับจากเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ออกมา มันเปล่งแสงริบหรี่และกำลังจะจางหายไป เขาได้เก็บมันไว้ด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา กัดฟันแน่น ประทับมันลงไปบนแขนขวา

ทันทีที่เมล็ดภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดินถูกประทับลงไปที่แขน เจตจำนงของเมิ่งฮ่าวก็ทำให้ดินเซียนที่อยู่ในจิตใจ หลอมรวมเข้ากับเมล็ดภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดินของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์

ทั้งหมดนี้ถูกควบคุมโดยเจตจำนงของเมิ่งฮ่าว แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ สิ่งที่รู้ทั้งหมดก็คือเขาเคยใช้วิธีการนี้กับภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟ และจากการวิเคราะห์ของเขา มันน่าจะได้ผลเช่นเดียวกับการใช้กับดินเซียน

ขั้นตอนการหลอมรวมใช้เวลาสองสามวัน อย่างน่าตกใจ เมื่อทำได้สำเร็จ ก็มีบางสิ่งที่ดูคล้ายกับเป็นภาพเลือนลางของกระแสน้ำวนปรากฎขึ้นที่แขนขวา มีสีเหลืองปนน้ำตาล และทันทีที่มันปรากฎขึ้น แรงดึงดูดอย่างน่าเหลือเชื่อก็กระจายออกมาจากภาพนั้น

แรงดึงดูดนี้ไม่ได้สนใจพลังลมปราณ แต่เป็นดินเซียนที่อยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น ดินเซียนก็ถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น ถูกกลืนเข้าไป

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ฉับพลันนั้นเขาก็เริ่มเอาดินเซียนออกมามากขึ้น ทันทีที่ดินเซียนปรากฎขึ้น พวกมันก็ถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวน อีกสองสามวันผ่านไป เมิ่งฮ่าวได้ใช้ดินเซียนที่อยู่ในถุงสมบัติทั้งหมด และพวกมันก็ถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนจนเกลี้ยง แต่…แรงดึงดูดก็ยังคงมีอยู่ที่นั่น!

ยิ่งไปกว่านั้น แรงดึงดูดนี้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป มีแต่รุนแรงมากขึ้น ราวกับว่ามันกำลังแปลงร่างอยู่เมิ่งฮ่าวมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ถ้าเขามีดินเซียนเพียงพอ ก็สามารถทำให้กระแสน้ำวนนี้แปลงร่างกลายเป็นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ได้ มันก็จะกลายเป็นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุที่สี่ในห้าธาตุ ซึ่งก็คือธาตุดิน

ถ้ามันเกิดขึ้น พื้นฐานฝึกตนของเขาก็จะพุ่งขึ้นไปอีกครั้ง ช่วยให้สามารถบดขยี้ขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้อย่างง่ายดาย และทำให้ขั้นกลางวิญญาณแรกก่อตั้งพ่ายแพ้ได้อย่างแน่นอน สำหรับขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้ง อย่างน้อยเขาก็สามารถยืนหยัดต่อสู้ด้วยได้

ในตอนนี้ เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังของขั้นแกนสีทองอย่างแท้จริง แข็งแกร่งเพียงพอที่จะไม่ต้องสนใจถึงการแบ่งแยกระหว่างขั้น จากสมัยโบราณมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณเพียงคนเดียว ที่สามารถกระทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างน่าตกใจเช่นนี้

เพื่อที่จะบรรลุถึงจุดนี้ จำเป็นต้องมีแกนสีทองสมบูรณ์ และจำเป็นต้องใช้ห้าธาตุในการกลั่นสกัดรูปแบบที่สูงสุดของมัน ความรู้แจ้งที่มีพื้นฐานมาจากการเป็นเจ้าโอสถของเต๋าแห่งการปรุงยา ก็จำเป็นเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องพูดถึงการเป็นผู้ผนึกอสูรที่จำเป็นต้องมีก่อนในตอนแรก!

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเดินไปบนเส้นทางนี้ได้ก็คือเมิ่งฮ่าว ตอนนี้เขาอยู่ในจุดสูงสุดของแกนสีทองสมบูรณ์ ซึ่งสามารถต่อสู้กับขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้!

สามารถคาดคิดได้ว่าในวันหนึ่ง เมื่อเขาได้ครอบครองครบทั้งห้าธาตุ และพื้นฐานฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสีสมบูรณ์ เขาก็จะอยู่ในอาณาจักรที่ต่อต้านสวรรค์อย่างสมบูรณ์ เขาจะเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งมากที่สุดในดาวหนานเทียน (สวรรค์ทิศใต้) นอกเหนือจากขั้นตัดวิญญาณขึ้นไปอย่างแน่นอน

ผู้ถูกเลือกจากสำนักอันยิ่งใหญ่ และตระกูลต่างๆ ทั้งหมด ต้องถูกเขาบดขยี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างแน่นอน

เส้นทางวิญญาณแรกก่อตั้งของเมิ่งฮ่าว เป็นวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี เป็นเส้นทางที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เป็นเส้นทางที่สมบูรณ์!

“ข้าต้องการดินเซียนเพิ่มอีก!” เขาคิด ปกปิดกระแสน้ำวนด้วยชายแขนเสื้อ แต่แรงดึงดูดก็ยังคงอยู่ที่นั่น และมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ขณะที่เดินออกไปจากถ้ำแห่งเซียน และกลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ

สองสามวันต่อมา เขาก็กลับไปยังบึงน้ำ ยืนอยู่ที่ริมบึง ขมวดคิ้ว ไม่มีกลุ่มหมอกใดๆ อยู่ที่นั่นอีกต่อไป อาคารราชวังทั้งหมดที่ด้านล่างได้กลายเป็นซากปรักหักพังและเถ้าธุลี

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เดินลงไปยังซากอาคารเหล่านั้น ครั้นแล้วดินเซียนจำนวนเล็กน้อยก็ลอยขึ้นไปในอากาศ และพุ่งตรงมายังแขนของเขา อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว และมีดินเซียนเหลืออยู่ไม่มากนัก หลังจากที่กระแสน้ำวนดูดดินเซียนทั้งหมดเข้าไป แรงดึงดูดก็ยิ่งรุนแรงจนน่ากลัวมากขึ้น

เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

“เมื่อฝึกฝนวิถีเซียน ผู้ฝึกตนต้องไม่ปล่อยให้มีความหวาดกลัวอยู่ในจิตใจ ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น! ถึงภูติสาวจื่อเซียงนั้นจะเป็นเซียนอมตะ…แต่ในตอนนี้ นางได้ตกลงมาจากขั้นนั้นไปแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ไม่ต้องร่วมมือกับนางอีกครั้ง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!