Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 468

ตอนที่ 468

สามหมื่นอาณาจักร

หลายวันต่อมา ตรงส่วนตะวันออกของดินแดนขนาดใหญ่นี้ มีบริเวณที่ภูเขาศิลาได้ยื่นออกมากลายเป็นลานแคบๆ ซึ่งยืดยาวออกไปจากชายขอบของดินแดนอันกว้างใหญ่ ทะลุผ่านเข้าไปในความว่างเปล่า

เมื่อไปยืนอยู่บนลานแคบๆ นี้ ก็จะถูกห้อมล้อมไว้ด้วยความมืดมิด

หญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงส่วนปลายสุดของลานแคบๆ นี้ นางมีใบหน้าที่งดงามและดูท่าทางเฉยชา นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นจื่อเซียง ซึ่งมานั่งเข้าฌาณอยู่ที่นี่นานมากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว

หลังจากที่นางหยุดการไล่ตามเมิ่งฮ่าว ก็มายังที่นี่เพื่อรอคอยอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือน นางก็ยังคงรอคอยต่อไป ด้วยความเชื่อมั่นว่าเมิ่งฮ่าวต้องมาอย่างแน่นอน ถึงแม้คนทั้งสองจะไม่ได้รู้จักกันมานาน แต่เมิ่งฮ่าวก็ได้ประทับเป็นความทรงจำอย่างลึกล้ำอยู่ในจิตใจนาง

ทันใดนั้น จื่อเซียงก็ลืมตาขึ้น และมองออกไปยังท้องฟ้าที่ห่างไกล รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎขึ้นบนริมฝีปาก เมื่อนางมองเห็นลำแสงหลากสีกำลังพุ่งตรงมา

ภายในลำแสงนั้นก็คือเมิ่งฮ่าว ชุดยาวสีเขียวและเส้นผมสีดำของเขา สะบัดพริ้วไปมาในสายลมขณะที่บินอยู่ ทำให้ดูไม่เหมือนกับเป็นผู้ฝึกตน แต่เหมือนนักศึกษามากกว่า อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่เคร่งเครียดจริงจังและแววตาที่เย็นชา ทำให้เมิ่งฮ่าวดูเหมือนกับเป็นกระบี่อันแหลมคมที่หลุดออกมาจากฝัก

นางมองเขา และเขาก็มองนาง

ต้องบอกว่าจ้าวโยวหลันเป็นหญิงสาวที่งดงาม แต่ก็ไม่ได้งามพร้อมสมบูรณ์ แต่หลังจากที่ถูกยึดครองร่างมาระยะเวลาหนึ่ง ความเป็นเซียนอมตะของจื่อเซียงก็เริ่มหลอมรวมเข้าไปได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายของจ้าวโยวหลันมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกท่าทาง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นการผสมรวมกันระหว่างจ้าวโยวหลันและจื่อเซียง ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าภายในวันข้างหน้า นางจะบรรลุถึงระดับที่งดงามอย่างไร้ที่ติ ซึ่งจ้าวโยวหลันไม่มีทางจะงดงามได้ถึงระดับนั้น

สามารถจะคาดคิดได้ว่าในอนาคต การรวมตัวกันของจื่อเซียงและจ้าวโยวหลันจะเปลี่ยนไป และจะมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมิ่งฮ่าวมองไปยังจื่อเซียง ทำให้ต้องคิดไปถึงจ้าวโยวหลัน และความป่าเถื่อนโหดร้ายที่มีอยู่ในโลกแห่งการฝึกตน จ้าวโยวหลันได้พยายามขอให้เขาช่วยนาง แต่ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ไม่ใช่สิ่งที่เมิ่งฮ่าวจะต้องเสี่ยงตาย เพื่อช่วยเหลือนางอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ

ในโลกของการฝึกตน กฎแห่งป่าคือทุกสิ่ง เมิ่งฮ่าวจึงไม่ได้กระทำการใดๆ

ขณะที่มองไปรอบๆ สีหน้าเขาก็สงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ก้าวเท้าตรงไปยังลานแคบๆ ที่ยื่นออกมา เข้าไปใกล้จื่อเซียงที่ยึดครองร่างจ้าวโยวหลันอยู่

“ข้ารู้ว่าท่านจะมา” จื่อเซียงกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ซึ่งมีเสน่ห์อย่างลี้ลับออกมา

เมิ่งฮ่าวมาหยุดอยู่ข้างกายนาง สีหน้าสงบนิ่ง กล่าวเสียงเยือกเย็น “ท่านมั่นใจได้อย่างไร?”

“เพราะว่าท่านและข้า เป็นบุคคลชนิดเดียวกัน” นางกล่าว หันหน้ามามองเขา ภายในแววตาสามารถมองเห็นแสงแห่งความชื่นชมอย่างหาได้ยากยิ่ง “เมื่อมีใครพยายามจะสังหารพวกเรา พวกเราก็จะวิ่งหนี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย พวกเราก็จะมุ่งมั่นมีชีวิตรอดให้จงได้ ท่ามกลางการตระเกียกตระกายดิ้นรน พวกเราได้พบเจอกับความโชคดี เพื่อที่จะให้พื้นฐานฝึกตนของพวกเราก้าวหน้าต่อไป พวกเราก็จะพุ่งเข้าใส่สถานการณ์ที่อันตรายมากที่สุด พวกเราจะพยายามให้บรรลุถึงเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ!”

เมิ่งฮ่าวปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

จื่อเซียงพูดขึ้นอีกครั้ง เสียงของนางนุ่มนวลและมีความยินดีราวกับเป็นวิหคน้อยที่สวยงาม “ข้ารู้ว่าท่านต้องการดินเซียนจำนวนมากมาย แต่โชคร้ายที่บันทึกของผู้ฝึกตนดาวหนานเทียน (สวรรค์ทิศใต้) มีข้อมูลเพียงแค่อาณาจักรของสะพานเซียน สะพานเซียนเดินหนประกอบด้วยอาณาจักรหนึ่งหมื่นแห่งที่แตกต่างกัน ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือ สิ่งที่ท่านรู้มีเพียงน้อยนิด แม้แต่ใช้คำว่าหยดน้ำในทะเลก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายมันได้”

“ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทั้งหมด ซึ่งผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกแห่งดาวหนานเทียนได้สำรวจอาณาจักรแห่งซากสะพาน พวกมันเพียงสำรวจได้แค่ไม่กี่แห่ง ดินเซียนในที่แห่งนั้นมีอยู่น้อยนิดมาก”

“มีทางเดียวที่ท่านจะได้ดินเซียนมากมายตามที่ต้องการก็คือ ออกไปจากดินแดนแห่งนี้ อย่าได้จำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่สถานที่แห่งเดียว ไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป สถานที่ซึ่งผู้ฝึกตนแห่งดาวหนานเทียนไม่เคยไปถึงมาก่อน”

“นั่นจะเป็นสถานที่ที่ท่านจะได้พบกับดินเซียนจำนวนมากมายมหาศาล จริงๆ แล้วก็มีดินแดนอยู่แห่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากดินเซียนทั้งหมด” เมื่อจื่อเซียงพูด ก็ไม่ได้มีสีหน้าประจบ แต่มีแววตาเจิดจ้าเป็นประกาย ราวกับเป็นสระน้ำที่ใสกระจ่างแห่งฤดูใบไม้ร่วง

“ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนแห่งดาวหนานเทียน ที่มายังสถานที่แห่งนี้ไม่ต้องการจะสำรวจอาณาเขตที่มากกว่านี้ แต่สถานที่ที่พวกมันไม่รู้แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายอันร้ายแรง รวมถึงพวกมันไม่รู้ถึงเส้นทางที่จะไปยังสถานที่แห่งนั้น ทำให้แน่ใจได้ว่าพวกมันไม่เคยไปยังสถานที่นั้นมาก่อน” จื่อเซียงยิ้มน้อยๆ จริงๆ แล้วจากตำแหน่งที่นางนั่งอยู่ ทำให้มองไม่เห็นเมิ่งฮ่าว นางไม่อาจจะมองเห็นว่าเขากำลังรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่หรือไม่ สายลมพัดมาโดนเส้นผมของนาง ทำให้มันลอยพริ้วไปมา นางยื่นมือออกไปจับเส้นผมมาม้วนพันอยู่รอบๆ นิ้ว เส้นผมบางส่วนตกลงไปปิดบังใบหน้าของนางไว้ ทำให้ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิม

เมิ่งฮ่าวชำเลืองมองไปที่นาง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

“เส้นทางที่ถูกต้องไม่อาจจะเดินทางไปโดยการนั่งอยู่บนก้อนศิลา ซึ่งลอยไปมาอยู่ในความว่างเปล่า นั่นเป็นเพราะว่าก้อนศิลาที่นำไปสู่อาณาจักรแห่งนั้น ไม่ได้ปรากฎขึ้นในสถานที่หรือเวลาแห่งนี้ ต้องใช้วิชาการพยากรณ์อันพิเศษเฉพาะเพื่อค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของมันเท่านั้น”

“วิชาพิเศษเฉพาะนี้ต้องใช้การปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง และเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนแห่งดาวหนานเทียนไม่อาจจะใช้มันได้ โชคดีที่ข้ารู้เส้นทางเช่นนั้นหนึ่งแห่ง ถึงแม้มันจะไม่ได้นำไปสู่สถานที่ซึ่งลึกมากที่สุดของสะพานเซียน แต่มันก็นำไปถึงอาณาจักรที่ลึกถึงสองหมื่นแห่ง”

“นี่คือความจริงใจครั้งที่สองของข้า และพิสูจน์ให้เห็นว่าข้าไม่สนใจว่าท่านจะได้ครอบครองวิญญาณอสูรนั่นหรือไม่ จริงๆ แล้ว ข้าหวังว่าท่านจะช่วยให้ข้าได้รับวิญญาณอสูรอีกชิ้นหนึ่ง!”

“เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะพาท่านเข้าไปในส่วนลึกของอาณาจักรแห่งซากสะพาน เพื่อให้ได้ดินเซียนที่มากกว่านี้” นางหันหน้ามาและมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าจริงใจ ราวกับว่าความร่วมมือในครั้งนี้เป็นเหมือนกับที่นางได้เคยกล่าวไว้ แตกต่างเป็นอย่างมากกับครั้งแรก

เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาจะเชื่อถือภูติสาวจื่อเซียงผู้นี้ในทันทีได้อย่างไรกัน? ความเชื่อถือเป็นเรื่องที่ยากจะเกิดขึ้นระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันเอง ส่วนมากแล้วมีแต่ความร่วมมือจอมปลอมทั้งสิ้น

“วิญญาณอสูรมีประโยชน์อันใดต่อท่าน?” จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ถามขึ้นมา

จื่อเซียงลังเล จากนั้นก็มองมาที่เขาชั่วขณะ ในที่สุด ก็ดูเหมือนว่านางจะตัดสินใจได้แล้ว

“ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเรา ถ้ามันจบลงด้วยดี พวกเราก็จะผ่านเข้าไปยังความร่วมมืออื่น…และข้าก็จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจขึ้นอีกครั้ง อืม ข้าจะบอกท่านว่าทำไมข้าถึงต้องการวิญญาณอสูร”

“วิญญาณอสูรมีประโยชน์เพียงแค่อย่างเดียว คือเป็นกุญแจสำคัญเพื่อเข้าไปในอาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณ ใครก็ตามที่ได้ครอบครองวิญญาณอสูรที่แท้จริง จะสามารถย้อนกลับไปยังอาณาจักรแห่งซากสะพานที่เปิดขึ้นมาสองร้อยปี ในช่วงเวลานั้น จะได้พบกับอาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณที่ยังรุ่งเรืองอยู่อย่างแท้จริง!”

“อาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณ…” เมิ่งฮ่าวกล่าวอย่างครุ่นคิด คำพูดของนางดูเหมือนจะน่าเชื่อถือ และได้อธิบายถึงเหตุผลที่ทำไม กลุ่มพันธมิตรศาลสวรรค์แห่งดินแดนสีดำถึงได้ต้องการวิญญาณอสูร

“สะพานเซียนเดินหนถูกสร้างขึ้นมาเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยสำนักเซียนอสูรโบราณ จุดประสงค์ก็คือเป็นการช่วยนำสาขาของสำนักที่ตั้งอยู่บนดวงดาวอันยิ่งใหญ่ทั้งสี่ตรงไปยังเซียนอมตะ แต่ในสงครามกับตระกูลจี้ สะพานได้ถูกทำลายไป กลุ่มคนของสำนักเซียนอสูรโบราณ ได้สร้างค่ายกลเวทอันทรงพลังขึ้นมาด้วยการเสียสละชีวิตของตัวเอง เพื่อให้สะพานเซียนนี้ปรากฎขึ้นทุกๆ หนึ่งพันปี เพื่อให้มั่นใจว่าอาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณจะยังคงอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไปด้วยเช่นกัน…หลังจากสงครามจบลง ผู้ฝึกตนที่รอดชีวิตหลังจากที่เผชิญพบกับความผันผวนแห่งกาลเวลา ก็ได้ก่อตั้งสำนักเซียนอสูรขึ้นมาใหม่”

“ข้า…ก็คือศิษย์ของสำนักนี้”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย และสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เนื่องจากการเสียสละชีวิตในครั้งนั้น ได้ทำให้อาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณมีคำสาปแช่งหลงเหลืออยู่ ผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตามที่มาแตะต้องสิ่งของในอาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณต้องตายอย่างน่าสยดสยอง แต่ท่าน…ได้รื้อถอนเวทสะกดที่อยู่ในระดับสามของสะพาน คาดไม่ถึงว่าคำสาปนั้นไม่มีผลใดๆ ต่อท่าน นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าคิดว่าพวกเราควรจะร่วมมือกัน”

“แม้แต่ตระกูลจี้ก็ยังหวาดกลัวต่อคำสาปแช่งนั้น และด้วยเช่นนั้น จึงได้ยอมให้อาณาจักรแห่งซากสะพานคงอยู่ต่อไป และปรากฎให้เห็นทุกๆ หนึ่งพันปี” เมื่อพูดทั้งหมดจบลง จื่อเซียงก็มองมายังเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวอย่างเรียบๆ “มันเปิดออกทุกๆ หนึ่งพันปี จนผ่านมาแล้วนับไม่ถ้วน ข้าอยากรู้ว่า มันปรากฎขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง?”

“อาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณจริงๆ แล้วก็เปิดออกทุกๆ หนึ่งพันปีเท่านั้น” จื่อเซียงอธิบายช้าๆ “และสามารถเข้าไปได้โดยการใช้วิญญาณอสูรเท่านั้น แต่วิญญาณอสูรได้ถือกำเนิดขึ้นทุกๆ สามหมื่นปีเท่านั้น ดังนั้น ทั้งหมดนี้…จริงๆ แล้วมันก็เปิดออกเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น”

“สำหรับวิญญาณอสูร พวกมันไม่ได้มีอยู่แต่ในอาณาจักรแห่งซากสะพานเท่านั้น พวกมันยังได้กำเนิดขึ้นที่ด้านนอกอีกด้วย จึงเป็นไปได้ที่พวกมันจะปรากฎขึ้นในสถานที่ใดๆ ก็ตามที่มีร่องรอยของสำนักเซียนอสูรโบราณ”

“ดังนั้น…สองร้อยปีหลังจากนี้ จึงมีน้อยคนมากที่จะเข้ามาในอาณาจักรแห่งเซียนอสูรโบราณนี้ได้ อันที่จริง ผู้คนส่วนมากจะมาจากสี่ดวงดาวอันยิ่งใหญ่ แม้แต่สำนักอันลี้ลับบางแห่งจากจิ่วซานไ่ห่ (เก้าขุนเขาทะเล) ก็อาจจะปรากฎกายขึ้น”

“นอกจากนี้ เมื่อนานมาแล้ว สำนักเซียนอสูรโบราณ…คือสำนักอันดับหนึ่งแห่งจิ่วซานไ่ห่! หนึ่งในคนของสำนักนี้ก็คือราชาแห่งจิ่วซานไห่ ในครั้งนั้น ตระกูลจี้อยู่ในการปกครองของพวกมัน ต่อมาราชาแห่งจิ่วซานไห่ได้หายตัวไป จึงทำให้ตระกูลหลี่ได้ครอบครองสวรรค์ ตระกูลจี้ได้ปกครองขุนเขา ยึดเอาแก่นแท้ไปและเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการกลายเป็นเซียน ภายในจิ่วซานไห่ ใครก็ตามที่ต้องการจะฝึกฝนวิถีเซียน ก็ต้องเดินตามเส้นทางของจี้ และกลายเป็นเซียนของตระกูลจี้ ใครก็ตามที่ไม่ยอมเดินตามเส้นทางของพวกมันก็จะถูกเรียกว่าเซียนนอกคอก”

“เรื่องเช่นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านมากนัก แค่รับรู้ไว้ก็พอแล้ว ถ้าท่านมีโอกาสบรรลุกลายเป็นเซียน แล้วค่อยตัดสินใจเลือกในตอนนั้น”

“อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตของข้า ไม่ช้าก็เร็ว ท่านก็จะกลายเป็นเซียนในท่ามกลางดวงดาวเหล่านี้!”

นางสรุปคำพูดอย่างราบเรียบ แต่จิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังสั่นสะท้าน ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่นางกล่าวมา ไม่สำคัญว่าเขาจะเชื่อนางหรือไม่ เขาได้ครุ่นคิดอย่างมากมายก่อนที่จะตัดสินใจมายังที่แห่งนี้ หันหน้าไปมองจื่อเซียงถามว่า

“พวกเราจะเริ่มออกเดินทางกันเมื่อไหร่?”

ดวงตาจื่อเซียงเต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า นางตระหนักว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ความชื่นชมในตัวเมิ่งฮ่าวของนางได้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ความเด็ดขาดไร้ซึ่งความลังเลเช่นนี้ มีอยู่แต่ในบุคคลที่โง่เขลาและหลงในตัวเองอย่างที่สุดเท่านั้น หรือ…มีอยู่ในบุคคลที่มีความเชื่อมั่นอย่างสูงสุดในวิถีแห่งการฝึกตนของพวกมัน

“ถ้าเช่นนั้น” นางกล่าวกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม “มันก็ไม่เกรงกลัวต่อเล่ห์เหลี่ยมหรืออุบายใดๆ ด้วยการที่ข้าเป็นเซียนอมตะ…ข้อตกลงนี้ดียิ่ง พวกเราจะร่วมมือกัน และข้าจะไม่ปิดบังสิ่งใดๆ ต่อมัน ความร่วมมือของพวกเราน่าจะไปได้ดีในครั้งนี้!”

“ข้าคิดว่าจะรอท่านอีกสามวันก่อนจะจากไป”

“อีกสามวัน?” เขากล่าว มองไปที่นาง “ก็ดี” ด้วยเช่นนั้น เขาก็เดินไปที่ด้านข้างและนั่งลงขัดสมาธิเพื่อเข้าฌาณ ไม่ยอมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมใดๆ ออกมาอีก

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เองที่จุดห่างไกลออกไปในท้องฟ้า มองเห็นอุกกาบาตเคลื่อนที่ตรงมาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

“ศิลาก้อนนั้น!” จื่อเซียงกล่าวขณะที่มันเข้ามาใกล้ ฉับพลันนั้นนางก็ทะยานขึ้น พุ่งตรงไปยังศิลายักษ์ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็เคลื่อนย้ายทางไกลไป

คนทั้งสองไปปรากฎตัวอยู่บนก้อนศิลา และสบสายตากัน ทันใดนั้น ก้อนศิลาก็ออกไปจากหลุมที่อยู่ในริมขอบของอาณาจักรแห่งนี้และพุ่งออกไปในความว่างเปล่า

ในความมืดมิดอันไร้ขอบเขต หนึ่งชายหนุ่ม หนึ่งหญิงสาว นั่งอยู่บนก้อนศิลาขนาดใหญ่พุ่งออกไปยังที่ห่างไกล

ในเวลาเดียวกันนั้น ไกลออกไปที่ด้านหน้าของเมิ่งฮ่าวและจื่อเซียง ผู้ฝึกตนชุดสีฟ้าซึ่งสะพายกระบี่อยู่ที่ด้านหลัง ก็ก้าวเนิบนาบผ่านความว่างเปล่านี้ไป ถือขวดสุราอยู่ในมือและยกขึ้นดื่มเป็นระยะ ท่าทางโดดเดี่ยวเดียวดาย

“เจ้าถามข้าว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่…? ข้าตามหาเจ้ามาถึงสามพันปี…เจ้าไปอยู่ที่ไหน? สามหมื่นอาณาจักร, ทาสสะพานที่มากมายจนนับไม่ถ้วน ข้าได้ค้นหาไปแล้วถึงสองหมื่นอาณาจักร และพบเจอกับทาสสะพานมากมายนับไม่ถ้วน แต่เจ้า…อยู่ที่ไหนกันแน่?”

“เสวี่ย (หิมะ), ข้าสัญญาว่าจะต้องพาเจ้าออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าต้องพบเจอกับอุปสรรคใดๆ หรือข้าต้องตายไป แม้ร่างกายและวิญญาณของข้าต้องถูกทำลายลง ข้าก็ยังคงจะ…พาเจ้าออกไปให้จงได้!!”

——————–

九牛一毛 (จิ่วหนิวอี้เหมา) – แปลตรงตัวว่า หนึ่งเส้นขนในวัวเก้าตัว หรือ หนึ่งหยดน้ำในมหาสมุทร หมายถึง น้อยนิดจนน่าเวทนายิ่ง

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!