Skip to content
Home » Blog » ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย 1050

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย 1050

ตอนที่ 1050 เรียกวิญญาณกลับคืน

เซียวหวงพาฟู่หลินเพิ่งจะมาถึงนอกประตูวัดเซี่ยงกั๋ว ครั้งก่อนเณรน้อยที่มารอรับเซียวหวงก็มารออย่างนอบน้อมแล้ว เซียวหวงเห็นเขาก็มิได้แปลกใจ ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่าพระอาจารย์ทงหุ้ยมีความสามารถทางนี้

“ฟู่หลิน พี่สาวจะพาเจ้าไปพบพระอาจารย์ พระอาจารย์จะรักษาเจ้าให้หายดีนะ”

ครั้งนี้เซียวหวงไม่ได้จูงมือฟู่หลิน ทั้งสองคนเดินตามกันตามหลังเณรน้อยเข้าไปในวิหารด้านหลัง

นางข้าหลวงใหญ่ทั้งสี่ที่ตามมาต่างแปลกใจกันไม่น้อย รัชทายาทหญิงของพวกนางเคยดีกับผู้ใดเช่นนี้เมื่อใดกัน และยังเป็นชายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าประหลาดผู้นี้ ผู้อื่นไม่รู้ แต่พวกนางจะไม่รู้หรือ ชายผู้นี้ไม่ได้เคยช่วยรัชทายาทไว้ เหตุใดรัชทายาทจึงดีต่อเขาเยี่ยงนี้

แต่แม้ว่าในใจทั้งสี่คิดเช่นนี้ แต่ก็รู้กระจ่างดีเรื่องหนึ่ง ก็คือไม่ควรพูดจามากความที่ไม่เป็นผลดีต่อรัชทายาท ในฐานะบ่าวรัชทายาท นางข้าหลวงใหญ่ไม่อาจเผยเรื่องใดๆ ของเจ้านาย

พระอาจารย์ทงหุ้ยมารออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว พอเห็นเซียวหวงก็ยิ้มอ่อนโยน เอ่ยว่า “อาตมารู้ว่ารัชทายาทจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากครั้งนี้ อาตมาก็จะไปจากวัดเซี่ยงกั๋วแล้ว”

หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เช้าวันนี้เขาก็คงไปจากวัดเซี่ยงกั๋วแล้ว ไปสวดมนต์สาธยายธรรมที่อื่นต่อ

เซียวหวงได้ฟังก็รู้สึกว่าโชคดี นางหันไปมองฟู่หลินทีหนึ่งกล่าวว่า “พระอาจารย์ เสด็จแม่เราบอกว่าฟู่หลินสมองเสื่อมไม่ได้เกิดจากสมองได้รับความกระทบกระเทือน แต่เพราะจิตวิญญาณเขาไม่สมบูรณ์ เราอยากขอให้พระอาจารย์ช่วยตรวจดูฟู่หลินสักหน่อย ดูว่าจิตวิญญาณเขาไม่ครบสมบูรณ์จริงหรือไม่ หากเป็นจริงดังว่า ไม่ทราบว่ามีวิธีเรียกจิตวิญญาณที่ไม่ครบสมบูรณ์ของเขากลับคืนมาได้หรือไม่”

พระอาจารย์ทงหุ้ยได้ฟังเซียวหวงก็เงยหน้ามองฟู่หลิน บอกให้เขาเข้ามาใกล้ๆ พอตรวจสักครู่หนึ่งก็แน่ใจได้เรื่องหนึ่ง “คนเรามีสามจิตเจ็ดวิญญาณ เขาสูญเสียไปหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ ดังนั้นจึงได้กลายเป็นคนสมองเสื่อมเช่นนี้ ความจริงการจะตามหาหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเขากลับคืนมาได้ ก็ไม่ยาก แต่เรื่องนี้คงต้องให้รัชทายาทช่วยจึงจะได้”

เซียวหวงพอได้ฟังรีบเอ่ยว่า “ขอเพียงช่วยฟู่หลินได้ พระอาจารย์ให้เราทำอันใดก็ย่อมได้”

พระอาจารย์ทงหุ้ยได้ฟังเซียวหวงก็หัวเราะขึ้นมา

พวกเขามีใจให้กัน เขาก็จะช่วยให้ทั้งคู่สมหวังก็แล้วกัน

พระอาจารย์ทงหุ้ยครุ่นคิดแล้วก็สั่งการศิษย์ตนไปเตรียมของที่เขาต้องการใช้ ไม่นานก็ได้ของมาครบ ประตูหน้าต่างวิหารถูกปิดทับด้วยผ้าดำ ในวิหารมืดสนิท พระอาจารย์ทงหุ้ยยกมือขึ้นจุดตะเกียงนำวิญญาณ จากนั้นก็เขาท่องมนต์ค่ายกลเรียกวิญญาณ ไม่นานค่ายกลเรียกวิญญาณก็เปิดประตูวิญญาณออก

พระอาจารย์เอ่ยเร่งเซียวหวงว่า “นี่คือประตูวิญญาณไปที่ใดก็ได้ ตอนนี้เจ้าเริ่มเรียกชื่อฟู่หลินผ่านประตูวิญญาณนี้ หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเขาได้ยินเสียงเจ้าก็จะต้องตามเสียงเจ้ากลับมาแน่ ถึงตอนนั้น ฟู่หลินก็จะรวมหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณครบสามจิตเจ็ดวิญญาณ”

เซียวหวงได้ฟังก็ดีใจอย่างมาก รีบส่งเสียงเรียกไปทางประตูวิญญาณที่ทอประกายแสงสีเหลือง “ฟู่หลิน ฟู่หลิน เจ้าอยู่ที่ใด รีบกลับมา พี่สาวจะพาเจ้ากลับบ้าน”

“ฟู่หลิน เจ้าอยู่ที่ใด”

เซียวหวงเรียกติดต่อกันหลายครั้ง ก็ไม่เห็นในประตูวิญญาณสีเหลืองจะมีการเคลื่อนไหวอันใด มีแต่ความเงียบสงบ ฟู่หลินที่ยืนอยู่ พลันเดินมาข้างกายเซียวหวง ยื่นมือสอดเข้าไปในมือของเซียวหวง แสดงท่าทางบอกให้รู้ว่าตนอยู่ที่นี่

เซียวหวงหันไปมองเขาทีหนึ่ง อดยิ้มไม่ได้ ส่งเสียงตะโกนเรียกผ่านประตูวิญญาณยิ่งดัง “ฟู่หลิน เจ้ารีบกลับมา พี่สาวจะพาเจ้ากลับบ้าน”

เพียงแต่นางเรียกได้ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวอันใด เซียวหวงอดเป็นห่วงไม่ได้ หรือว่าหาหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของฟู่หลินไม่พบ

นางเพิ่งคิดจบก็พลันเห็นประตูวิญญาณมีร่างเงาเลือนรางเงาหนึ่ง เป็นเงาร่างบางเบาอย่างที่สุด แต่มองให้ละเอียดก็มองออกว่าเป็นเงาร่างของฟู่หลิน เซียวหวงดีใจอย่างที่สุด หันไปส่งเสียงเรียกพระอาจารย์ทงหุ้ย “พระอาจารย์ นั่นใช่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของฟู่หลินหรือไม่”

พระอาจารย์ทงหุ้ยยกมือโบกสะบัด เงาร่างเลือนรางนั้นก็เข้าประกบร่างฟู่หลิน

สามจิตเจ็ดวิญญาณร่วมเป็นหนึ่ง ฟู่หลินพลันเข่าอ่อนหมดแรงล้มพับลงกับพื้น เซียวหวงยื่นมือไปประคองเขาไว้ ร้อนใจมองไปยังพระอาจารย์ทงหุ้ย “พระอาจารย์ เหตุใดเขาจึงหมดสติ”

พระอาจารย์ทงหุ้ยยิ้มเอ่ยว่า “อีกสักครู่ก็ฟื้นแล้ว ไม่มีอันใด แต่อาตมาขอสิ่งของจากองค์หญิงสิ่งหนึ่งเพื่อสะกดสามจิตเจ็ดวิญญาณเขาไว้”

เซียวหวงรีบถามของใด พระอาจารย์ทงหุ้ยบอกว่าต้องการใช้เส้นผมรัชทายาทเส้นหนึ่ง

เซียวหวงดึงเส้นผมเส้นหนึ่งออกมาจากศีรษะอย่างไม่ลังเล ส่งให้พระอาจารย์ทงหุ้ย พระอาจารย์ทงหุ้ยใช้ยันต์ห่อไว้ส่งใส่มือเซียวหวง “องค์หญิงนำของสิ่งนี้ไปไว้ที่ตัวประสกฟู่ อีกสามเดือนจิตวิญญาณเขาก็จะมั่นคงแล้ว”

ยามนี้เซียวหวงดีใจมาก ขอบคุณพระอาจารย์ทงหุ้ยอย่างนอบน้อม พาฟู่หลินไปพักผ่อนที่วิหารข้าง

ฟู่หลินหลับไปไม่นานก็ฟื้นขึ้นมา

พอเขาลืมตาขึ้น แววตาก็พลันเยียบเย็น มองเสาขื่อด้านบนนิ่งเงียบคล้ายดังไร้ชีวิต

เซียวหวงเห็นเขาฟื้นขึ้นมาก็ส่งเรียกอย่างดีใจ “ฟู่หลิน”

ฟู่หลินได้ยินเสียง คิดว่าตนเองคิดไปเอง จึงไม่กล้าขยับ

เซียวหวงอดเรียกอีกคำไม่ได้ “ฟู่หลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่ อีกอย่าง เจ้ายังจำพี่สาวได้หรือไม่”

คำว่า พี่สาว ทำให้ฟู่หลินได้สติ ความจริงตั้งแต่เขาโตมา เขาก็ไม่เคยได้เรียกฟู่หวงว่าพี่สาว เขาเรียกนางว่าอาหวง ความจริงเขาชอบนาง แต่ไม่กล้าบอกนาง ไม่กล้าให้นางรู้ความในใจเขา และนางเองก็ความรู้สึกช้า ไม่เคยรู้ความในใจเขาเช่นกัน

เพียงแต่ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรือ เหตุใดจึงได้ยินเสียงอาหวง หรือว่าเพราะพวกเขาตายไป ดังนั้นจึงได้มาพบกันอีกครั้ง

ฟู่หลินคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดดีใจไม่ได้ เขาค่อยๆ หันไปมองเซียวหวง หน้าตาเซียวหวงต่างจากภพก่อนเล็กน้อย แต่แม้เช่นนั้น ฟู่หลินเพียงมองเซียวหวงแค่ทีหนึ่งก็จำได้ว่าเป็นนาง แววตานางเหมือนกับเมื่อก่อน

เซียวหวงเห็นเขามองมา ก็ทั้งเป็นห่วงและเคร่งเครียด รีบถามว่า “ฟู่หลิน เจ้าสบายดีหรือไม่”

ฟู่หลินมองนางเป็นนานไม่ขยับ เขารู้สึกว่าผ่านมานานมากแล้ว นานจนเขาสิ้นลม จึงได้พบกับนางอีกครั้ง

ฟู่หลินพลันน้ำตาไหลทะลักออกมา เขายื่นมือออกไปกอดเซียวหวงแนบอกไว้แน่น

“อาหวง พวกเราพบกันอีกแล้ว”

เซียวหวงได้ยินเขาเรียก ก็ยิ้มเอ่ยว่า “ใช่ พวกเราพบกันอีกแล้ว ครั้งนี้พวกเราจะมีชีวิตที่ดีไปด้วยกัน”

ฟู่หลินยิ้ม แววตาเปล่งประกายแห่งความหวังในชีวิต

ทั้งสองคนกอดกันได้ครู่หนึ่ง เซียวหวงก็บอกให้ฟู่หลินปล่อยนาง ฟู่หลินคล้ายไม่ได้ยิน ยังคงกอดนางไว้แน่น พลางกระซิบเบาว่า “หากรู้ว่าตายแล้วจะได้พบอาหวง ข้ามาพบเจ้านานแล้ว”

เซียวหวงพอได้ฟังก็รู้ว่าฟู่หลินคิดว่าพวกเขาได้พบกันหลังความตาย ก็อดลูบหลังปลอบใจเขาไม่ได้ กล่าวว่า “พวกเราตายแล้วและมาเกิดใหม่แล้ว เจ้าปล่อยข้าก่อน ข้าจะเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้เจ้าฟัง”

ฟู่หลินไม่ยอมปล่อย กล่าวอย่างเอาแต่ใจว่า “ก็กล่าวไปเช่นนี้”

เซียวหวงไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะสงสารเขา จึงไม่ได้ดึงดันให้เขาปล่อย เล่าเรื่องนางกลับมาเกิดใหม่ จน สุดท้ายเล่าเรื่องจิตวิญาณเขาไม่ครบส่วน

พอฟู่หลินได้รู้เรื่องราวที่ผ่านมา เขาก็ปล่อยเซียวหวงออก พลางกล่าวอย่างดีใจว่า “กล่าวเช่นนี้ พวกเรากลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วหรือ”

“ใช่ พวกเราจะมีชีวิตดีๆ ไปด้วยกัน”

ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!