Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 702

ตอนที่ 702

ค้นหาเต๋าของจื่อตง!

เสียงของใบหน้าที่อยู่ในกลางอากาศฟังดูเก่าแก่โบราณ และขณะที่มันดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง มือสีแดงขนาดใหญ่ก็ตกลงมา คว้าจับไปยังเมิ่งฮ่าวและวิญญาณของสวี่ชิง จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า

เพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็หายไป…

สิ่งที่ยังเหลืออยู่เบื้องหลังก็คือ ซากปรักหักพังของสำนักชิงหลัว และใบหน้าที่ซีดขาวของศิษย์นับแสนคน ปรมาจารย์หกเต๋ายืนอยู่ที่นั่น พร้อมกับสีหน้าที่ดูน่าเกลียดของมัน

มันจ้องมองไปยังท้องฟ้าพร้อมกับกัดฟันแน่น ขณะที่สีแดงค่อยๆ จางหายไป

“สำนักเซี่ยเยา! (อสูรโลหิต)” จิตใจมันราวกับมีหยดโลหิตไหลออกมา มันพ่ายแพ้แล้ว เป็นการพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ทำให้จิตใจมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่พุ่งขึ้นมา

“ผู้แข็งแกร่งมากที่สุดในดินแดนด้านใต้!” มันคิด ก่อนหน้านี้มันดูถูกความคิดเช่นนี้ แต่หลังจากที่ได้ต่อสู้กันในวันนี้ มันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับเท่านั้นว่า ปรมาจารย์อสูรโลหิตเป็นผู้แข็งแกร่งมากที่สุดในดินแดนด้านใต้อย่างแท้จริง

“ข้าคิดว่าแม้แต่เจี้ยนเฉินจื่อแห่งสำนักอีเจี้ยน (กระบี่เดียวดาย) ก็คงสู้อสูรโลหิตไม่ได้” สีหน้ามันสลดลงมากยิ่งขึ้น ในที่สุดมันก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ กลายเป็นกลุ่มควันสีดำพุ่งลงไปในพื้นดิน

สำนักชิงหลัวยังไม่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น แต่ร้อยหนึ่งพันภูเขาหลักก็ถูกบดขยี้ไปมากกว่าครึ่ง เหลืออยู่เพียงแค่สองหมื่นลูกเท่านั้น ไม่ว่าจะมองในแง่ของส่วนชิงหยางหรือหลัวยิน สำนักก็ถูกทำลายลงไปแล้ว

ผู้แข็งแกร่งตัดวิญญาณสี่คนได้ตายไป!

ผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณและวิญญาณแรกก่อตั้ง จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนก็สูญเสียชีวิตไปด้วยเช่นเดียวกัน ต้องขอบคุณผู้พิทักษ์เต๋าแห่งสำนักชิงหลัว ทำให้พวกมันยังคงถือได้ว่าเป็นสำนักใหญ่ แต่สำนักก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย จนยากที่จะเทียบกับจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ของพวกมัน หลังจากที่ผ่านไปนับหมื่นปี

ในเวลาเดียวกันนั้น เกราะป้องกันสีโลหิตซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ก็หายไป เกราะป้องกันสีโลหิตซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเหนือสำนักจื่อยิ่น, สำนักอีเจี้ยน, สำนักจินหาน รวมทั้งตระกูลหลี่และซ่ง ต่างก็หายไปด้วยเช่นเดียวกัน

สำนักและตระกูลต่างๆ ไม่ได้ถูกผนึกไว้อีกต่อไป ผู้แข็งแกร่งของพวกมันต่างก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปในดินแดนด้านใต้ทันที เพื่อจะไปชำระความแค้นกับสำนักเซี่ยเยา อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นซากปรักหักพังของสำนักชิงหลัว พวกมันก็อ้าปากค้าง

ทันใดนั้น พวกมันต่างก็ปกปิดความต้องการที่จะไปชำระความแค้นไว้

อย่างช้าๆ คำพูดตั้งแต่สมัยโบราณ ‘ผู้แข็งแกร่งมากที่สุด’ ได้เริ่มแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้อีกครั้ง

ไม่กี่ชั่วยามหลังการจากไปของเมิ่งฮ่าว ตานกุ่ยได้ปรากฏขึ้นในอากาศเหนือสำนักชิงหลัว ใบหน้าดูแก่ชราลงไปมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ท่านมองลงไปอย่างเงียบๆ ยังซากปรักหักพังที่ด้านล่าง

หลังจากเวลานานผ่านไป ท่านก็ถอนหายใจและเริ่มพึมพำกับตัวเอง “ข้าเป็นอาจารย์ แต่ก็ไม่อาจจะช่วยศิษย์ทายาทของข้าได้ แล้วข้ายังจะมีคุณสมบัติ…ที่จะเป็นอาจารย์ของมัน…?”

“มันคุกเข่าโขกศีรษะสามครั้ง และเรียกข้าว่าอาจารย์…” ในที่สุด ตานกุ่ยก็เงยหน้าขึ้น ความมุ่งมั่นสาดประกายอยู่ในดวงตา

“ข้ามีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายมานานเกินไปแล้ว ตอนนี้…ก็มาถึงจุดที่ข้าไม่ต้องการจะเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นเซียนอีกต่อไปแล้ว…บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่าข้ารู้สึกหวาดกลัว?”

“เวลาที่ต้องตัดได้มาถึงแล้ว…” ท่านส่ายหน้า หันหลังกลับไปยังสำนักจื่อยิ่น

สามวันหลังจากที่ท่านกลับไป เต๋าอันยิ่งใหญ่ก็ตกลงมา ในตอนนั้นสายตาทุกคู่ของผู้แข็งแกร่งในดินแดนด้านใต้ ได้มองตรงไปยังสำนักจื่อยิ่น

อันที่จริง ไม่ได้มีเพียงแค่เต๋าอันยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ตกลงมา แต่มีถึงสาม!

ในสำนักอีเจี้ยน มีชายชราผู้หนึ่งสวมใส่ชุดยาวสีขาว ที่ด้านหน้ามีกระบี่ประกายจันทร์ลอยอยู่ “จื่อตง (บูรพาม่วง)…ในที่สุดก็ทำการตัดแล้ว!” มันกล่าวเสียงแผ่วเบา

ในสำนักจินหาน ลึกเข้าไปในเขตหวงห้าม ภายในความมืดมิด แสงอันลี้ลับทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นซึ่งดูคล้ายกับเป็นดวงตา “มันเตรียมความพร้อมมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปแล้ว?”

ผู้แข็งแกร่งตระกูลหลี่และซ่ง รวมทั้งคนอื่นๆ อีกมากมาย ต่างก็จ้องมองตรงไปยังสำนักจื่อยิ่น เพื่อเป็นสักขีพยานให้กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้

“ในชาติก่อนของมัน จื่อตงเจินเหรินปฏิเสธที่จะกลายเป็นเซียนเทียมแห่งตระกูลจี้ มันปรารถนาที่จะเป็นเซียนแท้ แต่โชคร้ายที่ได้ตายไปในช่วงการเข้าฌาณ ก่อนที่ทัณฑ์เซียนของมันจะมาถึง มันได้เปลี่ยนชีวิตต่อมาจากวัฏจักรการเกิดใหม่ให้กลายเป็นเม็ดยา และเมื่อวิญญาณแห่งเม็ดยาตื่นขึ้นมา มันก็กลายเป็นตานกุ่ยต้าซือ…”

“เต๋าอันยิ่งใหญ่ทั้งสาม และการตัดสามครั้งอย่างต่อเนื่อง มีพื้นฐานจากความรู้ที่มันได้มาจากชาติก่อน ดูเหมือนว่ามันกำลังเลื่อนจากตัดวิญญาณ…เข้าไปสู่ค้นหาเต๋า!”

“เมื่อพิจารณาจากพรสวรรค์ของจื่อตงเจินเหริน และธรรมชาติของการตัดครั้งนี้ ก็คงอีกไม่นานก่อนที่มันจะไปอยู่ที่ขั้นสูงสุดของค้นหาเต๋า คำถามก็คือว่า…มันจะสามารถกลายเป็นเซียนแท้ในครั้งนี้ได้หรือไม่?!”

“เซียนแท้…เซียนแท้…ไม่ว่าจะกลายเป็นเซียน หรือวิญญาณต้องแตกกระจายตกตายไป หลังจากนี้ก็จะไม่มีการเกิดใหม่อีก มีเพียงคนผู้หนึ่งถูกลบล้างออกไปโดยสิ้นเชิงเท่านั้น”

นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้แข็งแกร่งอีกผู้หนึ่งได้ปรากฏกายขึ้น เป็นใครบางคนที่นั่งอยู่บนภูเขาสีโลหิต สวมใส่ชุดยาวสีโลหิต “เส้นทางแห่งเซียนแท้ที่เปิดออกทุกๆ หนึ่งหมื่นปี ได้เปิดออกอีกครั้ง โอกาสที่จะกลายเป็นเซียนแท้ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ข้าอยากรู้นักว่า…จะมีผู้คนมากมายเท่าใดที่จะสิ้นวาสนาในเต๋าของพวกมัน ร่างกายและวิญญาณกระจัดกระจายหายไป? เมิ่งฮ่าว โชคชะตาได้เชื่อมต่อระหว่างเจ้าและข้า เพื่อเป็นพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร”

“ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่เห็นแก่ตัว ที่ข้าได้บังคับให้เจ้าเข้าสังกัดสำนักเซี่ยเยา แต่ข้าก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ ต่อเจ้า ข้าเพียงแต่ไม่ค่อยพอใจต่อความแข็งกร้าว อวดรู้ของพันธมิตรผู้ผนึกอสูรของเจ้าทั้งแปดรุ่นเท่านั้น!”

“พันธมิตรผู้ผนึกอสูร เป็นผู้พิทักษ์แห่งจิ่วต้าซานไห่ จิตใจเจ้า…อยู่ที่จิ่วต้าซานไห่ หรือว่าอยู่ด้านนอก!?”

“ถ้าอยู่ด้านนอก เจ้าก็ไม่มีค่าพอต่ออาณาจักรขุนเขาทะเล ถ้าจิตใจเจ้าอยู่ที่นั่น แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ผนึกสวรรค์, ผู้ผนึกอสูร!?”

“เริ่มจากในสมัยโบราณ พันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรมักจะไร้จิตใจ ใช่หรือไม่ว่ารุ่นที่เก้า…ก็เป็นเช่นเดียวกัน…? ข้าไม่อยากเชื่อ!”

“ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า อันที่จริงข้าจะมอบโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้า ข้าจะช่วยให้เจ้าเติบโตขึ้น และจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับเจ้า เมื่อเจ้าต้องการจะจากที่แห่งนี้ไป ข้าก็จะไม่รั้งเจ้าไว้ ข้าเพียงแต่หวังว่าประสบการณ์และเวลาในสำนักเซี่ยเยาของเจ้านี้ จะทำให้เจ้าหยุดคิดได้ชั่วขณะ เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจสำคัญในวันข้างหน้า” ชายชราผู้นั้นถอนหายใจ ขณะที่พึมพำกับตนเอง และเสียงนั้นก็ดังก้องออกไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้

ภูเขาที่มันยืนอยู่นั้น มีนามว่าภูเขาอสูรโลหิต

สำนักเซี่ยเยาเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่แห่งดินแดนด้านใต้ ในอดีตที่ผ่านมา มันเป็นสถานที่ที่มีความลี้ลับอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนที่ได้ยินชื่อนี้ อันที่จริงน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันตั้งอยู่ในที่แห่งใดกันแน่ พวกมันรู้แต่เพียงว่าศิษย์สำนักเซี่ยเยาต่างก็เป็นนักฆ่าที่เด็ดขาดกันทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่น…หลี่ซือฉี!

อีกคนที่เป็นที่รู้จักกันดีในท่ามกลางกลุ่มดาวอันเจิดจ้าของสำนักก็คือ หวังโหย่วฉาย ซึ่งถูกปกคลุมด้วยแสงสีโลหิตในทุกที่ที่มันผ่านไป

จริงๆ แล้ว สำนักเซี่ยเยาไม่ได้มีอาณาเขตที่กว้างใหญ่มากนัก มันประกอบด้วยเพียงแค่ห้าภูเขาเท่านั้น

ภูเขาที่อยู่ตรงกลางเป็นภูเขาอสูรโลหิต ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยสี่ภูเขาอื่นๆ ที่ไร้นาม แต่ก็ถูกเรียกด้วยชื่อของผู้ที่ได้ครอบครองพวกมันอยู่

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาอสูรโลหิต ด้านหลังเป็นปากถ้ำซึ่งกระจายแสงสีโลหิต และมีกลิ่นอายที่โอ่อ่าเย็นชาออกมาเป็นระยะ

ที่ด้านหน้าเขาเป็นวิญญาณของสวี่ชิง ถูกห้อมล้อมด้วยลูกทรงกลมที่เปล่งแสงเจิดจ้าสีแดง

เมิ่งฮ่าวมองไปยังนาง และนางก็มองมาที่เขา

พวกเขาถูกแยกออกจากกันโดยหยินและหยาง แต่สายตาก็ดูเหมือนจะเชื่อมต่อกันไปชั่วนิรันดร์

ที่กำลังยืนอยู่ที่นั่นบนภูเขาอสูรโลหิตด้วยเช่นกัน เป็นเงาร่างที่ถูกห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายแห่งโลหิต ยากที่จะมองเห็นใบหน้าของมัน แต่ตอนนี้มันกำลังจ้องมองขึ้นไปยังท้องฟ้า “เจ้าได้คิดแล้วหรือไม่?” มันกล่าวขึ้นช้าๆ

เมิ่งฮ่าวไม่ตอบ เขามาอยู่ในสำนักอสูรโลหิตได้สองสามวันแล้วตอนนี้ เมื่อเขามาถึงในตอนแรก เงาร่างสีโลหิตได้กล่าวกับเขาเพียงไม่กี่คำ

“เจ้าต้องการจะอยู่กับคนรักของเจ้าไปตลอดชีวิต หรืออยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต? ชั่วชีวิตได้รวมถึงชีวิตที่อยู่คนเดียว แต่ชีวิตที่อยู่คนเดียวไม่ได้รวมทั้งชั่วชีวิต ชีวิตที่อยู่คนเดียวเป็นเรื่องที่เรียบง่าย และข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้ แต่สำหรับชั่วชีวิต…ข้าไม่อาจจะช่วยเจ้าได้”

นั่นเป็นทางเลือกที่ถูกกำหนดขึ้นมาให้กับเขา

เมิ่งฮ่าวไม่ตอบ ได้แต่มองไปยังสวี่ชิง นางก็ไม่กล่าวอันใดด้วยเช่นกัน เพียงแต่มองกลับมาที่เขาเท่านั้น

นั่นก็คือครั้งสุดท้ายจนกระทั่งถึงตอนนี้ ที่เงาร่างสีโลหิตได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็กล่าวตอบ ด้วยเสียงแผ่วเบา “สวี่ชิงและข้ามีคำสัญญาร่วมกัน นางอยู่ ข้าอยู่, นางตาย ข้าตาย”

เงาร่างสีโลหิตเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนที่เสียงเก่าแก่โบราณของมันจะดังก้องออกไปทั่วทั้งภูเขาอสูรโลหิตอีกครั้ง

“ถ้าเจ้าเลือกที่จะอยู่คนเดียว ข้าก็จะหลอมรวมวิญญาณของนางเข้าไปในกายเนื้อของนาง โดยการถนอมรักษาไว้ด้วยสิ่งวิเศษของสวรรค์และปฐพี นางก็สามารถจะฟื้นคืนกลับมาได้โดยสมบูรณ์ภายในเวลาหนึ่งร้อยปี”

“อย่างไรก็ตาม วิญญาณของนางได้ถูกทำลายไป และร่างกายก็อ่อนแอ การหลอมรวมเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และถ้ามันล้มเหลว นางก็ไม่อาจจะอยู่ได้แม้แต่หนึ่งร้อยปี ถึงแม้จะทำได้สำเร็จ แต่นางก็ไม่อาจจะบรรลุถึงขั้นตัดวิญญาณได้ เจ้าอาจจะสามารถใช้เวลาหนึ่งพันปีกับคนอื่นๆ จนกระทั่งอายุขัยของนางมาถึงจุดจบ”

“ถ้าเจ้าเลือกชั่วชีวิต เช่นนั้น…นางก็ต้องเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ วิญญาณนางจะเดินทางไปยังปรโลกแห่งขุนเขาที่สี่ และนางจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ แต่ขุนเขาที่นางจะเกิดขึ้นมา ก็ยากที่จะระบุได้ ก่อนที่จะกลายเป็นเซียน นางไม่อาจจะจดจำเรื่องราวใดๆ จากชาติก่อนของนาง อย่างไรก็ตาม ในตอนที่นางกลายเป็นเซียน นางก็จะรำลึกเรื่องในอดีตได้ทุกสิ่ง”

“จากนั้น นางก็จะสามารถอยู่เป็นเพื่อนเจ้าไปชั่วชีวิต”

“เจ้ามีทางเลือกที่ต้องตัดสินใจ นำนางไปยังปรโลกเพื่อกำเนิดใหม่ หรือจะอยู่กับนางที่นี่หนึ่งพันปี”

“ถ้าเจ้าจะนำนางไปยังปรโลก ข้าก็มีวิธีที่จะไปส่งพวกเจ้าทั้งสอง ข้ามีข้อตกลงที่ดีกับตี้จ้างต้าจุน คนรักของเจ้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในปรโลก และเมื่อกลับชาติมาเกิดใหม่ นางก็จะมีโชควาสนาอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่นางจะกลายเป็นเซียนแท้”

“เจ้ามีเวลาหนึ่งเดือนเพื่อตัดสินใจ ข้าจะรอเจ้าที่สระโลหิต” เงาร่างสีโลหิตค่อยๆ กลายเป็นแสงสีโลหิตจางหายไปอย่างช้าๆ

ดวงตะวันขึ้นและตกลงไป เมิ่งฮ่าวมองไปยังสวี่ชิง และนางก็มองกลับมาอย่างนุ่มนวล

คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน เพียงแค่มองตาซึ่งกันและกัน วันแล้ววันเล่า, วันแล้ววันเล่า…

ครึ่งเดือนผ่านไป ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเป็นเวลานานชั่วนิรันดร์ แต่ในที่สุด นางก็ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ส่งข้าเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ข้าไม่ต้องการหนึ่งพันปีที่สวยงาม ข้าต้องการจะใช้ชีวิตทั้งหมดของข้าร่วมกับท่าน”

เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวตอบ

นางมองไปที่เขาชั่วครู่ “พวกเราได้สัญญากันแล้ว, ใช่หรือไม่? ข้าต้องการจะแก่ชราไปพร้อมกับท่าน…”

เมิ่งฮ่าวส่ายหน้า กำลังจะอ้าปากพูด แต่สวี่ชิงก็ยิ้มและกล่าวแทรกขึ้นมา “ท่านกลัวว่าไม่อาจจะหาข้าพบ ใช่หรือไม่?”

“ผู้อาวุโสอสูรโลหิตกล่าวว่า ถ้าข้าเลือกที่จะไปเกิดใหม่ ก็เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าข้าจะไปเกิดที่ขุนเขาไหน…แต่พวกเรามาทำข้อตกลงร่วมกันเถอะ ท่านมาค้นหาข้า และข้าก็จะรอคอยท่าน…”

“ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ศิษย์น้อง ข้อตกลงของพวกเราในชาตินี้ ก็คือข้อตกลงทั้งชีวิต…”

“ในชีวิตหน้าของข้า ข้าต้องฝันว่าท่านกำลังเหยียบย่างผ่านสวรรค์เพื่อมาค้นหาข้า ท่านจะยื่นมือมาพาข้าไป และพวกเราก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป”

“ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้ พวกเราจะอยู่ด้วยกันเป็นเวลาเก้าสิบเก้าปี ในปีสุดท้าย…ข้าจะเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่” สวี่ชิงมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง

เมิ่งฮ่าวมองไปยังนางและจากนั้นก็พยักหน้า ความเจ็บปวดเสียดแทงอยู่ในจิตใจ

นางยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่สวยงาม เขายื่นมือตรงไปยังไข่มุกเรืองแสงสีแดงซึ่งมีวิญญาณของนางอยู่ด้านใน และไข่มุกก็ลอยลงมาอยู่บนฝ่ามือ เขาหลับตาลงและกำมันไว้แน่น ราวกับว่ากำลังกอดนางอยู่

เขาไม่เคยจะลืมว่า ความงดงามของนางได้เปลี่ยนเป็นความแก่ชราได้อย่างไร

เขาไม่เคยจะลืมว่า พลังชีวิตบางส่วนของเขา ประกอบด้วยพลังชีวิตของนางได้อย่างไร

ในที่สุด เขาก็ลืมตาขึ้นมาและยืนขึ้น “ไม่สำคัญว่าท่านจะไปเกิดยังขุนเขาไหน ข้าจะไปหาท่านอย่างแน่นอน”

ด้วยเช่นนั้น เขาจึงนำวิญญาณของสวี่ชิงซึ่งส่องแสงเจิดจ้าราวกับโลหิต เข้าไปในปากถ้ำที่อยู่ด้านหลังด้วยความระมัดระวัง

เมิ่งฮ่าวเดินเข้าไปในถ้ำที่ไม่ลึกนัก ไปถึงจุดสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ที่ตรงหน้าเขาเป็นสระสีโลหิต ภายในสระเป็นซากศพที่เหี่ยวแห้ง ซึ่งกระจายระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นออกมา ทำให้ดูดุร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ และที่งอกออกมาจากหน้าผากของมันเป็นเขาสีโลหิต

มันสวมใส่ชุดที่ขาดรุ่งริ่งสีโลหิต และผิวกายที่เห็นก็เป็นสีแดงเข้ม ซึ่งปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดสีเขียว ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้ดูค่อนข้างน่ากลัว ริมฝีปากของมันแห้งเหี่ยว ดวงตาจมลึกลงไปในเบ้าตา ทั่วทั้งร่างเหี่ยวแห้ง ภายในปากของมันมองเห็นเป็นเขี้ยวที่แหลมคมราวกับใบมีด

มันมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้ฝึกตน

นี่คืออสูร! ปรมาจารย์อสูรโลหิต!

———————

หมายเหตุ : 地藏大尊 (ตี้จ้างต้าจุน) – เป็นพระโพธิสัตว์ที่ตั้งปณิธานว่าจะช่วยสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นจากนรกภูมิ ไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!