Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 140

Lord of the Mysteries 140

ตอนที่ 140 : รนหาที่ตายเก่ง

“ต้นกำเนิดของเหลวสีทอง”

หลังจากท่องครบเจ็ดครั้ง ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางใช้มือขวาถือแผ่นกระดาษหนัง มือซ้ายคว้าหยดของเหลวสีทองไว้

ชายหนุ่มไม่มั่นใจว่า ตนสามารถทำนายหาสิ่งของจำลองได้หรือไม่ เพราะหยดของเหลวสีทองยังไม่ถูกนำออกจาก 3-0782 ในโลกความจริง แต่ไคลน์อยากทดสอบ มันสามารถทำอะไรก็ได้บนมิติสายหมอกแห่งนี้

นัยน์ตาชายหนุ่มเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นเกือบดำ เป็นผลของการเข้าฌาน

มันหลับตาลงและสะกดจิตตัวเองให้ฝัน ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าก่อตัวเป็นฉากเหตุการณ์พร่ามัว

ขณะทุกสิ่งในความฝันกำลังโกลาหล ทันใดนั้น ดวงอาทิตย์สีทองสว่างเจิดจ้า พลันปรากฏตัวกึ่งกลางฉากอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มาพร้อมเสียงระเบิดบางเบาแต่ชวนให้เย็นสันหลัง ดังก้องห้วงมิติความฝันของไคลน์

แสงสว่างทั้งบริสุทธิ์และเข้มข้นจนชายหนุ่มรู้สึกแสบตา

ชั่วอึดใจถัดมา ทุกสรรพสิ่งในการมองเห็นได้ถูกเปลวเพลิงทองอร่ามแผดเผาฉับพลัน

บึ้ม!

ไคลน์ถูก ‘ผลัก’ ออกจากความฝันโดยไม่ทันตั้งตัว เปลวเพลิงสีทองกำลังลุกท่วมร่างกายชายหนุ่มภายในมิติสายหมอก อวัยวะทุกส่วนของร่างกายถูกไฟคลอกทั้งเป็น

สติไคลน์กระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อ มันมิอาจรวบรวมสมาธิเพื่อจดจ่อสิ่งใด หัวสมองเผชิญความปั่นป่วนและหมุนเคว้ง

ครืนนนน…!

วังสวรรค์โอ่อ่าภายในห้วงมิติสายหมอกเริ่มพังครืน ไม่ว่าจะเป็นโดมหลังคาสูง เสาหินต้นใหญ่ โต๊ะทองแดงยาวเก่าแก่ เก้าอี้พนักสูงจำนวนกว่ายี่สิบตัว ทุกสิ่งถูกทำลายจนพังพินาศ เศษหินกระจัดกระจายถ้วนทั่ว โต๊ะทองแดงแหลกละเอียดชิ้นเล็กชิ้นน้อย

สามวินาที หายนะเกิดกับไคลน์และมิติสายหมอกเพียงสามวินาทีถ้วน

จากนั้น ความสงบสุขเริ่มกลับคืน ประหนึ่งเหตุการณ์ก่อนหน้าเป็นแค่ความฝัน

เปลวเพลิงสีทองบนตัวไคลน์ดับสนิท เหลือทิ้งไว้เพียงผิวหนังไหม้เกรียมทุกรูขุมขน เสียงร้องครวญครางจากลำคอดังแผ่วเบา

แต่อย่างน้อยก็ได้รับสตินึกคิดกลับคืนมา

ไคลน์ใช้แขนสองข้างพยุงตัวขึ้นจากเก้าอี้ เรี่ยวแรงยังกลับคืนมาไม่ครบ การเคลื่อนไหวจึงเป็นไปอย่างทุกลักทุเล อารมณ์หวาดผวาจากเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ยังคุกรุ่น

มันไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเทคนิคทำนายจะมอบผลลัพธ์หายนะเช่นนี้ได้

ชายหนุ่มหายใจหอบ สายตากวาดมองรอบตัวเพื่อสำรวจความเสียหาย

ท้องพระโรงวังสวรรค์พังพินาศหนักหน่วง หากพิจารณาว่า มิติแห่งนี้ไม่เคยเกิดความเปลี่ยนแปลงใดมาก่อน เหตุการณ์เมื่อครู่จึงถือเป็นหายนะไม่ธรรมดา

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

พลังทำนายของตน มุ่งตรงไปยังตัวตนสูงส่งเหนือจินตนาการอย่างนั้นหรือ

ไคลน์พยายามระงับความตื่นตระหนก สายตาชำเลืองบาดแผลไหม้เกรียมตามลำตัว

หากไม่มีมิติสายหมอกช่วยปกป้องไว้ มันอาจกลายเป็นซากขี้เถ้าแล้วก็เป็นได้

โชคดีว่าไม่คิดสั้น ลงมือทำลายในโลกจริง

หรือว่าหยดของเหลวสีทองคือโลหิตเทพ ถ้าอย่างนั้น ดวงอาทิตย์ภายในความฝันเมื่อครู่ เป็นร่างจริงของเทพสุริยันเจิดจรัส หรือว่าเป็นร่างของหนึ่งในเทวทูตกันแน่

น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า

บ้าจริง…นี่ตนบังเอิญซวย เผลอจ้องมองเทพโดยไม่ได้ตั้งใจ

ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งตระหนักได้ว่า ตัวมันเฉียดใกล้ความตายมากเพียงใด

ถึงได้มีคำกล่าวว่า บุคคลโง่เขลาและไม่หวาดกลัวอันตราย คือมนุษย์ประเภทรนหาที่ตายมากที่สุด

ในอนาคต ตนคงทำนายส่งเดชตามใจนึกคิดไม่ได้อีกแล้ว เพราะไม่มีทางทราบเลยว่า จะบังเอิญดวงซวยจ้องมองเทพอีกเมื่อไร

หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำสอง เกรงว่า แม้แต่มิติสายหมอกก็มิอาจปกป้องได้ตลอดรอดฝั่ง

ไคลน์สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ทำนายเกี่ยวกับของเหลวสีทองอีก ตัวตนสูงส่งในฉากความฝัน คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเทพสุริยันเจิดจรัส และการทำนายเมื่อครู่ อาจไปกระตุ้นให้อีกฝ่ายตื่นตัวและเตรียมรับมือ

ใช่แล้ว หนแรกอาจทีเผลอ เทพสุริยันเจิดจรัสจึงลงมือได้ไม่ทันท่วงที แต่หากยังมีรอบต่อไปอีก รับรองได้เลยว่า แม้แต่มิติสายหมอกก็มิอาจรักษาชีวิตตนไว้ได้

หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ตระหนักว่าร่างกายตนกลับเป็นปรกติแล้ว ปราศจากบาดแผลไหม้เกรียมจากเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่ร่างมายาเลือนรางลงจากเดิมมาก คล้ายกับภาวะสูญเสียพลังวิญญาณฉับพลัน

ชายหนุ่มเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมานวดขมับพร้อมกับเพ่งสมาธิจินตนาการ ฟื้นฟูมิติสายหมอกให้กลับคืนสภาพเดิม

เพียงไม่นาน สถานที่คล้ายกับวังสวรรค์ของคนยักษ์จากอดีต ถูกซ่อมแซมกลับคืนสภาพเก่า ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปให้สมาชิกชุมนุมไพ่ทาโรต์สังเกตเห็น

ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้ มันอมยิ้มแห้งพลางกล่าวตำหนิตัวเองติดตลก

ก็ไม่แย่เสียทีเดียว อย่างน้อยก็ได้ทราบว่า หากไม่ใช่ตัวตนระดับเทพหรือเทวทูต อีกฝ่ายจะไม่มีพลังทำลายมิติสายหมอกได้

หรือก็คือ หากเป็นสถานที่แห่งนี้ ตัวมันจะมีลูกพี่สุดแกร่งคอยหนุนหลังทุกสถานการณ์

เฮ่อ…แต่ถึงอย่างนั้น ตนก็ต้องเพิ่มหลักปฏิบัติใหม่ของนักทำนายเข้าไป : ห้ามทำนายถึงสิ่งเกี่ยวพันกับตัวตนระดับสูงเด็ดขาด!

รวมถึง ไม่ควรเปิดเนตรวิญญาณส่งเดช เพราะนั่นถือเป็นการจ้องมองประเภทหนึ่ง ไม่มีทางทราบเลยว่า สายตาจะไปกระทบกับหายนะในวันใดบ้าง และบนโลกภายนอก ตนไม่มีมิติสายหมอกคอยคุ้มกะลาหัว

หลังจากทบทวนตัวเองสักพัก ไคลน์ตระหนักว่ามีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับร่างกายตน

ความรู้ปริศนา…กำลังสั่นกระเพื่อมภายในหัวสมองของมันอย่างรุนแรง!

ใช่แล้ว ความรู้ใหม่!

แม้จะเป็นระยะเวลาแสนสั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไคลน์จ้องมองเทพสุริยันเจิดจรัสและรอดชีวิตกลับมาได้ แถมยังเป็นการมองเห็นขณะกำลังใช้เทคนิคทำนายฝัน หมายความว่า ไคลน์ได้รับความรู้บางส่วน จากการจ้องมองอีกฝ่ายด้วยวิญญาณดารา

ตามปรกติแล้ว การจ้องมองเทพจะมีโทษถึงแก่ความตาย หรือไม่ก็หายนะไปตลอดชีวิต นั่นคือระบบป้องกันเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ตัวตนระดับเทพถูกทำนายถึงง่ายนัก

ความรู้ใหม่จำนวนมากกำลังพรั่งพรูเข้าสู่หัวสมอง คล้ายกับบุคคลความจำเสื่อม ได้รับความทรงจำกลับมาหลังจากถูกกระทบกระเทือนซ้ำ

ชายหนุ่มรีบหลับตาลงและพยายามเก็บเกี่ยวความรู้ใหม่อย่างละเอียด ไคลน์รีบเขียนสรุปลงกระดาษกันลืม

“1.ห้ามจ้องมองเทพ ‘โดยตรง’ เด็ดขาด 2.เทวทูตสีขาวโพลน 3.วิธีสร้างยันต์เพลิงสุริยัน หนึ่งในยันต์ระดับสูงของขอบเขตเทพสุริยันเจิดจรัส ยันต์เพลิงสุริยันสามารถถนอมพลังไว้ได้อย่างน้อยหนึ่งปี ขณะสร้างไม่จำเป็นต้องประกอบพิธีกรรมสวดอ้อนวอนต่อเทพสุริยันเจิดจรัส เพียงแต่ต้องใช้สมบัติวิเศษ 3-0782 ร่วมในพิธีกรรมด้วย จุดประสงค์เพื่อย้ายพลังบางส่วนจาก 3-0782 เข้าไปในยันต์”

“4.เทพสุริยันเจิดจรัส เป็นปรปักษ์กับรุนแรงกับเทพวายุสลาตัน และเทพแห่งปัญญาความรู้ 5.สูตรผลิตโอสถนักขับขาน : วัตถุดิบหลักประกอบด้วย หนึ่ง ดอกทานตะวันคริสตัล หรือ ขนหางวิหคศิลาอัคคี โตเต็มวัย หรือ ขนหางวิหคเพลิง และ สอง ศิลาปีศาจทะเล หรือ ดอกทานตะวันขับขาน วัตถุดิบรองประกอบด้วย หญ้าคิมหันต์ หนึ่ง ราก.ไวน์กรกฎ ห้า หยด.และใบภูตทมิฬ 6.สูตรผลิตโอสถผู้ภาวนาแห่งแสง : วัตถุดิบหลักคือ ศิลาเจิดจ้า หรือ ผงวิญญาณลุกไหม้ หรือ เลือดเม่นกระจกเงา หรือ หัวใจปีศาจแม็กม่ายักษ์ วัตถุดิบรองประกอบด้วย : ดอกทานตะวันขอบทอง น้ำสกัดดอกหัวนก สาม หยด 7.สูตรผลิตโอสถนักบวชแสง วัตถุดิบหลักไม่ปรากฏ วัตถุดิบรองประกอบด้วย ผงโรสแมรี่ ห้า กรัม น้ำส้มทองคำ เจ็ด หยด น้ำสกัดจากหิน”

“8.สูตรผลิตโอสถลำดับสี่ ผู้เจิดจรัส วัตถุดิบหลักไม่ตายตัว ประกอบด้วย โลหิตทองแห่งเทพ สกัดจากตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่บิดเบือน หรือสามารถทดแทนได้ด้วย ขนหางวิหคเทพสุริยัน โตเต็มวัย สาม เส้น และก้อนสมบูรณ์ของศิลาเจิดจ้า… ไม่พบวัตถุดิบรอง”

หลังจากเขียนได้แปดข้อ ไคลน์อ่านทบทวนอีกครั้งอย่างตั้งใจ ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะตามจิตใต้สำนึก

ชายหนุ่มพบว่า ตนได้รับข้อมูลน่าเหลือเชื่อเป็นจำนวนมาก!

อันที่จริง แค่เอาชีวิตรอดมาได้ ไคลน์ก็พึงพอใจจนหมดคำจะกล่าว แต่ปัจจุบัน มันกลับได้รับ ‘รางวัลรอดชีวิต’ เพิ่มเติมมหาศาล

เอกสารลับของเหยี่ยวราตรีทำให้ชายหนุ่มทราบว่า โบสถ์สุริยันเจิดจรัส ได้ถือครองเส้นทางผู้วิเศษ ‘สุริยัน’ ไว้สมบูรณ์

ลำดับเก้า นักขับขาน ผู้วิเศษสายสนับสนุนด้านจิตใจและพละกำลัง สามารถปลุกความฮึกเหิมให้ตัวเองและพวกพ้องจากบทเพลง เป็น ‘อาชีพ’ เหมาะสำหรับล้างสมองให้สามัญชนเปลี่ยนศาสนา คำพูดติดปากพวกมันคือ ‘เทพสุริยันจงเจริญ!’

ลำดับแปด ผู้ภาวนาแห่งแสง ชำนาญด้านพิธีกรรมในขอบเขตของเทพสุริยัน แถมยังมีพลังรับมือวิญญาณเร่ร่อนและวิญญาณอาฆาตในระดับพื้นฐาน

ลำดับเจ็ด ข้ารับใช้เทพสุริยัน พลังไม่หนีจากลำดับแปดมากนัก แต่จะเสริมพลังพิธีกรรมขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว และเริ่มมีเวทมนตร์ด้านแสงสว่างสนับสนุน

หรือก็คือ ตนได้รับสูตรผลิตตัวเต็มของโอสถลำดับเก้าและแปดเส้นทางสุริยัน แถมยังเป็นในชื่อปัจจุบัน มิใช่ชื่อเก่าให้ปวดหัว

นี่คือผลจากการทำนายเทพสุริยันโดยตรง

ไคลน์ยิ้มอย่างพึงพอใจ

อันที่จริง หลังจากทราบว่าเดอะซัน สมาชิกใหม่ชุมนุมไพ่ทาโรต์ ต้องการเป็นผู้วิเศษเส้นทางสุริยัน ไคลน์ผุดแผนหลอกใช้แฮงแมนขึ้นมาทันที

โบสถ์สุริยันเจิดจรัสและโบสถ์วายุสลาตันคือสองโบสถ์เก่าแก่ของโลก ในฐานะอริ แต่ละโบสถ์ย่อมมีข้อมูลเส้นทางผู้วิเศษของอีกฝ่าย สำหรับวิเคราะห์หาจุดอ่อนจุดแข็ง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากโบสถ์วายุสลาตันจะมีสูตรผลิตโอสถนักขับขานและนักบวชแห่งแสง ซึ่งเป็นผู้วิเศษลำดับต่ำเก็บไว้

แฮงแมนอาจไม่เคยใส่ใจ แต่ในเมื่อมันเป็นถึงนักเดินเรือ ผู้วิเศษลำดับเจ็ด สถานะภายในโบสถ์ย่อมไม่ธรรมดา อาจเท่าเทียมหรือด้อยกว่าดันน์·สมิทไม่มาก การเข้าถึงเอกสารลับจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

แต่แผนการข้างต้นไม่จำเป็นอีกแล้ว หัวหน้าใหญ่แห่งองค์กรลับนอกรีต เดอะฟูล จัดการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองจนลุล่วง

ถึงจะเกือบตายก็เถอะ

แฮงแมน จัสติส เจ้าหนุ่มเดอะซัน พวกเจ้าจะรู้ไหมว่า หัวหน้าของตนเพิ่งจ้องมองเทพและเกือบได้กลายเป็นซากขี้เถ้า

ไคลน์รำพันติดตลก แต่ร่างกายยังสั่นเทาจากความหวาดผวา สิ่งนี้เป็นของจริง

ชายหนุ่มก้มศีรษะอ่านข้อมูลบนแผ่นกระดาษหนังในมือเพิ่มเติม ความสนใจกำลังพุ่งตรงไปยังสูตรผลิตโอสถชนิดอื่น

นักบวชแสง…โอสถชนิดนี้จะใช่สิ่งเดียวกับ ‘ข้ารับใช้แห่งสุริยัน’ หรือไม่

เอกสารลับของเหยี่ยวราตรีไม่ได้กล่าวถึงชื่อเก่าในอดีตไว้ และคำทำนายของตนก็ไม่ได้ระบุถึงลำดับโอสถ

เป็นลำดับห้าหรือหกกันแน่

ส่วนลำดับสี่ ผู้เจิดจรัส นี่คือสูตรผลิตโอสถลำดับสูงชนิดแรกของตน น่าเสียดาย ข้อมูลของวัตถุดิบรองหายไป ในอนาคตจะมีโอกาสเติมเต็มช่องว่างตรงนี้หรือไม่

อีกหนึ่งเรื่อง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หยดของเหลวสีทองนั่น จะเป็นโลหิตแห่งเทพสุริยันตามที่คิดไว้จริง

สำหรับไคลน์แล้ว สมบัติวิเศษ 3-0782 มีคุณค่ามากกว่าระดับสาม อย่างแน่นอน อาจเทียบเท่าสมบัติวิเศษระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

แต่ก็พอเข้าใจได้ การจำแนกระดับสมบัติวิเศษเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งความอันตรายของผลข้างเคียง ความยากในการรับมือ และประสิทธิภาพต่อซอมบี้หรือวิญญาณอาฆาต

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเหยี่ยวราตรีจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พวกมันไม่มีทางทำนายหาต้นกำเนิดหยดของเหลวสีทองได้แน่ หรือต่อให้มีใครทำได้จริง แต่มันผู้นั้นคงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว นอกเสียจากเทพธิดารัตติกาลจะลงมือด้วยตนเอง

หากเดาไม่ผิด ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่บิดเบือนอาจรับมือได้แม้กระทั่งวิญญาณร้าย แต่วิญญาณร้ายคงไม่โผล่ออกมาให้ทดสอบประสิทธิภาพของวิเศษง่ายนัก

คงไม่มีเหยี่ยวราตรีหน่วยไหน ออกปฏิบัติการด้วยความคิดทำนองว่า :

‘หัวหน้า ในเมื่อพวกเราต้องไปสู้กับวิญญาณร้ายสุดโฉดที่สามารถสังหารผู้วิเศษลำดับสี่ได้ในพริบตา มาทดสอบพลังสมบัติวิเศษชิ้นใหม่กันเถอะ!’

จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง

ในฐานะเหยี่ยวราตรี ตนไม่สามารถครอบครอง 3-0782 เป็นสมบัติส่วนตัวได้ก็จริง แต่สามารถหาโอกาส ‘ขโมยพลัง’ โดยการประกอบพิธีสร้าง ‘ยันต์เพลิงสุริยัน’

เฮ่อ…น่าเสียดาย

อุปกรณ์ในปัจจุบันไม่เพียงพอให้ทำเช่นนั้น เหยี่ยวราตรีอย่างตน จะพกวัตถุดิบสำหรับประกอบพิธีกรรมโบสถ์สุริยันติดตัวตลอดเวลาได้อย่างไร

ชายหนุ่มนวดหน้าผากด้วยสีหน้าเสียดาย

หลังจากปล่อยเวลาผ่านไปสักพัก มิติสายหมอกไม่มีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้น หมายความว่าเทพสุริยันเจิดจรัสไม่ได้ตามมาเอาเรื่องตน หรืออาจพยายามแล้ว แต่ไม่พบร่องรอย

ห้ามจ้องมองเทพ ตนจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด

ว่าแต่ เหตุใดเทพสุริยันเจิดจรัส ถึงเป็นอริร้ายแรงกับเทพวายุสลาตันและเทพแห่งปัญญาความรู้กันนะ

แล้วก็เทวทูตสีขาวโพลนคืออะไร

ความสงสัยอีกหลายข้อกำลังโลดแล่นภายในสมองชายหนุ่ม จนกระทั่งห้วงความคิดเริ่มเชื่องช้าอืดอาด ร่างกายสัมผัสถึงความอ่อนเพลีย เป็นสัญญาณของการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ

ตนอยู่บนมิติแห่งนี้นานแค่ไหนแล้ว

ไคลน์ไม่รีรอ มันตัดสินใจกลับโลกปรกติทันที ภายในใจกังวลว่า อาจมีอุบัติเหตุเกิดกับร่างหลัก

ก่อนขึ้นมายังมิติสายหมอก ไคลน์คิดว่าคงใช้เวลาทำนายไม่นานนัก ราวสองสามนาที เพราะประเด็นสงสัยมีเพียงไม่กี่ข้อ

หากมีวิญญาณเร่ร่อนพุ่งกระทบกำแพงวิญญาณบนโลกจริง จิตของไคลน์ภายในมิติสายหมอกจะสัมผัสถึงทันที จึงไม่ต้องกังวลให้มากนัก

แต่ความซวยทำให้ชายหนุ่มต้องเผชิญประสบการณ์เฉียดตาย ห้วงมิติปั่นป่วน และข้อมูลใหม่ทำให้เสียเวลาย่อยนานหลายนาที

ไคลน์เริ่มเกรงว่า กำแพงวิญญาณด้านนอกอาจสูญเสียพลังงานไปแล้วหลายส่วน

ขณะเดียวกัน มันรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อต้องกลับโลกเบื้องล่าง ชายหนุ่มกังวลว่า ร่างจริงของตนจะถูกทักทายด้วยแสงชำระล้างจากเทพสุริยันหรือไม่ และสมบัติวิเศษ 3-0782 จะยังคงสภาพสมบูรณ์ดังเดิมไหม

เมื่อลืมตาขึ้น แสงสลัวของจันทร์แดงส่องลอดเข้ามาในการมองเห็น รอบตัวยังคงเป็นความมืดมิด ผืนป่ารกร้าง รวมถึง 3-0782 สภาพสมบูรณ์ในมือ

หลังจากหายใจเข้าออกอย่างตื่นตระหนกนานหลายนาที ไคลน์เริ่มผ่อนคลายลง

เทพสุริยันคงไม่ตามมาเอาเรื่องแล้วกระมัง

ฟู่ว…ชายหนุ่มถอนหายใจสุดปอดด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง ประสบการณ์เฉียดตายไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!