Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 148

Lord of the Mysteries 148

ตอนที่ 148 : ผู้ส่งสาร

คำตอบไคลน์ทำให้ดาลี่ย์หัวเราะคิกคัก ใบหน้าโปร่งแสงขยับปากพูดอีกครั้ง

“ถึงคุณจะมีแรงบันดาลจากหลักปฏิบัติของผู้ส่องความลับ รวมถึงสร้างทฤษฎีจากการเฝ้าสังเกตตัวฉัน”

“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณสามารถตระหนักถึงการมีอยู่ของเทคนิคสวมบทบาทได้ภายในระยะเวลาเพียงเดือนครึ่งเท่านั้น แถมยังตั้งกฎเฉพาะตัวของนักทำนายได้อีกหลายข้อภายในเวลาอันสั้น”

“แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่า คุณมีไหวพริบและความช่างสังเกตในระดับอัจฉริยะ รวมถึงเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้าง มองโลกนอกกรอบ”

คำเยินยอเกินจริงจากปากดาลี่ย์ ส่งผลให้ชายหนุ่มเริ่มกระอักกระอ่วน

มันรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่ต้องการสานต่อบทสนทนาเดิม

“มาดามครับ เบื้องบนของโบสถ์ตระหนักถึงเทคนิคสวมบทบาทเป็นอย่างดีใช่ไหม”

“ไม่ต้องสงสัยเลย บุคคลระดับสูงของโบสถ์รัตติกาลทุกคน ล้วนเข้าใจเทคนิคสวมบทบาทอย่างลึกซึ้ง”

“ฉันเคยใช้สิทธิ์อ่านเอกสารลับเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นของเหยี่ยวราตรีในอดีต และได้พบเรื่องน่าเหลือเชื่อเข้า”

“มีอัจฉริยะจำนวนไม่น้อยเคยเลื่อนลำดับด้วยความเร็วผิดธรรมชาติ ทำให้ทราบว่าตัวฉันไม่ได้พิเศษขนาดนั้น ไม่ได้ใกล้เคียงด้วยซ้ำ”

“แต่จุดจบของพวกเขาค่อนข้าง…”

ดาลี่ย์เว้นวรรค

“จุดจบพวกเขาเป็นแบบไหน”

ไคลน์รีบถามกระวนกระวาย หัวใจพลันหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

หรือว่าโบสถ์รัตติกาลจะมองเทคนิคสวมบทบาทเป็นวิถีนอกรีต และนำพาไปสู่การได้ยินเสียงกระซิบจากเทพนอกรีต หรือไม่ก็วิญญาณชั่วร้าย?

ทันใดนั้น ใบหน้าโปร่งแสงพลันหัวเราะ

“จุดจบของพวกเขาค่อนข้างยอดเยี่ยม หากตัดการคลุ้มคลั่งในบางรายออก รวมถึงการเสียชีวิตในภารกิจ อัจฉริยะเกือบทุกตนไต่เต้าไปถึงตำแหน่งสูงอย่างอาร์คบิชอปหรืออาวุโสใหญ่ และจากบรรดาคนเหล่านั้น มีจำนวนไม่น้อยก้าวไปเป็นผู้วิเศษขั้นสูง สำหรับโบสถ์รัตติกาล ลำดับสี่และสามจะถูกเรียกว่านักบุญ ลำดับสองและหนึ่งจะถูกเรียกว่าเทวทูตเดินดิน แน่นอน เทวทูตทุกคนเคยเป็นนักบุญมาก่อน”

…มาดาม คุณทำผมเกือบหัวใจวาย

มุมปากไคลน์กระตุกเบาๆ ก่อนเอ่ยปากถามสิ่งค้างคาใจ

“ในเมื่อโบสถ์ตระหนักถึงเทคนิคสวมบทบาทเป็นอย่างดี แล้วเหตุใดถึงไม่เผยแพร่ให้เหยี่ยวราตรีทุกคนรับทราบ นอกจากจะลดสถิติการคลุ้มคลั่งแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสปิดคดีเหนือธรรมชาติสำเร็จ”

รอยยิ้มเริ่มจากหายไปจากใบหน้าโปร่งแสง

“ฉันเองก็ไม่ทราบ เบื้องบนเพียงบอกว่า พวกเขาจะเปิดเผยความลับก็ต่อเมื่อฉันกลายเป็นอาร์คบิชอปหรืออาวุโสใหญ่แล้ว เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ฉันมาหาคุณเพื่อขอร้อง กรุณาช่วยถ่ายทอดเทคนิคสวมบทบาทให้ดันน์ทราบอย่างละเอียด ก่อนตัวคุณจะยื่นเรื่องขอเลื่อนลำดับ”

ไคลน์ไม่ใช่ไอ้งั่ง

มันไม่ได้ถามดาลี่ย์ว่า เหตุใดเธอถึงไม่ถ่ายทอดให้ดันน์ฟังด้วยตัวเอง

ชายหนุ่มก้มหน้าวิเคราะห์ก่อนย้อนถาม

“หากโบสถ์ทราบว่าเหยี่ยวราตรีคนใดตระหนักถึงเทคนิคสวมบทบาท เบื้องบนจะบังคับให้สาบานหรือครับ ว่าห้ามแพร่งพรายเทคนิคสวมบทบาทให้บุคคลอื่นรับทราบโดยเด็ดขาด”

“ถูกต้อง คุณจะถูกบังคับให้สาบานต่อหน้าสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดา พลังวิญญาณลึกลับปริศนามหาศาลจะโอบล้อมร่างคุณไว้ เชื่อฉันเถอะ คุณจินตนาการความโหดร้ายของบทลงโทษไม่ออกแน่ และนั่นคือสาเหตุหลักให้ฉันไม่สามารถถ่ายทอดเทคนิคสวมบทบาทกับดันน์โดยตรงได้ จะพูดคุยเรื่องดังกล่าวเฉพาะกับบุคคลชำนาญเทคนิคสวมบทบาทด้วยกันเท่านั้น เช่นคุณเป็นต้น ภาษากายของคุณบ่งบอกชัดเจนว่าเชี่ยวชาญอย่างถ่องแท้แล้ว ฉันจึงกล้าคุยอย่างเปิดอก โดยไม่ถามไถ่ให้เสียเวลา”

ดาลี่ย์แสยะยิ้มก่อนเล่าต่อ

“ในสมัยก่อน ฉันทราบเพียงว่า การสวมบทบาทจะช่วยให้ย่อยพลังโอสถเร็วขึ้น วลี ‘ย่อยพลัง’ ถูกใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มบุคคลระดับสูงของโบสถ์ มันคือคำนิยามสำหรับการยึดครองพลังโอสถเป็นของตัวเอง ย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว ก่อนตัวฉันถูกบังคับให้สาบานต่อหน้าสมบัติวิเศษแห่งเทพธิดา ฉันไม่รู้ว่าการค้นพบของตัวเองถูกเรียกว่าเทคนิคสวมบทบาท ทราบแต่เพียงว่า หากประพฤติตัวตามชื่อของโอสถ จะช่วยให้ย่อยพลังโอสถได้เร็วขึ้น จึงอธิบายหลักการให้ดันน์และคนอื่นฟังได้ไม่ละเอียดนัก ฉันเคยถอดใจไปแล้ว ว่าคงหมดหนทางบอกใบ้ให้ดันน์ทราบ แต่สวรรค์กลับประทานบุคคลประหลาดอย่างคุณมาให้ บุรุษจิตไม่ปรกติผู้ตระหนักถึงเทคนิคสวมบทบาทได้ก่อนจะสาบานกับสมบัติวิเศษแห่งเทพธิดา ไม่สิ…ต้องเรียกว่าอัจฉริยะใช่ไหม”

มาดาม คุณคิดกับผมแบบนี้เองหรือ

มุมปากไคลน์กระตุกเบาๆ หลังจากถูกอีกฝ่ายหยอกเย้า ก่อนจะให้สัญญาด้วยถ้อยคำหนักแน่น

“คุณไม่ต้องห่วง เกี่ยวกับเทคนิคสวมบทบาท ผมมีแผนจะอธิบายหัวหน้าให้กระจ่างก่อนยื่นคำร้องเลื่อนระดับอยู่แล้ว และยิ่งได้รับการยืนยันจากคุณ ผมก็ยิ่งลงมือทำได้อย่างสบายใจ”

“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจ ช่างเป็นเด็กหนุ่มจิตใจงดงามอะไรเช่นนี้”

ดาลี่ย์กล่าวชมน้ำเสียงผ่อนคลาย

มาดาม คุณแก่กว่าผมแค่สองสามปีเองนะ

ไคลน์รำพันติดตลก

โดยไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มพูด ดาลี่ย์รีบสานต่อบทสนทนา

“หากคุณมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือในอนาคต สามารถเขียนจดหมายถึงฉันได้ทุกเมื่อ คิคิก…รอก่อนนะ หากได้เป็นอาร์คบิชอปหรืออาวุโสใหญ่และทราบเหตุผลว่า ทำไมโบสถ์รัตติกาลถึงต้องปิดบังเทคนิคสวมบทบาทไว้เป็นความลับ ถึงตอนนั้น ฉันจะแอบบอกใบ้คุณเป็นคนแรก”

ไคลน์พลันตื่นเต้น มันไต่ถามโดยไม่รีรอ

“มาดาม แล้วผมต้องจ่าหน้าซองถึงใคร”

สำหรับชายหนุ่ม ยิ่งได้รับช่วยเหลือมากเท่าไรก็ยิ่งดี โดยเฉพาะผู้สื่อวิญญาณอนาคตไกลอย่างมาดามดาลี่ย์

เมื่อเห็นไคลน์ไม่โต้แย้ง ดาลี่ย์ครุ่นคิดสักพักก่อนอมยิ้ม

“พวกเราไม่ควรสื่อสารผ่านทางไปรษณีย์ มีโอกาสความลับรั่วไหลมากเกินไป”

“ฉันจะสอนพิธีกรรมเวทมนตร์พื้นฐานให้คุณหนึ่งชนิด เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน ใช้เพื่ออัญเชิญวิญญาณรับใช้ของฉัน จากนั้น คุณก็มอบจดหมายให้มัน ข้อความจะถูกส่งถึงฉันโดยไม่ตกหล่น วิธีนี้อาจช้ากว่าโทรเลข แต่เร็วกว่ารถจักรไอน้ำแน่นอน ถ้าจดหมายถูกส่งตอนบ่าย ฉันจะได้รับกลางดึกวันเดียวกัน”

ไคลน์ยืนฟังอย่างตั้งใจพลางพยักหน้า

“ฟังดูสะดวกสบายมาก”

ดาลี่ย์อมยิ้ม

“ความพิเศษของพิธีกรรมดังกล่าวคือ คุณไม่ต้องพึ่งพาพลังวิญญาณจากภายนอก ใช้เพียงพลังของตัวเอง ส่งผลให้มีความปลอดภัยสูง แต่ก็ไม่ทรงพลังมากนัก…ประการแรก จัดเตรียมแท่นบูชาประกอบด้วยสมุนไพรและน้ำมันสกัดในขอบเขตพลัง ขั้นตอนนี้คล้ายกับการประกอบพิธีกรรมพื้นฐาน แต่ต้องไม่ลืมเทียนไขหนึ่งเล่มแทนตัวเอง จากนั้น คาถาถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน คำแรกคือ ‘ตัวข้า’ สามารถท่องได้ทั้งภาษาเฮอมิสโบราณ คนยักษ์ มังกร หรือเอลฟ์ ส่วนถัดมาคือ ‘ขออัญเชิญตัวตนผู้มีนามดังนี้’ โดยต้องพูดเป็นภาษาเฮอมิส และส่วนสุดท้าย รายละเอียดของวิญญาณเป้าหมายการอัญเชิญ ในกรณีของคุณต้องพูดว่า : วิญญาณเร่ร่อนไร้จุดหมาย ผู้รับใช้มนุษย์จากห้วงมิติขั้นสูง ผู้ส่งสารแห่งดาลี่ย์·ซิโมเน่”

ห้วงมิติขั้นสูง? ในเชิงศาสตร์เร้นลับ วลีดังกล่าวหมายถึงโลกวิญญาณ

ไคลน์พยักหน้ารับ สมองกำลังจดจำขั้นตอนประกอบพิธีกรรมอย่างละเอียดพลางวิเคราะห์

หากเป็นขอบเขตศาสตร์พิธีกรรม ไคลน์มั่นใจว่าตนคือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ

จากรายละเอียดของพิธีกรรมเมื่อครู่ เมื่อลองวิเคราะห์ดู ไคลน์พบว่าพลังวิญญาณหลักไม่ได้มาจากองค์เทพเบื้องบนหรือตัวตนระดับสูงเหมือนกับพิธีกรรมชนิดอื่น แต่จะมาจากพลังส่วนตัวของผู้ประกอบพิธีกรรมเอง

ดังนั้น เงื่อนไขพิธีกรรมจะไม่ถูกผูกมัดโดยขอบเขตพลังขององค์เทพ ยิ่งผู้ประกอบพิธีแข็งแกร่ง ผลลัพธ์ก็ยิ่งออกมาทรงพลัง

สิ่งนี้ถือเป็นความรู้ใหม่ หาไม่ได้จากนีลล์หรือหนังสือสอนพิธีกรรมพื้นฐาน แต่มาจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

ดาลี่ย์อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวกำชับกับไคลน์หนักแน่น

“ห้ามเปลี่ยนแปลงส่วนรายละเอียดของวิญญาณเป้าหมายอัญเชิญเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น คุณอาจเรียกหาตัวตนไม่พึงประสงค์เข้า”

“ตกลงครับ” ไคลน์ผงกศีรษะรับปาก

ทันใดนั้น ชายหนุ่มพลันฉุกคิดบางสิ่ง

จะเกิดอะไรขึ้น หากตนตัดสินใจเปลี่ยนคาถาอัญเชิญเป้าหมายเป็น :

เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ

มีความเป็นไปได้หลายทางมาก อาจไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยก็ได้ หรือ ห้วงมิติสายหมอกจะถูกดึงลงมาในพิธีกรรม หรือ ผู้ประกอบพิธีต้องรอการตอบรับจากตนบนมิติสายหมอกเสียก่อน

มีโอกาสดัดแปลงเพื่อให้สามารถหยิบยืมพลังจากมิติสายหมอกได้บ้างไหม

หรือจะเกิดปรากฏการณ์ลูกโซ่ซ้ำซ้อน

นับตั้งแต่จ้องมองเทพสุริยันเจิดจรัสและประสบความฉิบหาย ชายหนุ่มก็ไม่กล้านำชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงกับศาสตร์เร้นลับอย่างส่งเดชอีกเลย

เมื่อผุดไอเดียใหม่ ไคลน์ตัดสินใจทำนายบนมิติสายหมอกก่อน ว่าตนควรเสี่ยงดัดแปลงพิธีกรรมของมาดามดาลี่ย์หรือไม่

มันพยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นขณะเงยหน้าถามมาดามดาลี่ย์บนกำแพง

“มาดามครับ หากผู้วิเศษหมั่นสวมบทบาทอย่างเคร่งครัด ต้องใช้เวลานานเท่าไรในการเลื่อนระดับจาก แปด เป็น เจ็ดและจาก เจ็ด เป็น หก”

“จากเอกสารลับของเหยี่ยวราตรี ระยะเวลาค่อนข้างกว้าง ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล สำหรับ แปด ไป เจ็ด อย่างเร็วสุดคือสามเดือน และอย่างช้าสุดคือสองปี แล้วแต่ว่า ผู้วิเศษคนดังกล่าวจะจับ ‘หลักปฏิบัติ’ ของพลังตัวเองได้เมื่อไร ส่วน เจ็ด ไป หก จะเริ่มตั้งแต่ครึ่งปีไปจนถึง สามปี และไม่ต่างกันนักในกรณีของ หก ไป ห้า แต่ ห้า ไป สี่ ถือเป็นคนละมิติโดยสิ้นเชิง คงทราบดีอยู่แล้วว่า ลำดับสี่หมายถึงผู้วิเศษขั้นสูง อย่างเร็วสุดคือสามปี และอย่างช้าสุดคือยี่สิบปี…”

ดาลี่ย์อธิบายอย่างคร่าว · ไคลน์อมยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น คุณคงกลายเป็นลำดับหกแล้วใช่ไหม มาดาม”

ชายหนุ่มได้ยินจากดันน์·สมิทว่า ดาลี่ย์ใช้เวลาหนึ่งปีในการเลื่อนจากลำดับเก้า นักเก็บซากศพ ไปเป็นลำดับแปด นักขุดสุสาน

ถัดมา เธอใช้เวลาอีกหนึ่งปี ในการเลื่อนเป็นไปลำดับเจ็ด ผู้สื่อวิญญาณ

และจากข้อมูลของดันน์ ดาลี่ย์เดินบนเส้นทางผู้วิเศษมาแล้วห้าปี หมายความว่า เธอกลายเป็นผู้สื่อวิญญาณครบสามปีแล้ว ครบกำหนดเลื่อนขั้นเป็นลำดับหกพอดี

“ถูกต้อง นั่นคือเหตุผลให้เบื้องบนย้ายฉันไปสังกัดมุขมณฑลเบ็คลันด์”

น้ำเสียดาลี่ย์เริ่มแฝงความหงุดหงิด

“อาชีพปัจจุบันของฉันคือผู้นำทางวิญญาณ แต่ชอบชื่อผู้สื่อวิญญาณมากกว่า เรื่องนั้นช่างมันก่อน เจ้าหนูนี่เริ่มออกอาการอ่อนเพลียแล้ว คงต้องไว้คราวหน้า และไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ฉันไม่มีทางพูดว่า ‘ขอให้เทพธิดาอวยพร’ เด็ดขาด”

“ถ้าอย่างนั้น ฝันดีครับมาดาม”

ไคลน์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอกพร้อมกับโค้งตัวไปด้านหน้าอย่างนอบน้อม

“นั่นก็คงไม่ได้อีก คืนนี้ฉันไม่มีทางฝันดีแน่ ต้องรีบแจ้นกลับเบ็คลันด์โดยไม่ให้ใครทราบว่าหนีออกมา ความรู้สึกพะอืดพะอมประหนึ่งใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลน่ารังเกียจ”

เสียงดาลี่ย์แผ่วเบาในตอนสุดท้าย ใบหน้าโปร่งแสงเริ่มเลือนหายเข้าไปในกำแพงบ้าน ไม่เหลือร่องรอยใดทิ้งไว้

ตะเกียงแก๊สสีเขียวเข้มกลับเป็นสีเหลืองนวลตามปรกติ บรรยากาศอึดอัดก่อนหน้าพลันสลายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก

ไคลน์เปิดเนตรวิญญาณทิ้งไว้ตั้งแต่ต้น สายตาต้องมองความเปลี่ยนแปลงรอบตัวด้วยสีหน้าสุดทึ่ง จิตใจเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนสติจะกลับสู่โลกความจริงในอีกหลายวินาทีให้หลัง

ผู้สื่อวิญญาณ ไม่สิ ผู้นำทางวิญญาณ

มาดามดาลี่ย์มีพลังน่าทึ่งมาก สามารถครอบครองวิญญาณ และเปลี่ยนให้เป็นผู้ส่งสารส่วนตัวได้ด้วย

ไคลน์ได้แต่นึกสงสัยว่า ลำดับเจ็ดและหกของตนจะมีพลังในลักษณะใดกัน

ชายหนุ่มรำพันกับตัวเองสักพัก ก่อนจะทำลายกำแพงวิญญาณและปิดตะเกียงแก๊สภายในห้องเตรียมหลับนอน สังขารถูกทิ้งลงบนเตียงท่ามกลางความมืดมิด

มันเปลี่ยนแผน ตัดสินใจยังไม่ขึ้นไปบนมิติสายหมอกค่ำคืนนี้ เพราะกลัวดาลี่ย์จะหยิบยืมคำพูดยอดฮิตของดันน์มาใช้

‘จริงสิ ฉันลืมบอกไป’

หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ตนคงไม่มีพลังมากพอจะปิดปากหล่อนแน่

วันถัดมา ไคลน์ไปถึงสำนักงานบริษัทหนามทมิฬก่อนเวลาสามนาที

“อรุณสวัสดิ์ไคลน์ พนักงานใหม่ฝ่ายพลเรือนมาถึงแล้ว!”

โรแซนทักทายพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างสุดขีด

ไคลน์อมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีความสุข

“ขอแสดงความยินดีด้วย มิสโรแซน เทพธิดายอมฟังคำสวดภาวนาของคุณแล้ว”

“ผิวพรรณของฉันจะได้กลับมาเปล่งปลั่งดังเดิมสักที!”

โรแซนเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

หลังจากสนทนาพอเป็นพิธี ไคลน์เดินผ่านฉากกั้นและใช้นิ้วเคาะห้องทำงานหัวหน้า

“เชิญ”

เสียงดันน์ดังกังวานจากด้านใน

ไคลน์ผลักประตูเข้าไป

หัวหน้าของมันกำลังนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ นัยน์ตาเทามีสีเข้มกว่าปรกติเล็กน้อย คล้ายกับเตรียมรับมือเหตุไม่คาดฝันทุกสถานการณ์

อะแฮ่ม! ชายหนุ่มกระแอมเบาๆ ล้างคอ

มันหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับวางหมวกไว้บนตัก ส่วนไม้ค้ำถูกพิงข้างโต๊ะทำงาน

“หัวหน้า ผมมีเรื่องมารายงาน”

“เชิญ”

ดันน์ขานรับด้วยท่าทีสุขุมลุ่มลึก สองมือกำลังกอดอกอย่างตั้งใจฟัง

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!