Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 261

Lord of the Mysteries 261

ตอนที่ 261 : ห้องด้านในสุด

เมื่อเดินออกจากห้องเก่า ไคลน์รวมตะเกียงและไม้ค้ำไว้ในมือขวา มือซ้ายเตรียมล้วงหยิบสิ่งของในกระเป๋าเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ภายในกระเป๋าประกอบด้วยยันต์หลายประเภท นกหวีดทองแดงอะซิก และไพ่ทาโรต์ นอกเหนือจากตะกอนพลังของโรซาโก้ ดวงตาสีดำล้วน ทุกสิ่งในกระเป๋าสามารถนำมาใช้ป้องกันตัวได้หลากหลายวิธี

ไคลน์และมิสบอดี้การ์ดย่างกรายไปทางประตูห้องด้านข้างอย่างไม่รีบร้อน แสงตะเกียงเริ่มส่องให้เห็นสัญลักษณ์โดดเด่นบนบานประตู กึ่งกลางเป็นภาพของเด็กทารก กำลังรายล้อมด้วยสัญลักษณ์ของข้าวสาลี ดอกไม้ และบ่อน้ำพุ

“ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพระแม่ธรณี…” ไคลน์เปล่งเสียงเคร่งขรึม

ในฐานะอดีตเหยี่ยวราตรี คุณสมบัติพื้นฐานคือการจำแนกตราศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อื่น

มิสบอดี้การ์ดพยักหน้ารับเชิงเห็นด้วย

ชุดเดรสโกธิกสีดำกลับยิ่งน่าขนลุกเมื่ออยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ภายใต้แสงตะเกียงเหลืองนวล ใบหน้าซีดเซียวของเธอยิ่งดูคล้ายวิญญาณอาฆาต ประหนึ่งคอยตามหลอกหลอนสามีนอกใจ

หากบังเอิญมีนักผจญภัยแปลกหน้าผ่านมาเห็นเข้า รับรองได้เลยว่ามันต้องแข้งขาสั่นระริกอย่างมิอาจยับยั้ง

ไคลน์สูดลมหายใจลึก มือซ้ายออกแรงผลักประตูหิน มือขวายกตะเกียงให้สูงขึ้น

มันพบว่าโครงสร้างภายในเหมือนกับห้องเมื่อครู่ไม่มีผิด ด้านหน้าเป็นบริเวณสำหรับทำพิธีกราบไหว้บูชา และด้านในเป็นแท่นวางเทวรูปขนาดใหญ่

เมื่อเดินไปบนพื้นหินสีเหลืองทองคล้ายข้าวสาลีสักพัก แสงตะเกียงเผยให้เห็นบันไดจำนวนสามขั้น

สุดขั้นบันไดเป็นเทวรูปแกะสลักสีขาวโพลน สูงราวสี่ห้าเมตร ใบหน้างดงามและมีน้ำมีนวลอวบอิ่ม รอบฝ่าเท้ามีรวงข้าวสาลีผุดงอกเงย ใกล้กันเป็นบ่อน้ำพุธรรมชาติ ชุดคลุมของเธอกำลังปลิวไสว เนื้อผ้าประดับประดาด้วยดอกไม้หลากชนิด รวมถึงภาพของหมู่มวลสรรพสัตว์หลายสายพันธุ์

หญิงสาวยืนตัวตรง อกผาย อ้อมแขนสองข้างมีทารกน่ารักน่าชังขดตัวอยู่ในผ้าห่อสีขาว กิริยาท่าทางเป็นไปอย่างองอาจสง่างาม แฝงกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยม

“เทวรูปพระแม่ธรณี…?” ไคลน์เปล่งเสียงแผ่วเบาพร้อมกับยกมุมปากขึ้น

มิสบอดี้การ์ดไม่ตอบหรือปฏิเสธ

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งสองย้ายตัวเองไปยังหน้าประตูบานถัดไป เยื้องถัดจากห้องพระแม่ธรณีเพียงเล็กน้อย

หลังประตูบานดังกล่าวเป็นทางเดินกว้างขวาง สามารถเรียงหน้ากระดานพร้อมกันสี่คน บรรยากาศด้านในทั้งมืดมิดและอึมครึมยากจะหาคำบรรยาย ไคลน์สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดและลึกลับ ไม่มีใครตอบได้ว่าปลายทางมีสิ่งใดรออยู่

“ผมคิดว่าพวกเราควรตรวจสอบประตูอีกสี่บานทางขวาก่อน” ไคลน์เสนอแนะ

มันไม่กล้าเดินตรงเข้าไปอย่างบุ่มบ่าม

มิสบอดี้การ์ดลอยตัวกลับออกจากห้องโดยไม่ส่งเสียง อาศัยการกระทำแทนคำพูด

ชายหนึ่งหญิงหนึ่งไล่เปิดประตูอีกสี่บานเรียงลำดับ สัญลักษณ์หน้าห้องประกอบด้วย ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งวายุสลาตัน ภาพสายลม พายุ และคลื่นทะเล ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยัน ภาพวงกลมรายล้อมด้วยขีดเส้นตรงรอบทิศ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสงคราม ภาพยามสนธยาเป็นฉากหลัง มีสัญลักษณ์ดาบกึ่งกลาง ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญาความรู้ ภาพของหนังสือถูกกางออก และดวงตาทรงปัญญา

และไม่ผิดคาด ด้านในแต่ละห้องมีเทวรูปตามตราศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว

ห้องแรกเป็นบุรุษมาดภูมิฐานสวมชุดเกราะสีดำ ยืนท่ามกลางคลื่นทะเลเกรี้ยวกราด รอบตัวมีพายุกระโชกหลายลูกหมุนวน ฉากหลังเป็นสายฟ้ากำลังฟาดผ่า ในมือถือฉมวกสามง่ามด้วยท่าทางองอาจ

ห้องถัดมาเป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดสีขาวบริสุทธิ์ มือข้างหนึ่งถือหนังสือ ส่วนอีกข้างถือวัตถุทรงกลมคล้ายดวงตะวัน ใบหน้าอันหล่อเหล่าแฝงกลิ่นอายความมุ่งมั่นไว้เต็มเปี่ยม

ถัดมาเป็นนักรบกำลังนั่งบนบัลลังก์สูง มือข้างหนึ่งถือดาบ ใบหน้าส่วนใหญ่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเหล็กนักรบ ร่างกายแผ่กลิ่นอายความ ‘ผุกร่อน’ ยากอธิบายให้เห็นภาพชัด

คนสุดท้ายเป็นชายชราสวมเสื้อคลุมยาวปกปิดศีรษะ เผยให้เห็นเพียงริมฝีปาก ริ้วรอยเหยี่ยวย่น และเคราสีขาวโพลน มือข้างหนึ่งถือหนังสือ ส่วนอีกข้างถือดวงตาทรงปัญญา

นอกจากเทพจักรกลไอน้ำ ภายในห้องโถงของอาคารใต้ดินประหลาดมีรูปปั้นเทพจารีตในร่างมนุษย์ตั้งเรียงรายมากถึงหกตน!

เมื่อประเมินว่าโบสถ์จักรกลไอน้ำเคยมีบรรดาศักดิ์อ่อนแอก่อนยุคสมัยของจักรพรรดิโรซายล์ หลักฐานทางวัตถุตรงหน้าช่วยอธิบายเหตุผลได้ค่อนข้างเห็นภาพทีเดียว

“แปลกมาก…” ไคลน์ตัดพ้อพร้อมกับเว้นวรรคหนึ่งลมหายใจ ส่วนหนึ่งเพราะมันต้องการออกซิเจนเลี้ยงสมอง อีกส่วนหนึ่งต้องการทดสอบความรู้มิสบอดี้การ์ด

โถงปริศนาขนาดใหญ่ ความลึกไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเมตร มีเทวรูปของเทพจารีตรวมตัวกันถึงหกตนได้อย่างไร?

สำหรับขนบธรรมเนียมของยุคสมัยปัจจุบัน สิ่งนี้ขัดแย้งกับสามัญสำนึกผู้คนโดยสิ้นเชิง

เจ็ดโบสถ์หลักไม่มีทางยอมให้เทวรูปของเทพประจำโบสถ์ตั้งรวมอยู่กับเทพองค์อื่นแน่!

หรือจะเป็นขนบธรรมเนียมเฉพาะตัวของยุคสมัยสี่? แล้วทำไมถึงต้องเป็นเทวรูปเสมือนมนุษย์…ถึงจะมีรูปร่างปรกติ ไม่พิสดารเหมือนกับแม่มดบรรพกาลและพระผู้สร้างแท้จริง แต่เรากลับสัมผัสถึงกลิ่นอายแปลกประหลาดได้เจือจาง…เช่นนั้นแล้ว ธรรมเนียมการเปลี่ยนเทวรูปเทพจารีตกลายเป็นแค่ ‘ตราศักดิ์สิทธิ์’ เริ่มขึ้นตอนไหน? ไม่สิ ธรรมเนียมดังกล่าวคงมีมานานแล้ว แต่เจ้าของอาคารใต้ดินแห่งนี้ ใครสักคนในเชื้อพระวงศ์ทูดอร์จงใจสร้างเทวรูปเสมือนมนุษย์ด้วยเหตุผลบางอย่าง…หืม ทำเอานึกถึง ‘ธงหกวิญญาณ’ จากนิยายโลกเก่า…สมองไคลน์ล่องลอยเรื่อยเปื่อยขณะรอคำตอบจากมิสบอดี้การ์ด

เธอไม่ได้ตอบคำถาม เพียงกล่าวอย่างสั้นห้วนด้วยเสียงมายา

“ยังเหลืออีกหนึ่งประตู”

นั่นสินะ…ไคลน์เริ่มสั่นเบาๆ

จากประสบการณ์ของมัน ประตูบานกึ่งกลางมักมีความพิเศษเสมอ บางทีอาจเป็นจุดสำคัญสูงสุดของอาคารใต้ดินโบราณแห่งนี้

และแน่นอน ยิ่งสำคัญก็ยิ่งมาพร้อมอันตรายใหญ่หลวง!

“สัญชาตญาณของคุณบอกว่ายังไงบ้าง” ไคลน์ลังเลราวสองวินาทีก่อนซักถาม

ภายใต้สถานการณ์ไม่สามารถพึ่งพาความช่วยเหลือจากมิติสายหมอก มันประเมินว่าสัญชาตญาณของมิสบอดี้การ์ดมีประโยชน์กว่าคำทำนายของตน เธอกำลังอยู่ในร่างพิเศษ ใกล้เคียงกับ ‘กายจิต’ มาก ส่งผลให้ติดต่อขอข้อมูลจากโลกวิญญาณได้โดยตรง

มิสบอดี้การ์ดหลับตาลง ก่อนจะมอบคำตอบในอีกสองวินาทีถัดมา

“อันตรายมาก แต่อันตรายดังกล่าวกำลังถูกระงับไว้ ห้ามแตะต้องสิ่งของทุกชนิดขณะสำรวจ”

อันตรายถูกระงับไว้…ความหมายเดียวกับ มีบางสิ่งอันตรายมากถูกผนึกไว้…ขณะไคลน์ลองคาดเดา มันและมิสบอดี้การ์ดทำการเปิดประตูบานกลาง พร้อมกับมุ่งหน้าเข้าสู่ทางเดินยาวอันมืดมิดและเต็มไปด้วยปริศนา

ยิ่งย่างกราย แสงจากตะเกียงก็ยิ่งลดความสว่างลง ราวกับมิอาจขจัดความมืดได้สมบูรณ์เหมือนด้านนอก ชายหนุ่มนำมือซ้ายล้วงกระเป๋า ควานหานกหวีดทองแดงอะซิกและยันต์อีกสองสามแผ่นมาถือให้อุ่นใจ

หลังจากผ่านไปราวสามสิบก้าว มิสบอดี้การ์ดหยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน

ไคลน์รีบยกตะเกียงในมือขวาขึ้นสูง และพบว่าทางเดินถูกกีดขวางด้วยหินก้อนใหญ่เปรอะเปื้อนดินโคลน

ฝั่งซ้ายและขวาของทางเดินมีประตูหินลักษณะเดียวกับห้องโถงหลัก ประตูฝั่งขวากำลังเปิดอ้ากว้าง ด้านในมีคราบโคลนและเศษหินปรากฏให้เห็นประปราย

“บางทีอาคารแห่งนี้อาจเคยอยู่บนดินมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันถูกทำให้จมลึกใต้ดินและมีสภาพทรุดโทรม” ไคลน์พึมพำในลำคอ “พวกเราไม่มีทางเลือก…”

ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยค มิสบอดี้การ์ดทำการพุ่งตัวผ่านหินก้อนใหญ่ หายเข้าไปด้านในโดยสมบูรณ์

มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบา มันตัดสินใจยืนรอผลลัพธ์อย่างอดทน

ผ่านไปไม่กี่นาที มิสบอดี้การ์ดกลับออกมาจากบานประตูฝั่งขวามือ ร่างกายยังคงสะอาดสะอ้านปราศจากคราบฝุ่นละออง

“กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว” เธอสรุปผลด้วยถ้อยคำกระชับ

ไคลน์ไม่มีคำพูดใดนอกจากรอยยิ้ม

ถัดมา คนทั้งสองหันไปมองประตูหินฝั่งซ้ายพร้อมกัน และพบว่าประตูถูกเปิดแง้มไว้เล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น

ไคลน์เดินเข้าไปใกล้ นำดวงตาแนบชิดช่องว่างราวสามเซนติเมตร

แม้เนตรวิญญาณของมันจะถูกประตูหินกีดขวางการมองเห็นมาตลอด แต่ตอนนี้เริ่มตรวจพบแสงออร่าของบางสิ่ง ส่องลอดออกจากช่องว่างอันคับแคบ

ด้านในปรากฏแสงอย่างน้อยสี่จุด เป็นแสงสว่างเจิดจ้าและเข้มข้น อัดแน่นด้วยพลังวิญญาณมหาศาล สองจุดมีสีทองเข้ม และอีกสองจุดมีสีน้ำเงินเข้มคล้ายน้ำทะเลลึก

หลังจากตรวจสอบด้วยเนตรวิญญาณ มันรีบเลื่อนตะเกียงเข้ามาใกล้เพื่อให้แสงสว่างส่องลอดเข้าไปด้านใน ทันใดนั้น ฉากภายในห้องเริ่มปรากฏขึ้นบนจอขนาด ‘คับแคบ’

แสงตะเกียงขับไล่ความมืดจนเผยให้เห็นพื้นหินสีดำเข้ม บนกระเบื้องหินมีซากโครงกระดูกคล้ายมนุษย์ รวมถึงเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งจนหมดสภาพ ท่ามกลางฉากดังกล่าว ประกายแสงสีทองเข้มและน้ำเงินเข้มกำลังส่องแสงระยิบระยับเมื่อสะท้อนกับไฟตะเกียง

ตะกอนพลังของผู้วิเศษ? หรือสมบัติวิเศษ? ขณะข้อสันนิษฐานผุดในสมอง ไคลน์รีบเงยหน้าสำรวจส่วนลึกด้านในห้อง

ท่ามกลางกำแพงสองฝั่ง ด้านในสุดของห้องมีลักษณะคล้ายประตูบานพับ เหมือนกับประตูหน้าสุดของทางเข้าอาคารโบราณ

แตกต่างกันตรง…ประตูบานพับตรงหน้าไคลน์ถูกฉาบด้วยรอยเลือดสีแดงฉาน!

หากตาไม่ฝาด ไคลน์กำลังเห็นเลือดสดไหลซึมตามผิวประตูหิน ผิวของเหลวลักษณะแวววาวกำลังสะท้อนแสงตะเกียงจนมองเห็นได้ชัดเจน

ชายหนุ่มต้องการให้มิสบอดี้การ์ดเข้าไปสำรวจก่อน แต่นกหวีดอะซิกในมือซ้ายกลับเย็นเฉียบขึ้นมากะทันหัน!

ความเย็นละมุนในช่วงแรกเแปรปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูก สิ่งนี้คือลางสังหรณ์บ่งบอกถึงหายนะใหญ่หลวง

เชี่ยแล้ว…! ไคลน์หรี่ตาลงพร้อมกับผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ

ทันใดนั้น มันเริ่มตระหนักว่าแขนขวาของตนกำลังชาและคันคะเยอ ก่อนจะเริ่มบวมพองในลักษณะผิดธรรมชาติ

ภาพดังกล่าวทำให้ไคลน์รีบใช้มือซ้ายหยิบไพ่ทาโรต์ ตามด้วยการเฉือนสันไพ่ใส่แขนขวาโดยปราศจากความลังเล

มีบางสิ่งพุ่งออกจากบาดแผล และสิ่งนั้นไม่ใช่เลือดมนุษย์ แต่เป็น ‘หนอน’ ตัวเล็กสีดำกำลังชักดิ้นไปมาอย่างน่าขยะแขยง

ชี่!

เมื่อหนอนปริศนาหล่นกระทบพื้นหิน พวกมันระเหิดหายกลายเป็นควันเจือจางทันที

แม้จะมีบางตัวพยายามริ้นรนอย่างสุดความสามารถ แต่จุดจบก็หนีไม่พ้นการละลายกลายเป็นไอน้ำภายใต้แสงตะเกียงสีเหลือง

ผ่านไปหนึ่งอึดใจ หนอนปริศนาสีดำไหลออกจากตัวไคลน์จนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงของเหลวสีแดงข้นไหลซึมจากปากแผลเรียบเนียน

ไคลน์รีบบังคับมัดกล้ามเนื้อให้บีบรัดรอบปากแผล จะได้ไม่มีเลือดไหลออกมาเพิ่ม

มิสบอดี้การ์ดเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าพลางขมวดคิ้วฉงน เธอแสดงอารมณ์เช่นนี้ไม่บ่อยนัก

ขณะไคลน์กำลังจะอ้าปากอธิบาย นกหวีดมิสเตอร์อะซิกยังคงแผ่ไอเย็นยะเยือกโดยไม่มีทีท่าจะจางหาย…

มันรีบเพ่งมองไปยังเงาใต้ฝ่าเท้ามิสบอดี้การ์ดตามสัญชาตญาณ

…แต่ไหนแต่ไร เธอไม่เคยมีเงา!

“หนี!” ไคลน์ตะโกนพลางสับเต็มฝีเท้า เป้าหมายคือประตูห้องโถงหลักด้านหลัง

มิสบอดี้การ์ดรีบพุ่งตัวตามไคลน์ไม่ห่าง สายตาคนทั้งสองเริ่มสังเกตเห็นว่าแสงตะเกียงเริ่มริบหรี่ลงทุกขณะ ราวกับความมืดมิดรอบตัวกำลังบีบวงแคบเข้ามาใกล้

กึก กึก กึก

ไคลน์วิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยไม่คิดถนอมเรี่ยวแรง ยิ่งวงของแสงตะเกียงแคบลง หน้าอกก็ยิ่งถูกบีบเค้นจนหายใจลำบาก

กึก กึก กึก

เงาดำรอบตัวขยายขนาดจนน่าหวาดหวั่น สีของมันเข้มข้นจนคล้ายกับห้วงอวกาศอันว่างเปล่า ในวินาทีตะเกียงอับแสงโดยสมบูรณ์ ระยะห่างระหว่างประตูยังเหลืออีกหลายเมตร

ไคลน์ไม่พิถีพิถันใช้สมอง มันกระโจนม้วนหน้าหนึ่งตลบตามสัญชาตญาณดิบ กะระยะให้พ้นกรอบประตูพอดิบพอดี

…แสงตะเกียงกลับเป็นปรกติทันใด ความอึดอัดในหน้าอกเริ่มคลายตัวลง นกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกกลับไปเย็นสบายแบบอ่อนโยนอีกครั้ง

มิสบอดี้การ์ดลอยตามหลังไคลน์ผ่านกรอบประตูเข้ามาไม่ห่าง เธอหันกลับไปมองทางเดินอันมืดมิดผิดธรรมชาติด้านหลัง ตามด้วยการเปล่งเสียงล่องลอยเจือความสั่นเทา

“วิญญาณมาร…”

วิญญาณมาร? ลมหายใจไคลน์แทบขาดห้วงหลังจากได้ยินถ้อยคำ โชคดีว่ามันครอบครองพลังตัวตลก ช่วยให้ควบคุมอารมณ์และสีหน้าภายนอกได้มั่นคง

ในแง่ของศาสตร์เร้นลับ วิญญาณมารคือสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ความทรงพลังเทียบได้กับผู้วิเศษลำดับสูง!

เหตุใดอาคารโบราณแห่งนี้ถึงมีวิญญาณมารซ่อนอยู่? บางทีมันอาจถูกผนึกไว้ภายในห้องดังกล่าว…หืม ถ้าเป็นระดับวิญญาณมาร ก็พอเข้าใจได้ว่า ทำไมนักหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงนัก…วิญญาณมารคือสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดระดับสูง…ไคลน์พยุงตัวลุกยืน สายตามองเข้าไปในทางเดินมืดสนิทหลังกรอบประตู มันดำมืดราวกับอนุภาคแสงตะเกียงไม่สามารถทะลวงผ่านเข้าไปได้ ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับมีดวงตาล่องหนคู่หนึ่งกำลังมองสวนกลับมาหาตน!

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!