Skip to content

สะดุดรักยัยกะล่อน 18

ตอนที่ 18

ชายาเอก & อนุชายา

“ท่านโกรธข้าจริงๆรึ” เจินเจินยังคงถามอย่างออดอ้อนกับหลี่เซียวเหยาขณะยังคงนั่งซุกซบอยู่บนตักแข็งแกร่งของชายหนุ่มอยู่บนเตียงนอนภายในห้องบรรทมของเขา

พลางเอ่ยต่อ “ท่านยังมีเหล่าอนุชายาอีกหลายนาง ท่านย่อมมีคนคอยปรนนิบัติไม่เว้นแต่ละวัน”

“ข้ามิได้ต้องการร่วมรักกับใครอื่น” หลี่เซียวเหยาตอบใส่หน้าของสตรีร่างนุ่มนิ่มบนตักด้วยน้ำเสียงราบเรียบจริงจังต่อเนื่อง “ข้าย่อมต้องรับผิดชอบเจ้า เมื่อได้ครอบครอง”

ถ้าเป็นสตรีอื่นคงรีบจนตัวสั่นให้แต่งงานเพื่อรวบหัวรวบหางเขา แต่สตรีนางนี้ นางโง่หรือไร!? ชายหนุ่มคิดในใจ

ประโยคของหลี่เซียวเหยาทำเอาเจินเจินต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น พวงแก้มสีชมพูระเรื่อปรากฎริ้วรอยสีแดงเพิ่มมากขึ้น สายตาของนางที่มองเขารู้สึกซาบซึ้งเปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก

เขาเป็นบุรุษที่ดีจริงๆ นางชอบคนไม่ผิด ถ้าเป็นบุรุษคนอื่นคงแค่อยากจะเอาเปรียบอิสตรี แต่เขาไม่! หญิงสาวคิดในใจ

อา…

เขากำลังทำให้นางไม่อยากไปทำงาน

นางกำลังอยากเป็นแค่สตรีในห้องหอของเขา

นางพญาจิ้งจอกเจินเจินคงเป็นแค่เพียงตำนานจริงๆเสียแล้ว…

หญิงสาวคิดในใจพลางซุกซบคลอเคลียชายหนุ่มอยู่ไม่ห่าง

หลี่เซียวเหยาก้มมองใบหน้างามในอ้อมอก

เขาเริ่มแน่ใจว่าเขาชอบนาง

เขาอยากครอบครองนางตลอดไป

เจินเจินเอื้อมมือเรียวงามของตนขึ้นก่อนใช้นิ้วไล้เกลี่ยเบาๆที่ใบหน้าของชายหนุ่ม

เขามิได้รูปงามอย่างเดียวแต่เขามีดีกว่านั้น

หญิงสาวคิดในใจขณะช้อนสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยจับจ้องที่ใบหน้าของเขาอย่างหลงไหล ก่อนโน้มใบหน้าของเขาให้เข้าหา

ริมฝีปากชุ่มชื้นของเขาเคลื่อนเข้ามาประกบกับริมฝีปากได้รูปของเจินเจินอย่างไม่มีเกี่ยงงอนหรือบ่ายเบี่ยง

เขาบรรจงจูบนางอย่างนุ่มนวลอ้อยอิ่ง

ยิ่งได้รู้ว่านางจะต้องไปทำงานในที่ห่างไกลและยาวนาน

เขายิ่งอยากจะยืดเวลาให้ได้อยู่กับนางให้นานยิ่งขึ้น

แต่…

แค่จูบอย่างเดียวเขาคงได้แต่คลั่ง

หลี่เซียวเหยาจึงเริ่มจูบเจินเจินอย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น

แม้เมื่อคืนจะร่วมรักกับนางแล้วทั้งคืน

แต่เหมือนกับว่ามันจะยังไม่เพียงพอ

กับนาง

เขาไม่เคยพอ

เจินเจินรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มเริ่มมีความต้องการมากยิ่งขึ้น ตักแข็งแกร่งของเขาเริ่มมีบางอย่างแจ้งแก่นาง

นางเองก็ไม่ต่างกัน

นางชอบสัมผัสเขา และ ชอบให้เขาสัมผัสนาง

สัมผัสจากบุรุษเพศ มีเพียงเขาที่นางต้องการ

หลี่เซียวเหยาเริ่มปลดสาบเสื้อของเจินเจินที่เพิ่งใส่ได้แค่เพียงไม่นาน

เมื่อผ้าคาดเอวกระตุกออก มือเรียวยาวของเขาจึงค่อยๆล้วงเข้าไปในสาบเสื้อนั้นของนางเพื่อแยกมันออกจากกันจนเผยช่วงไหล่กลมกลึงนวลเนียนให้ปรากฎแก่สายตา

เขาเอื้อมฝ่ามือร้อนลวกล้วงเข้าไปในเอี๊ยมตัวบางแล้วเค้นคลึงทรวงอกอวบอิ่มของนางเบาๆใช้หัวแม่มือเกลี่ยเน้นๆบนยอดเนินนั้น

ริมฝีปากของเขายังคงขบเม้มอยู่กับริมฝีปากของนางอย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นของเขายังคงแทรกซึมควานหาความหวานล้ำจากริมฝีปากของนางอย่างต่อเนื่อง

เจินเจินเองก็ไม่น้อยหน้า มือเรียวสวยของนางกำลังล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของชายหนุ่มเพื่อสัมผัสลูบไล้แผงอกบึกบึนของเขาก่อนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งปลดสาบเสื้อแล้วแหวกออกจากลำตัวของเขา ในขณะที่ริมฝีปากของนางยังคงแนบสนิทกับริมฝีปากของเขาอย่างแนบแน่นพลางตอบสนองด้วยความดูดดื่มจนเรียกเสียงครางให้ออกมาจากลำคอของเขา

สองหนุ่มสาวผลัดกันลูบคลำเค้นคลึงเรือนร่างของกันและกันอย่างอ้อยอิ่ง เนิ่นนาน ผ่านสัมผัสแผ่วเบาแต่ร้อนระอุของฝ่ามือของกันและกัน

เพียงไม่นานเสื้อผ้าของชายหนุ่มหญิงสาวที่เพิ่งสวมใส่แค่เพียงครู่เดียวพลันหลุดรุ่ยก่อนจะหลุดร่วงลงสู่พื้นห้องปูพรมข้างเตียงนอนในขณะที่หลี่เซียวเหยากำลังโอบอุ้มร่างระหงของเจินเจินให้ม้วนตัวจนนอนเหยียดยาวบนเตียงนอนเพื่อรอรับร่างของเขาขึ้นทาบทับ

ริมฝีปากของทั้งสองยังคงประกบแลกลิ้นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

“อือ…อืม….”

เจินเจินเริ่มปล่อยเสียงครวญครางเมื่อหลี่เซียวเหยาถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของนางเพื่อไล้ปลายลิ้นไปเรื่อยๆตามพวงแก้ม ตามปลายคาง เลื่อนลงไปขบเม้มตามลำคอขาวผ่องจนเกิดริ้วรอยรอบใหม่ทับซ้อนกับริ้วรอยดั้งเดิมจากหลายรอบที่ผ่านมา ฝ่ามือร้อนระอุของเขายังคงลูบคลำเค้นคลึงที่เนินอกหยุ่นนุ่มกลมกลึงที่บัดนี้เต่งตึงมากยิ่งขึ้นจากสัมผัสของเขาจนเกิดริ้วรอยสีแดงก่ำ ริมฝีปากที่ร้อนจัดไล้ลิ้นตามมาขบเม้มดูดดันบนยอดปทุมถันอย่างมีชั้นเชิง

“อา…ท่าน”

หญิงสาวยิ่งเพิ่มเสียงครางอย่างกระเส่าออกมาเมื่อฝ่ามือของชายหนุ่มที่ร้อนเร่ามิได้อยู่แค่เนินอกแต่กำลังเคลื่อนลงต่ำไปที่หน้าท้องแบนราบก่อนจะเริ่มล้วงลึกเข้าหาเนื้อนุ่มแล้วแยกต้นขาของนางออก ริมฝีปากของเขาที่ร้อนรุ่มไม่แพ้กันก็กำลังเคลื่อนที่ขบเม้มดูดดึงไปเรื่อยๆจนทั่วเรือนร่างขาวผ่องนวลเนียนดั่งหยกของนาง จนนางต้องแอ่นกายยกขึ้นอย่างเสียวซ่านพร้อมปล่อยเสียงโอดครวญ

“อา….”

มือเรียวที่ขยุ้มกับผ้าปูเตียงต้องรีบคว้าจับไหล่กำยำของเขาเอาไว้แน่นก่อนจะเปลี่ยนมาขยุ้มผมนุ่มลื่นของเขาเพื่อดึงใบหน้าของเขาให้เคลื่อนขึ้นมาหาใบหน้าของนางอย่างร้อนรน นางเริ่มทนไม่ไหว

เจินเจินส่งสายตามองหลี่เซียวเหยาอย่างหลงไหลเย้ายวนเร่งเร้าพลางเผยอริมฝีปากของตนออกแล้วจับกดท้ายทอยของชายหนุ่มให้ริมฝีปากแดงสดของเขาเข้าหาริมฝีปากของนางอย่างเว้าวอน

หลี่เซียวเหยาก้มหน้าลงใช้ริมฝีปากของเขาจัดการตอบสนองเจินเจินอย่างหนักหน่วงในขณะที่ฝ่ามือของเขายังคงคล้ายจะลวกผิวนวลเนียนของนางให้มอดไหม้ไปหมดทั้งตัว

ร่างร้อนผ่าวของเขาและของนางเบียดเสียดเข้าหากันด้วยความร้อนเร่า ความปวดหนึบของเขาและความปวดหน่วงของนางกำลังต้องการเข้าหากันเพื่อเติมเต็ม

หลี่เซียวเหยาใช้ต้นขาของเขาดันต้นขาของเจินเจินให้แยกออกจากกันมากยิ่งขึ้นเพื่อรอรับการถาโถมกลางลำตัว

เจินเจินเอื้อมมือเรียวของตนโอบกระชับแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขาเอาไว้อย่างเตรียมพร้อมรับการจู่โจม

แต่ก่อนที่กิจกรรมเคาะจังหวะของหนุ่มสาวจะเริ่มขึ้น

เสียงเคาะประตูพลันดังมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ทูลองค์ชาย เฉินกงกงมารอเข้าเฝ้าเพคะ” เสียงของนางกำนัลนางหนึ่งดังขึ้นอยู่หน้าประตูนอกห้องนอนอีกชั้นหนึ่ง

สองหนุ่มสาวที่กำลังพร้อมจะมอดไหม้กันและกันถึงกับชะงักงันแข็งค้างอยู่กลางอากาศ

แต่เวลานี้

ช้างมาฉุดก็เอาไว้ไม่อยู่

เมื่อนางกำนัลที่มาแจ้งข่าวไม่ได้รับการตอบรับใดๆกลับออกมา นางจึงเดินจากไปอย่างรู้งาน

หลี่เซียวเหยาและเจินเจินไม่รอช้า รีบใช้เวลาที่มีค่าทั้งหมดในทันที

บทบรรเลงเพลงรักจึงดังขึ้นด้วยเสียงโอดครวญครางกระเส่าอย่างรัญจวนพร้อมลมหายใจหอบถี่เป่ารดกันและกันอย่างกระชั้นชิด ผสมผสานกับเสียงพรมจูบสลับกับเสียงเนื้อกระทบกันอย่างมีจังหวะจนเวลาล่วงเลย…

ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ของตำหนักหลี่เซียวเหยา ตรงโต๊ะไม้ลายสลักตัวหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องมีขันทีคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านล่างของโต๊ะตัวนั้น ขันทีคนนั้นกำลังหลับอยู่คล้ายกับตายไปแล้ว

“เจ้ามีธุระอันใด เฉินกงกง” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจ ของหลี่เซียวเหยาดังขึ้นเมื่อเดินมาจนถึงร่างที่กำลังฟุบหลับอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น

เฉินกงกงที่นั่งรอหลี่เซียวเหยาอยู่นานจนเผลอหลับไปถึงกับสะดุ้งจนกลิ้งไปหนึ่งตลบ

“พระอาญาไม่พ้นเกล้า กระหม่อมขอประทานอภัยพะย่ะคะ” เฉินกงกงถึงกับลนลานกล่าวสิ่งใดไม่ถูกขณะลุกขึ้นคลานเข่าก้มหน้างุดๆตรงเบื้องหน้าของร่างสูงโปร่ง

“มีอะไรก็ว่ามา” หลี่เซียวเหยาถามเฉินกงกงอีกครั้งอย่างนึกหงุดหงิดอยู่บ้างที่เฉินกงกงบังอาจมาขัดจังหวะของเขากับเจินเจินเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา

แม้จะขัดไม่สำเร็จก็เถอะ!

“ทูลองค์ชายสี่ ฮ่องเต้ให้กระหม่อมมาทูลเชิญไปพบที่ตำหนักกลางพะย่ะค่ะ” จบคำของเฉินกงกงหลี่เซียวเหยาเพียงหันหน้าไปทางเจินเจินที่เดินออกมาด้วยกัน

เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เจ้ากำลังจะไปพบฮองเฮา งั้นเราไปด้วยกันเถอะ”

“อืม…” เจินเจินเงยหน้ารับคำหลี่เซียวเหยายิ้มๆก่อนเดินเคียงกันไปตามทางอย่างอารมณ์ดี

เมื่อทั้งสองเดินเข้ามายังตำหนักกลางอันหรูหราอลังการจึงทำความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮาเจ้าของตำหนักตามปรกติและได้พบกับแขกผู้มาเยือน หลี่เซียวเหยาจึงรู้แจ้งในทันทีถึงการเรียกพบของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินในยามนี้

“เสด็จแม่” หลี่เซียวเหยาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจอยู่หลายส่วนเมื่อมองเห็นสตรีสูงวัยนางหนึ่งที่กำลังนั่งคุยอยู่กับฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน สตรีวัยกลางคนนางนั้นเพียงผินหน้ามาทางเขา ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปหาก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“เหยาเอ๋อร์…” เซียงหวงกุ้ยเฟยพระสนมเอกในฮ่องเต้แคว้นหลี่ที่เป็นพระมารดาของหลี่เซียวเหยาเอ่ยเรียกบุตรชายของตนด้วยน้ำเสียงดีใจไม่ต่างกัน

“เสด็จแม่มาได้อย่างไร เสด็จพ่อทรงอนุญาตหรือพะย่ะค่ะ” หลี่เซียวเหยาถามขึ้นไปทางมารดาขณะเดินเข้าไปประคองสตรีสูงวัยให้ลุกขึ้นเพื่อโอบกอดและลูบหลังเขาอย่างที่เคยกระทำมาตามประสาแม่ลูกผูกพัน

“ย่อมแน่นอน เป็นกรณีพิเศษน่ะ นอกจากแม่แล้วยังมีคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพภาคมากับแม่ด้วย” เซียงหวงกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดีพลางโบ้ยสายตาอย่างมีเลศนัยไปทางสตรีนางหนึ่งที่ยืนเยื้องออกไปไม่ไกลกัน

“หลิงอวิ๋นถวายบังคมองค์ชายสี่เพคะ” สตรีหน้าตางดงามรูปร่างอรชรท่าทางอ่อนหวานกิริยาสูงส่งนามว่าหลิงอวิ๋นที่เซียงหวงกุ้ยเฟยเอ่ยถึงรีบแนะนาตัวเองอย่างเนียนๆพร้อมกับเดินนวยนาดเข้ามาใกล้บุคคลทั้งสองก่อนจะทำความเคารพมาทาง หลี่เซียวเหยาอย่างนอบน้อม

ทำเอาคนทั้งหมดในตำหนักกลางถึงกับชะงักอย่างรู้ความนัย ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน ฮองเฮาหงเหม่ยหลง โดยเฉพาะหลี่เซียวเหยาและที่หนักสุดเห็นจะเป็นเจินเจินที่เดินเคียงกันมากับหลี่เซียวเหยาเมื่อครู่

หลี่เซียวเหยาจึงถือโอกาสดึงร่างของเจินเจินที่เดินเข้ามาพร้อมกันให้เข้ามาใกล้เขาก่อนจะเอ่ยแนะนาให้มารดาของตนได้รู้เสียเลย

เจินเจินจึงรีบทำความเคารพอย่างรู้งานในทันที

 

“แค่สตรีอุ่นเตียงใยต้องแนะนาเปิ่นกงกัน” นั่นคือประโยคของเซียงหวงกุ้ยเฟยที่เอ่ยทักทายอย่างถือตัวด้วยน้ำเสียงผิดจากเมื่อครู่อย่างชัดเจน เนื่องจากนางได้รับรู้มาบ้างเกี่ยวกับสตรีของ หลี่เซียวเหยาบุตรชายของตน

หลิงอวิ๋นถึงกับหลุดขำอย่างจงใจโดยยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากอย่างมีจริต

หลี่เซียวเหยาถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อมองไปทางเจินเจิน

เจินเจินเพียงรับฟังนิ่งๆอย่างรู้งานอีกเช่นกัน นางไม่โง่และไม่อยากสู้รบปรบมือกับสตรีอ่อนแอ อีกทั้งเป็นถึงมารดาอันเป็นที่รักของบุรุษที่นางพึงใจ

นางจึงเพียงยกยิ้มตอบกลับไปอย่างไม่ถือสา

ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินกับฮองเฮาหงเหม่ยหลงที่พอจะรับรู้เรื่องของหลี่เซียวเหยาและเจินเจินอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยไปทางข้าราชบริพารที่ยืนรอรับใช้อยู่ไม่ไกลให้พาอาคันตุกะทั้งสองไปยังที่พักที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ โดยให้หลี่เซียวเหยาเป็นคนตามไปดูแล

หลี่เซียวเหยาจึงเดินประคองมารดาของตนให้เดินออกไปจากตำหนักกลางตามด้วยหลิงอวิ๋นและบ่าวรับใช้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง

ต้นเหตุที่จู่ๆมารดาของหลี่เซียวเหยาพาสตรีมาให้ชายหนุ่มถึงที่นั้นเป็นเพราะเซียงอวี๋นั่นเอง

เซียงอวี๋นั้นเมื่อจับหลี่เซียวเหยาไม่สำเร็จเมื่อครั้งวางยาปลุกกำหนัดหลี่เซียวเหยา จึงจำต้องเลิกตอแยหลี่เซียวเหยาเนื่องด้วยเหตุการวางยาหลี่เซียวเหยาที่เป็นถึงองค์ชาย นางจึงถูกทำโทษอย่างหนักและโดนเนรเทศให้ออกไปจากแคว้นต้าหลี่

แต่ต่อมาเซียงอวี๋นั้นบังเอิญได้รับความช่วยเหลือจาก หลิงอวิ๋นซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักกันกับเซียงอวี๋ ตัวเซียงอวี๋จึงคิดแผนการขึ้นมาใหม่

อันที่จริงสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นนั้นนางได้มีคนรักอยู่แล้ว แต่เซียงอวี๋ก็ทำให้ทั้งสองเลิกรากันเพียงในเวลาแค่ไม่นาน ด้วยการหว่านล้อมหลิงอวิ๋นโดยการยกตำแหน่งชายาเอกในองค์ชายสี่หลี่เซียวเหยาแห่งแคว้นต้าหลี่มาหลอกล่อ โดยการชักนำ หลิงอวิ๋นเข้าหาเซียงหวงกุ้ยเฟยมารดาของหลี่เซียวเหยา

สตรีทั้งสองนางนี้ ทั้งเซียงอวี๋และหลิงอวิ๋นนั้นมีสัญญาใจต่อกันว่าถ้าหลิงอวิ๋นได้เป็นชายาเอก เซียงอวี๋จะต้องได้เป็นชายารอง หากแผนการผลักดันให้หลิงอวิ๋นเป็นชายาเอกสำเร็จ ตำแหน่งชายารองของเซียงอวี๋ก็คงเป็นไปได้ไม่ยาก เซียงอวี๋คิดอย่างนั้น

และด้วยฐานะของหลิงอวิ๋นนั้นที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพของแคว้นหลี่ผู้ที่เปรียบดังมือขวาของฮ่องเต้แคว้นหลี่ซึ่งแคว้นหลี่นั้นเป็นพันธมิตรแน่นแฟ้นกับแคว้นต้าหลี่

ด้วยเพราะว่าฮ่องเต้ของแคว้นหลี่เป็นบิดาของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินแห่งแคว้นต้าหลี่จึงไม่ใช่เรื่องยากที่มารดาของหลี่เซียวเหยาจะคล้อยตามและนำพากันมาในวันนี้

เมื่อมารดาของหลี่เซียวเหยาและสตรีผู้มาใหม่ หลิงอวิ๋น พร้อมด้วยขณะบ่าวไพร่ได้พากันออกไปตามคำสั่งของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินแล้วนั้น ในห้องนี้จึงเหลือเพียงฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน ฮองเฮาหงเหม่ยหลง และเจินเจิน

“เจินเจิน…” หงเหม่ยหลงเห็นเจินเจินเงียบไปจึงเอ่ยเรียกลูกน้องคนสนิทของตนอย่างห่วงใย

“หม่อมฉันไม่เป็นไร” เจินเจินเอ่ยขึ้นเนิบๆ ด้วยมาดนิ่งๆ เพราะกำลังเก็บข่มอารมณ์พลุ่งพล่านบางอย่างอยู่อย่างยากลำบาก

เดิมทีเจินเจินกับหลี่เซียวเหยาตั้งใจมาบอกกล่าวแก่ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินกับฮองเฮาหงเหม่ยหลงเรื่องการแต่งงานของพวกตน

แต่ในเมื่อรูปการณ์ออกมาเป็นอย่างนี้ เจินเจินจึงได้มีเวลาใคร่ครวญ และตัดสินใจ

ในระหว่างที่นางต้องนำพรรคพวกออกเดินทางไปคอยช่วยเหลือเป็นทัพสนับสนุนให้องค์ชายหลี่หงจินหยางโอรสหนึ่งเดียวของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินและฮองเฮาหงเหม่ยหลงที่แคว้นต้าไห่นั้น

นางจึงคิดจะใช้โอกาสและเวลานี้ดูเชิงบุรุษของนาง

หลี่เซียวเหยา!

นางอยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร

หากเขาปักใจรักนางจากใจจริงและกล้าพอเพื่อนาง

นางขอสาบานว่าจะยกพวกไปถล่มเมืองใดเมืองหนึ่งแล้วยึดเอามาถือครอง

แล้วเขากับนางจะร่วมกันปกครองโดยไม่สนใจใคร

แต่ถ้าไม่….

ถ้าไม่…

???

ค่อยคิดอีกทีแล้วกัน…

ฮึ!

ถึงแม้ว่ามารดาของหลี่เซียวเหยาจะยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเกี่ยวกับหลิงอวิ๋นสตรีที่นางเอามาประเคนบุตรชายถึงที่

แต่การแสดงตัวตนของสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นนั้นกลับฉายชัดออกมาอย่างไม่มีการเก็บข่มอาการใดๆ

ยามนี้หลี่เซียวเหยากับมารดาใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยปล่อยให้หลิงอวิ๋นได้ออกมาแผ่รังสีของชายาเอกก่อนล่วงหน้าอย่างแข็งขัน โดยมีนางกำนัลและบ่าวไพร่คอยดูแลปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง

หญิงสาวกำลังเดินนวยนาดไปมาตามทางเดินของสวนสวยในอุทยานของตำหนักหลี่เซียวเหยาด้วยมาดของนางพญาไม่มีเก็บกดท่วงท่าของชายาเอกแต่อย่างใด

กิริยาของนางฉายชัดอยู่ทุกย่างก้าวอย่างจงใจ

นางต้องการข่มขวัญคนที่นี่เอาไว้เพื่อกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาด เพราะนางค่อนข้างแน่ใจในความสวยสดสูงค่าของตน

เหล่าบรรดาอนุชายาเมื่อได้ข่าวเกี่ยวกับสตรีผู้มาใหม่และยังได้ข่าวด่วนปานสายฟ้าแล่บชนิดเร็วกว่าไฟลามทุ่งว่าสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นนั้นอาจจะได้มาเป็นชายาเอกของตำหนักหลี่เซียวเหยาอย่างจริงแท้แน่นอน

ด้วยเพราะว่าสตรีนางนั้นได้เดินทางมากับสตรีสูงศักดิ์ที่เป็นถึงพระมารดาขององค์ชายสี่

พวกนางจึงรวมใจกันมายลโฉมและตั้งใจมาเพื่อทำความรู้จักกับหลิงอวิ๋นกันอย่างพร้อมเพรียง

“เหล่าอนุชายาขององค์ชายสี่เจ้าค่ะ คุณหนู” นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยกับหลิงอวิ๋นอย่างประจบประแจงเมื่อมองเห็นเหล่า อนุชายาพากันเดินนวยนาดใกล้เข้ามาทางหลิงอวิ๋นที่เป็นถึงว่าที่ชายาเอกในองค์ชายสี่

หลิงอวิ๋นเห็นบรรดาสตรีหมายเลขสามสี่ห้าหกขององค์ชายสี่จึงเพียงปรายตามองอย่างถือตัวและทำท่าทางสูงส่งอย่างเข้มข้นเพื่อข่มขวัญสตรีเหล่านั้นเอาไว้

ต่อไปถ้านางเป็นชายาเอก นางจะต้องดูแลจัดการเหล่าอนุชายาให้อยู่หมัดภายใต้อาณัติของนาง หญิงสาวคิดอย่างนั้น ขณะวางมาดเหย่อหยิ่งอย่างคนชั้นสูงเพื่อต้องการข่มขวัญออกมาอย่างชัดเจน

เหล่าอนุชายาเมื่อเห็นสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นทำท่าทีอยู่เหนือพวกตนมากมายแบบนั้น พลันเปลี่ยนใจจากเดิมว่าจะเข้าไปทักทำยอย่างผูกมิตรไมตรีเอาไว้จึงเพียงแค่กล่าวทักทำยตามมารยาทและพากันนวยนาดเดินจากมา

เมื่อเหล่าอนุชายาทั้งหลายได้พากันเดินออกมาห่างจากหลิงอวิ๋นพอสมควร…

“ข้าว่าเจินเจินยังดีกว่า” อนุชายาหมายเลขสามเอ่ยขึ้น

“ใช่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้พวกเรารู้สึกต่ำต้อยเยี่ยงนี้” อนุชายาหมายเลขสี่อีกคนเอ่ยตาม

“เช่นนั้น พวกเราต้องจัดการ” อนุชายาหมายเลขห้าอีกนางรีบเสริม

“เขี่ยสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นออกไป” อนุชายาหมายเลขหกเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้มเป็นสัญญาณ

และทั้งหมดก็หัวเราะในลำคออย่างพร้อมเพรียง

หึหึหึ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!