บทที่ 302 หลินเทียนหาวคนใหม่
แสงอาทิตย์อัสดงอาบไล้ร่างของหวังเป่าเล่อ คำชมแผ่วเบาจากหมู่ศิษย์ลอยมาเข้าหู หวังเป่าเล่อรู้สึกยินดีที่มีคนตาถึงมองเห็นความยอดเยี่ยมยากหาใครเทียม ของเขา ชายหนุ่มเปลี่ยนท่าหันข้างเล็กน้อยให้ตนเองรับแสงสีส้มยามเย็นด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อทำท่าทำทาง หลี่อู๋เฉินก็กัดฟันกรอด ชายหนุ่มสบถพึมพำก่อนคำรามและหันหลังกลับเพื่อจากไป เหล่าศิษย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณที่อยู่หน้าโรงแรมขวานศึกเริ่มหายไปทีละคนสองคนตามคำสั่งของอาจารย์ที่กำกับดูแลอยู่ ทว่าหลายคนยังประทับใจในตัวหวังเป่าเล่ออยู่มากจนหันหลังกลับมามองเขาก่อนไป ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
ศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเข้ามาล้อมหวังเป่าเล่อไว้ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ทุกคนแสดงออกถึงความชื่นชมทางสีหน้าอย่างเต็มที่ สำหรับศิษย์ที่ผ่านประสบการณ์การถูกโขกสับมาเหล่านี้ หวังเป่าเล่อเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การบูชา
“สำนักศึกษาเปลววิญญาณท้าพวกเราประลอง! บอกข้ามาเสีย! พวกเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะกำชัยมาได้” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสงบ เขาเก็บอาวุธเวทของตนกลับเข้าไปขณะมองหน้าลูกศิษย์แต่ละคนที่เข้ามาห้อมล้อม
ศิษย์หลายสิบคนตอบรับเสียงดังอย่างมีชีวิตชีวาด้วยพลังเปี่ยมล้น
“มั่นใจขอรับ!”
“ดีมาก! ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนมั่นใจ ข้าจะสอนเคล็ดวิชาลับของข้าแก่พวกเจ้า!” หวังเป่าเล่อโบกมือเพื่อหยิบเอาเรือบินออกมา ก่อนจากโรงแรมขวานศึกไปท่ามกลางเสียงกู่ร้องกึกก้องและความคาดหวังของศิษย์ที่อยู่เบื้องหลัง
ทว่าก่อนที่เขาจะออกมา หวังเป่าเล่อหันไปเห็นสวีเจินจิงพอดี จึงออกคำสั่งลูกน้อง
“สร้างขวานศึกเพิ่มอีกร้อยด้ามและหันคมขวานไปที่สำนักศึกษาเปลววิญญาณ!”
สวีเจินจิงตกใจเป็นอันมากเมื่อได้เห็นความทรงพลังของหวังเป่าเล่อกับตาตนเอง จึงรีบรับคำสั่งของหวังเป่าเล่ออย่างแข็งขัน เขารู้อยู่แล้วว่านายท่านคนใหม่ผู้นี้ เป็นศัตรูกับสำนักศึกษาเปลววิญญาณ
แล้วก็จริงเสียด้วย หวังเป่าเล่อไม่ชอบขี้หน้าหลี่อู๋เฉินแม้แต่นิด และตัวหลี่อู๋เฉินเอง ก็ไม่ถูกชะตากับหวังเป่าเล่อเช่นกัน แต่คงจะไม่มีปัญหามากถ้าทั้งสองไม่ลงไม้ลงมือกันจริง ทว่าฉากวิวาทหน้าโรงแรมขวานศึกผนวกกับความจริงที่ว่าทั้งสองมีตำแหน่งเดียวกัน ทำให้หวังเป่าเล่อมุ่งมั่นเป็นอย่างมากที่จะแสดงให้หลี่อู๋เฉินเห็นว่าเขาเก่งกาจน่าประทับใจเพียงใดในการประลองที่กำลังจะมาถึงนี้
เจ้าจะไม่มีวันชนะข้า และศิษย์ของเจ้าก็เช่นกัน! หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ ตอนแรกเขาตัดสินใจว่าจะอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเพียงปีเดียวเท่านั้น แต่ในเมื่อมี คนมาแหย่ให้โกรธ ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าคงยังจากไปไม่ได้จนกว่าจะได้สั่งสอนให้ หลี่อู๋เฉินรู้เสียก่อนว่าใครกันแน่ที่เป็นของจริง
สามวันผ่านไป
ขวานศึกหนึ่งร้อยด้ามที่เรียงรายอยู่หน้าโรงแรมดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงที่สุด ทั่วทั้งสำนักศึกษาเปลววิญญาณดูหม่นหมอง คนที่กลัวขวานศึกร้อยด้ามนั้นไม่ใช่แค่ หลี่อู๋เฉิน แต่ยังรวมถึงคณาจารย์และเจ้าสำนักด้วย
“อันธพาลเป็นบ้า!”
“พวกเราต้องชนะให้ได้ในอีกสามเดือนต่อจากนี้!”
เหล่าอาจารย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะกำชัยให้จงได้ โดยเฉพาะหลี่อู๋เฉินที่เริ่มเตรียมการด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยว การต่อสู้ที่เกิดขึ้นหน้า โรงแรมขวานศึกรวมถึงสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด แพร่กระจายไปทั่วสำนักศึกษาเต๋า หมอกขุนเขาจากการเล่าปากต่อปากของผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายสิบคน
“สำนักศึกษาเปลววิญญาณน่ารังเกียจเป็นบ้า พาพวกเป็นร้อยคนมารุมพวกเรา ยังดีนะที่รองเจ้าสำนักหวังมาปกป้องเราไว้ ไล่อัดพวกอาจารย์เสียกระเจิงแถมคอยป้องกันพวกเราไม่ให้มีอันตรายด้วย!”
“รองเจ้าสำนักหวังบอกว่าจะไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงรังแกศิษย์ได้ แม้แต่ ประธานสหพันธรัฐ!”
“พวกเจ้าทุกคนพลาดแล้ว รองเจ้าสำนักหวังของพวกเราดูน่าประทับใจมากโดยเฉพาะตอนแสงอาทิตย์สาดลงมาบนตัวเขา ข้าว่ารองเจ้าสำนักดูเหมือนมังกรที่พุ่งคมกระบี่ลงมาจากฟากฟ้า เล่นเอาเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณเสียหมดท่า! หลังจากนั้นแม้แต่ศิษย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณยังเคารพรองเจ้าสำนักหวังเลย!”
“รองเจ้าสำนักของเราสุดยอดเป็นบ้า! ข้าจะไม่มีวันลืมกระบวนท่าลูกเตะสุดบาดใจของรองเจ้าสำนักเลย!”
ลูกศิษย์หลายสิบคนที่ชื่นชมยินดีในตัวหวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะจินตั้วจื่อและผองเพื่อน เป็นคนที่กว้างขวางในสำนักศึกษาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาป่าวประกาศประสบการณ์ของตนเอง โดยเฉพาะตอนที่หวังเป่าเล่อเตะเป้าคู่ต่อสู้ด้วยลูกเตะสายฟ้าอย่างละเอียด เรื่องราวจึงแพร่กระจายไปทั่วสำนักศึกษาเหมือนไฟลามทุ่ง เมื่อสานุศิษย์ได้ยินวีรกรรมอันแสนเร้าอารมณ์ก็พากันตื่นเต้นถ้วนหน้า
หากพวกเขาโตพอแล้วคงไม่เชื่ออย่างหลับหูหลับตาขนาดนี้ แต่ศิษย์เหล่านี้ยังเยาว์นักจึงไม่ทันคน เมื่อเห็นร่างกายของจินตั้วจื่อและพรรคพวกซึ่งตื่นเต้นถึงขีดสุดเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำที่พวกเขาโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจ ทุกคนก็พลอยตื่นเต้นดีใจไปด้วย
“สำนักศึกษาเปลววิญญาณเดิมพันกับรองเจ้าสำนักหวังไว้ พวกเราต้องเข้าประลองกันในอีกสามเดือนข้างหน้า!”
“ได้เลย! ข้าก็อยากเตะก้นไอ้พวกนั้นมันเหมือนกัน!”
ในพริบตานั้นเอง บรรยากาศในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นพลุ่งพล่าน เหตุผลที่ทำให้ศิษย์ทุกคนตื่นตัวนั้นทำเอาอาจารย์ประจำ สำนักศึกษาประหลาดใจไปตามๆ กัน อาจารย์ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกันว่า รองเจ้าสำนักหวังผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะมองข้ามไปได้
หวังเป่าเล่อพอใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นบรรยากาศอันมีชีวิตชีวาในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา แต่แม้เขาจะหวังสูงขนาดไหน ก็ต้องพบเข้ากับอุปสรรคก้อนใหญ่เมื่อได้ทราบถึงระดับความสามารถของศิษย์ในสำนักศึกษาตน
แม้ทั้งสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาและสำนักศึกษาเปลววิญญาณจะถือว่าเป็นสำนักศึกษาชื่อดังประจำดาวอังคาร แต่เจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเป็นคนเล่นตามกฎ อาจจะด้วยอายุที่มากขึ้นจึงทำให้ท่านไม่อยากพัฒนาอันใดอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาจึงตามหลังสำนักศึกษา เปลววิญญาณอยู่มาก ทั้งในแง่ความสามารถของคณาจารย์ และความสามารถใน การต่อสู้ของศิษย์
นั่นเพราะเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณเป็นคนทะเยอทะยาน มุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพของสำนักศึกษาด้วยแรงสนับสนุนจากหลายภาคส่วนบนดาวอังคารด้วยเหตุนี้หากไม่มีใครพยายามทำอะไรแล้วละก็ สำนักศึกษาเปลววิญญาณต้องกำชัยไปได้อย่างแน่นอน
ความจริงข้อนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดหัวตุบ ชายหนุ่มมั่นใจว่าจะเปลี่ยนแปลงสำนักศึกษาได้ แต่สามเดือนดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ นอกเสียจากว่าจะมีเงินทุนและทรัพยากรอื่นๆ จำนวนมหาศาล
แม้ว่าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาดูเหมือนกำลังรุ่งเรือง แต่ก็เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เบื้องหลังไม่ได้มีทรัพยากรเยอะแยะมากมายขนาดที่ให้นำมาใช้พัฒนาได้
ต่อให้เขาทำเรื่องของบประมาณไปที่สำนักเจ้านครดาวอังคาร ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้รับการอนุมัติ หลังจากที่คำนวณสะระตะเรียบร้อย ชายหนุ่ม ก็ตระหนักได้ว่าเวลาของตนเหลือไม่มากแล้ว ซึ่งทำให้เขารู้สึกยุ่งยากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้พยายามลงแรงกับที่นี่เพราะข้าเองยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ หากรู้ก่อนว่าสำนักศึกษาตกอยู่ในสภาพนี้… คงไม่เลือดร้อนรับคำท้าไป หลี่อู๋เฉินนี่มันเจ้าเล่ห์เป็นบ้า! หวังเป่าเล่อเริ่มใจไม่ดี เขาเข้าพบเจ้าสำนักเพื่อหารือเรื่องดังกล่าว แต่เจ้าสำนักก็เพียงแต่ยิ้มและอนุญาตให้หวังเป่าเล่อทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ เพราะท่านเองก็จะเกษียณในไม่ช้า แต่ก็ไม่ได้ช่วยออกความคิดเห็นอันใดเลย
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าการทำงานภายใต้ผู้บังคับบัญชาอย่าง เจ้าสำนักผู้นี้ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะอย่างน้อยท่านก็ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดที่ชอบริเริ่มโครงการใหม่ตลอดเวลา เจ้าสำนักตอบรับทุกอย่าง แต่ความที่ท่านไม่ปฏิเสธอะไรเลยและปล่อยให้หวังเป่าเล่อทำเต็มที่ ชายหนุ่มจึงต้องลงมือจัดการทุกอย่างด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังจากที่ลองคิดดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี เขาก็นึกถึงหลินเทียนหาวขึ้นมา
ตอนที่เรายังเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ดูเหมือนว่าหลินเทียนหาวจะเก่งเรื่อง การสร้างข่าวลือ หมอนั่นไม่ได้เบาปัญญา เพียงแต่โชคร้ายมาเจอข้าที่ยอดเยี่ยมกว่าเท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็เรียกหลินเทียนหาวเข้าพบ และโยนโจทย์ยาก ให้ทันที
“เทียนหาว เรื่องนี้มีผลอย่างมากต่ออนาคตและชื่อเสียงของสำนักศึกษา เต๋าหมอกขุนเขา ข้ามอบให้เจ้าจัดการ หากเจ้าทำสำเร็จข้าสัญญาว่าจะฝากฝังเจ้าให้เจ้าสำนักแน่นอน!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนตบบ่าหลินเทียนหาว และพยายามส่งสายตาแสดงความมั่นใจให้ชายหนุ่ม
หลินเทียนหาวผงะไปเล็กน้อยหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ชายหนุ่มมองหน้า หวังเป่าเล่ออย่างงุนงง เริ่มรู้สึกได้ถึงเค้าลางความปวดหัวที่กำลังมาเยือน หลินเทียนหาวรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อช่างแสนหน้าทน ตัวเองเป็นผู้รับคำท้าเองแท้ๆ แต่พอจัดการไม่ได้ก็กลับนำปัญหามาโยนให้คนอื่น
นอกจากนี้หลินเทียนหาวยังไม่เชื่อว่าหวังเป่าเล่อจะกล่าวชมเขาให้เจ้าสำนักฟัง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามแต่โดยดีเพราะหวังเป่าเล่อเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ความยากลำบากของอุปสรรคนี้แปลว่าเขาต้องทำงานถวายหัว
เหตุใดข้าจึงอับโชคโดนหมอนี่กลั่นแกล้งตั้งแต่เรียนหนังสือยันเรียนจบกันนะ หลินเทียนหาวทั้งเศร้าทั้งโกรธ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาให้เขาแสดงอารมณ์ลบออกมา ชายหนุ่มจึงรีบคิดหาทางแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปสักพักเขาก็กัดฟันก้าวเท้ามาข้างหน้า และพูดด้วยเสียงแผ่ว
“ท่านรองเจ้าสำนัก เรื่องทรัพยากรที่เราต้องการนั้น ข้าพอมีทางออกขอรับ…”
“หืม” หวังเป่าเล่อกำลังจะยกถ้วยชา แต่ก็รีบหันไปมองหลินเทียนหาวทันทีที่ได้ยิน คำประกาศ
“ท่านรองเจ้าสำนัก ข้ารู้ว่าท่านคงมีทางออกอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการทดสอบข้าใช่หรือไม่ขอรับ สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดอาจเหมือนกับสิ่งที่ท่านคิดเอาไว้แล้ว แท้จริงแล้วปัญหาของเรานี้แก้ง่ายมากในความคิดของข้า บิดามารดาของศิษย์สำนักศึกษาเราไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แม้พวกเขาจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าท่าน แต่ก็เรียกได้ว่าเป็น ผู้มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาในสังคมบนดาวอังคารมาก
“ข้าคิดว่าพวกเขาต้องเต็มใจและตั้งใจช่วยเหลือเราแน่นอน นั่นเพราะ การประลองนี้จะเกิดขึ้นในวันชาติดาวอังคาร หากเราขยายขนาดของงานประลองให้ยิ่งใหญ่ขึ้น เราก็จะเชิญบรรดาผู้ปกครองของลูกศิษย์เข้ามารับชมได้ หากเรา เดินหมากเช่นนี้สำนักศึกษาเปลววิญญาณก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ทำเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นจะดูเหมือนเสียหน้า หากสำเร็จนั่นจะแปลว่า… ผู้ปกครองของศิษย์ทั้งสองสำนักศึกษาจะมาดูการแข่งขัน และกลายเป็นงานมหรสพขนาดใหญ่ของอาณานิคมดาวอังคารไปในที่สุด หากเป็นไปในรูปการณ์นี้ ก็เป็นไปได้ที่ท่านเจ้านครจะมาร่วมชมการประลองด้วยเช่นกัน… นี่ก็เหมือนเป็นการแสดงความสามารถของเด็กๆ ให้ท่านเจ้านครเห็น
“คงไม่มีบิดามารดาคนไหนอยากเห็นบุตรของตนเองพ่ายแพ้ต่อหน้าท่านเจ้านครหรอกนะขอรับ…” หลินเทียนหาวพูดอย่างกระตือรือร้นและเผลอประจบหวังเป่าเล่ออย่างไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการทำให้ตนเองไม่ต้องตกที่นั่งลำบาก