Skip to content

A World Worth Protecting 305

บทที่ 305 แข็งแกร่งจนมนุษยชาติต้องสูญพันธุ์

“ขั้นแรกของเคล็ดวิชาการลดน้ำหนักคือ การวิ่ง!” หวังเป่าเล่อออกคำสั่งให้   ศิษย์ห้าร้อยคนวิ่ง ไม่ใช่แค่วิ่งรอบจัตุรัสสาธารณะเท่านั้นแต่เป็นการวิ่งรอบ          สำนักศึกษา ศิษย์ทั้งห้าร้อยคนเริ่มออกวิ่งเต็มฝีเท้า

พวกเขาไม่รู้สึกเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งเช่นเดียวกับตอนที่หวังเป่าเล่อพยายาม   ลดน้ำหนักโดยการวิ่งรอบเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง เหล่าศิษย์เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาลขณะออกกำลังกาย ไขมันวิญญาณหนาบนร่างของพวกเขาเริ่มดูดซึมเข้าร่างขณะวิ่ง ทุกคนเริ่มรู้สึกถึงพลังปราณที่พัฒนาขึ้นอีกเรื่อยๆ

กองทัพหมูน้อยออกวิ่งเป็นเวลาสามวันด้วยกัน เมื่อเห็นว่ารูปร่างของตนกลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วเด็กๆ ก็รู้สึกโล่งใจ พวกเขายังค้นพบอีกเรื่องหนึ่งด้วยว่า…    ยิ่งใครอ้วนขึ้นมากเท่าไหร่ จะยิ่งพัฒนาขั้นปราณได้เร็วมากขึ้นเท่านั้นหลังจากใช้  เคล็ดวิชาการลดน้ำหนักเรียบร้อยแล้ว!

ยกตัวอย่างเช่น จินตั้วจื่อที่บรรลุปราณขั้นผนึกกายาในที่สุด นอกจากนี้ยังมี     อีกหลายคนที่ก้าวขึ้นไปสู่ขั้นปราณโลหิตอย่างสมบูรณ์แบบ และศิษย์ที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างอ้วนกว่าใครเพื่อนเมื่อก่อนหน้า

“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าให้เชื่อในตัวท่านรองเจ้าสำนัก ว่าแต่อ้วนแล้วจะอย่างไรเล่า ยิ่งข้าอ้วนเท่าไหร่ ข้ายิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น!” จินตั้วจื่อพูดอย่างภาคภูมิใจ พร้อมโอ้อวดเรื่องน้ำหนักที่เกินเกณฑ์ของตนก่อนหน้านี้ นี่ทำให้ศิษย์  หลายคนประหลาดใจ และก็ตระหนักได้เช่นกันว่าสิ่งที่จินตั้วจื่อพูดฟังดูสมเหตุสมผล

ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งหน้าวิ่งและฝึกทักษะดูดกลืนสวรรค์ต่อไปอย่างไม่ท้อถอย     หวังเป่าเล่อใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นพัฒนาการของศิษย์ตน ศิษย์เหล่านี้มีรูปร่างเปลี่ยนไประดับวันต่อวัน พวกเขาผอมลงแล้วก็กลับมาอ้วนอีกครั้ง

แต่คราวนี้ไม่มีใครเป็นห่วงเรื่องน้ำหนักอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือผู้ปกครอง เนื่องจากได้เห็นกับตาว่าเด็กๆ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ ทั้งความเร็วในการพัฒนาขั้นปราณและความมุ่งมั่นตั้งใจในการฝึกตนที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในเวลาไม่ถึงเดือน

สิ่งแรกนั้นก็ว่าเกิดขึ้นได้ยากแล้ว แต่สิ่งหลังกลับยากยิ่งกว่า!

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ละเลยปัญหาความอ้วนของเด็กๆ เมื่อเขาเห็นว่าศิษย์ส่วนใหญ่เริ่มกลับมาอ้วนอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เริ่มเดินหน้าปฏิบัติการที่สองของเคล็ดวิชาการ     ลดน้ำหนักในทันที

ซึ่งก็คือ… การยกน้ำหนัก!

หวังเป่าเล่อจำได้ดีว่าตนเองบรรลุปราณขั้นต่อมาจากการฝึกกล้ามเนื้อ ดังนั้นเขาจึงเน้นความสำคัญของการยกน้ำหนักเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มกระตุ้นให้เด็กๆ         ยกน้ำหนักบนลานจัตุรัสสาธารณะด้วยพลังกายทั้งหมดที่มีและให้ส่งเสียงคำราม   ขณะยกด้วย

ในกลุ่มศิษย์นี้มีทั้งชายและหญิง ไม่ใช่เพียงแต่ศิษย์ชายเท่านั้นที่ตั้งใจยกน้ำหนักอย่างสุดความสามารถ ศิษย์หญิงก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ตุ้มน้ำหนักที่ศิษย์หญิงใช้นั้นหนักกว่าที่ศิษย์ชายหลายคนใช้เสียด้วยซ้ำ พวกนางส่งเสียงคำรามออกมาราว       ชายชาตรีจนทำให้ศิษย์ชายหลายคนตกใจ

หวังเป่าเล่อพอใจมากกับผลลัพธ์ เขาโบกมือไปที่กลุ่มศิษย์เพื่อให้กำลังใจ

บัดนี้อาจารย์มากมายหลายคนที่ยืนอยู่ข้างจัตุรัสสาธารณะล้วนตกใจกับ        ภาพที่เห็น เหล่าศิษย์ต่างเดินแบกน้ำหนักไปมาเหมือนชายฉกรรจ์วัยแตกพานที่    ชอบเพาะกาย หนึ่งในอาจารย์มองไปที่ศิษย์หญิงคนหนึ่งในฝูงชนซึ่งกำลังยกน้ำหนักแข่งกับจินตั้วจื่อ

“ข้าจำได้ว่าเมื่อเดือนก่อน โจวเหมยเป็นสาวบอบบางร่างน้อย…”

ตอนนี้สาวน้อยบอบบางงดงามผู้นี้กลับมีรูปร่างอ้วนตุ้ยนุ้ย พลังกายของนางพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนเห็นกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเป็นมัดๆ ศิษย์หญิงผู้นี้ก็บรรลุขั้นปราณเช่นเดียวกัน นางก้าวจากขั้นปราณโลหิตเป็นขั้นผนึกกายาตามจินตั้วจื่อมาติดๆ

แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่บรรลุปราณขั้นผนึกกายา แต่กว่าครึ่งในบรรดาศิษย์ห้าร้อยคนก็พัฒนากำลังกายขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากการฝึกปราณและลดน้ำหนักมา          หนึ่งเดือนเต็ม ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน และทุกคนก็มุ่งมั่นที่จะฝึกฝนให้หนักขึ้นไปอีกเมื่อเริ่มมั่นใจในความสามารถของตนเองมากขึ้น

แต่ไม่นานนักเหล่าศิษย์ที่พัฒนาขั้นปราณไปได้ไกลกว่าเพื่อนก็เริ่มมาถึงทางตันอีกครั้ง พวกเขาเริ่มลดน้ำหนักจากการวิ่งและการฝึกกล้ามเนื้อไม่ได้อีกต่อไป ทำให้ไขมันวิญญาณพาลไม่สลายไปด้วย

หวังเป่าเล่อซึ่งเคยเจอประสบการณ์เดียวกันมาก่อนเตรียมตัวจัดการเรื่องนี้ไว้แล้ว จึงเพียงแต่ยิ้มและเอ่ยออกมาว่า

“บิดามารดาของพวกเจ้าคนไหนสร้างเตาหลอมขนาดใหญ่ตามพิมพ์เขียวที่ข้ามีได้บ้าง”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดความต้องการออกไป ศิษย์หลายคนก็ยกมืออย่างกระตือรือร้น แต่จินตั้วจื่อที่พัฒนาขั้นปราณไปไกลกว่าใครเพื่อนจัดการเตะคู่ต่อสู้ออกไปให้พ้นทางเพื่อคว้าโอกาสนี้เอาไว้ และสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยเสียงดังลั่น

“วางใจได้ขอรับท่านรองเจ้าสำนัก ข้าจะติดต่อท่านปู่ของข้าอย่างเร่งด่วน      หากสร้างไม่เสร็จภายในสองวัน ข้าจะจัดการตัดปู่ตัดหลานกับท่านเสีย!” จินตั้วจื่อ  มองศิษย์ร่วมสำนักรอบกายอย่างยโส เด็กหนุ่มตื่นเต้นดีใจเมื่อคิดว่าตนเองจะไม่มีวันพลาดโอกาสประจบรองเจ้าสำนักอย่างแน่นอน

หวังเป่าเล่อตบบ่าหนาของจินตั้วจื่ออย่างให้กำลังใจและซาบซึ้งใจอยู่ลึกๆ       ชายหนุ่มแนะนำสำทับไปด้วย

“จงขอบคุณท่านปู่ของเจ้าด้วยใจจริง อย่าตัดสายสัมพันธ์กับท่านง่ายดายเช่นนี้ เจ้าต้องเป็นลูกหลานที่มีความกตัญญู…”

จินตั้วจื่อเชื่อฟังคำสั่งของหวังเป่าเล่อในทันที และรีบพยักหน้าหงึกหงัก

ในคืนนั้นเอง คนงานมากมายจากกลุ่มไตรจันทราเดินทางมาถึงสำนักศึกษาและเริ่มงานก่อสร้าง ผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นหลายคนก็เข้าร่วมทำงานด้วย แม้จะ    ไม่ค่อยพอใจที่ตนเองต้องมาทำงานแบกหามแต่ก็ต้องยอมจำนนแต่โดยดี ภายใน     สองวันเตาหลอมขนาดใหญ่ก็เสร็จสมบูรณ์

แม้เตาหลอมนี้จะไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่าห้องหลอมละลายของสำนักศึกษา       เต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็จัดได้ว่าคล้ายคลึง สิ่งที่สำคัญคือเตาหลอมนี้สร้างเสร็จในสองวัน แปลว่าเป็นงานก่อสร้างที่ใช้ทรัพย์ไปมากโข

เมื่อเตาหลอมสร้างเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เดินหน้าปฏิบัติการเคล็ดวิชาการลดน้ำหนักภาคสาม ศิษย์กลุ่มแรกที่ถูกส่งเข้าเตาหลอมกลับมาอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง พวกเขาได้หุ่นอันผอมเพรียวคืนมาพร้อมพลังปราณที่พัฒนาขึ้น ผลลัพธ์นี้ทำให้     ศิษย์คนอื่นมีกำลังใจขึ้นอีก

แผนการของหวังเป่าเล่อในการพัฒนาขั้นปราณก็เป็นอันจบอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อเตาหลอมสร้างเสร็จ

เขาตั้งใจใช้ทักษะดูดกลืนสวรรค์ในการเพิ่มความเร็วการพัฒนาขั้นปราณของสานุศิษย์ โดยการใช้พลังดูดในการรวมปราณให้ซึมเข้าร่างเพื่อสะสมไขมันวิญญาณจำนวนมากจนผิดธรรมชาติ และนำศิษย์ลดน้ำหนักโดยการวิ่ง ยกน้ำหนัก และ       อบร่างกายในเตาหลอม

สามขั้นตอนในการสะสมและเผาผลาญไขมันวิญญาณนี้ จะทำให้ศิษย์ได้ร่างที่ผอมเพรียวกลับคืนมา และยังช่วยพัฒนาขั้นปราณของพวกเขาอีกด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแผนการขั้นแรกของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มจะดำเนินการขั้นที่สอง    ก็ต่อเมื่อขั้นแรกบรรลุเป้าประสงค์ และในขั้นที่สองนี้เขาจะเริ่มคัดศิษย์ออก

นั่นเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะทนความอ้วนที่มาพร้อมการพัฒนาขั้นปราณได้      กลุ่มแรกที่เขาคัดออกคือคนที่ทนการฝึกตนในรูปแบบนี้ไม่ได้นั่นเอง

ในฐานะรองเจ้าสำนัก หวังเป่าเล่อต้องรับผิดชอบกลุ่มศิษย์เหล่านี้ ทุกคนที่ประสงค์จะเลิกต้องได้รับการฟื้นฟูร่างกายที่ผ่านการฝึกโหดให้กลับไปเหมือนเดิม หลังจากที่คัดศิษย์ออกไปเรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็ประกาศอย่างขึงขังให้ศิษย์ที่เหลือทราบว่าคนที่ทนการฝึกร่างกายในลักษณะนี้ไม่ได้ไม่ควรใช้ทักษะดูดกลืนสวรรค์ต่อ หากพวกเขาอยากฝึกต่อจริงๆ ต้องควบคุมตนเองให้ไม่อ้วนให้ได้

มิฉะนั้นจะเป็นการยากมากที่จะฟื้นฟูร่างกายให้กลับไปผอมเพรียวตามเดิม    หากน้ำหนักของพวกเขายังเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ แต่กลับไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้

เวลาผ่านไปจนเหลือเพียงสี่สิบวันก่อนงานประลอง จากห้าร้อยคนในตอนแรก    มีศิษย์ผู้รอดจากการถูกคัดออกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ศิษย์ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งนี้เลือกที่จะสู้ต่อไปแม้จะเข้าใจความเสี่ยง หลังจากที่ได้รูปร่างเดิมกลับคืนมาจากเตาหลอมพวกเขาก็ต้องการฝึกพลังปราณต่อโดยไม่หวั่นใจ ต่างคนต่างตั้งใจขึ้นกว่าเดิมที่จะพิชิตทักษะดูดกลืนสวรรค์ให้ได้ ด้วยเหตุนี้ศิษย์เหล่านี้จึงกลับมาอ้วนอีกครั้งในไม่กี่วันต่อมา

แต่คราวนี้แม้แต่เตาหลอมก็เริ่มไม่ได้ผลแล้ว พัฒนาการการฝึกปราณจึงเริ่มช้าลงอีกครั้ง ทุกคนกลับมาหาหวังเป่าเล่อเพื่อขอทางแก้

หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนเห็นตนเองในอดีตเมื่อมองไปที่ศิษย์เหล่านี้ เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ ก่อนโบกมือไปจิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณไป

“ไม่ต้องกลัวไป ข้าเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าได้สั่งโอสถลดน้ำหนักจากโลกเอาไว้ให้พวกเจ้า น่าจะมาถึงวันพรุ่งนี้” หวังเป่าเล่อมองเหล่าศิษย์ด้วยสายตาให้กำลังใจ วันรุ่งขึ้นโอสถมรณะจำนวนมากจากเซี่ยไห่หยางแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็มาส่ง ท่ามกลางความคาดหวังเอ่อล้นของเด็กๆ

โอสถมรณะถูกแจกจ่ายออกไปถึงมือทุกคนเรียบร้อย ในวันถัดมาเสียงร้อง     โอดโอยโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วสำนักศึกษา ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาต่างตกใจกลัวเมื่อได้ยินเสียงสุดสยองนั้น และอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน     สำนักศึกษากันแน่

โอสถมรณะนี้ได้ผลชะงัด กระนั้นก็ยังมีศิษย์หลายคนที่ทานทนไม่ได้และถูกคัดออก ท้ายที่สุดก็เหลือศิษย์ที่รอดอยู่ไม่ถึงร้อยห้าสิบคน หลังจากที่ใช้โอสถมรณะ ทุกคนล้วนแซงหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกันไปไกลทั้งในแง่ของขั้นปราณและพลังกาย

โดยเฉพาะจินตั้วจื่อและศิษย์อีกราวสามสิบคนเศษ ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็มีรากฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เมื่อได้รับการชี้นำจากแผนการฝึกตนสุดโหดของ         หวังเป่าเล่อ พัฒนาการของศิษย์กลุ่มนี้ก็ยิ่งก้าวกระโดด และเปลี่ยนผ่านจากปราณขั้นผนึกกายาไปเป็นขั้นบำรุงชีพจรในที่สุด

แม้ทุนเดิมของพวกเขาจะทำให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น แต่ผลลัพธ์นี้ก็ต่างทำให้ทั้งสำนักศึกษาและผู้ปกครองตกใจ ในเวลาเดียวกันก็เป็นเครื่องจูงใจศิษย์คนอื่นๆ ให้ตั้งมั่นในหนทางการฝึก แม้หลายคนจะยังไม่ก้าวผ่านขั้นปราณโลหิต แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ไม่ไกลจากจุดสูงสุดของขั้นปราณนั้นแล้ว

ร่างกายของเหล่าศิษย์แข็งแกร่งขึ้นเป็นเงาตามตัวหลังจากเริ่มฝึกปราณมากขึ้น หวังเป่าเล่อเองก็เริ่มรู้สึกถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของพลังอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก อย่างที่แม่นางน้อยว่าไว้ ยิ่งศิษย์ของเขาพัฒนามากเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ยิ่งรู้สึกเช่นกันว่าเมล็ดแห่งการดูดกลืนของเขาพัฒนาไปมาก รวมถึงพลังปราณในกายเขาด้วย

นี่ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจเป็นล้นพ้น แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าเส้นทางการ       ลดน้ำหนักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขากำชับทุกคนอย่างเคร่งครัดว่าจากนี้เป็นต้นไปให้จำกัดการใช้ทักษะดูดกลืนสวรรค์ และเมื่อทุกคนเริ่มรู้สึกว่าผลของโอสถมรณะอ่อนกำลังลง พวกเขาจะต้องเลิกฝึกทักษะดูดกลืนสวรรค์ในทันที

มิฉะนั้นแม้ว่าปราณของพวกเขาจะพัฒนาขึ้น แต่การลดน้ำหนักกลับลงไปก็จะเป็นเรื่องที่ยากมาก

“แม้พวกเจ้าจะไม่ตายและยังคงลดน้ำหนักต่อไปได้ แต่พวกเจ้าก็ต้องสรรหาวิธีการมากมายมาใช้

“ต่อไปข้าจะเปิดไพ่ตายของข้าให้พวกเจ้าได้เห็น ซึ่งก็คือ… กระบวนยุทธ์เป่าเล่อไร้เทียมทาน!

“กระบวนยุทธ์นี้ยากหาสิ่งใดเทียบเทียม ตอนที่ข้าใช้ขั้นแรกของกระบวนยุทธ์     คู่ต่อสู้ได้คุกเข่าลงต่อหน้าข้าและร้องขอความเมตตาพร้อมเรียกข้าว่าบิดา ตอนที่ข้าใช้ขั้นที่สองของกระบวนยุทธ์ คู่ต่อสู้ก็หมดสติและจากโลกนี้ไป สำหรับกระบวนยุทธ์ที่สามนั้น… มันแข็งแกร่งมากเสียจนใช้ตามใจชอบไม่ได้ นั่นเพราะหากข้าใช้      กระบวนยุทธ์นี้ในตอนนี้ มนุษยชาติจะสูญพันธุ์!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!