บทที่ 316 กองวินัยอาณานิคมมาถึงแล้ว
หลังจากที่หวังเป่าเล่อบรรลุขั้นการฝึกตนเรียบร้อยก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาของชายหนุ่มบนดาวอังคารแห่งนี้กำลังจะเปลี่ยนไป ภายในสามวันหลังจากที่เขาบรรลุขั้น เจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาก็ได้รับคำสั่งโยกย้ายจากสหพันธรัฐ
เจ้าสำนักจะเดินทางกลับไปยังโลก เขาจะได้รับการเลื่อนขั้นจากขุนนางระดับสี่ชั้นรองไปเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นสูง นอกจากนั้นแล้วเขาจะถูกส่งกลับไปประจำยัง เมืองบ้านเกิดของตนเอง ไม่เพียงแต่เป็นการเกษียณอายุอย่างสบายเท่านั้นแต่ยังเป็นการตั้งรากฐานอำนาจให้ตัวเขาในเมืองบ้านเกิดอีกด้วย
การจัดการทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างที่กลุ่มไตรจันทรามีต่อคนในปกครอง รวมไปถึงความกว้างขวางของจินตั้วหมิง ชายหนุ่มสามารถจัดการข้อตกลงของตนได้ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์หลังจากตกปากรับคำหวังเป่าเล่อไป คำสั่งแต่งตั้ง หวังเป่าเล่อก็มาถึงดาวอังคารในเวลาไล่เลี่ยกัน
นครอาณานิคมดาวอังคารมีอำนาจในการปฏิเสธคำสั่งโดยตรงจากสหพันธรัฐ เพราะนครนี้มีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่นครอาณานิคมดาวอังคารก็ไม่ใช้อำนาจปฏิเสธพร่ำเพรื่อนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครั้งนี้เป็นคำสั่งการเลื่อนตำแหน่งหวังเป่าเล่อจากขุนนางระดับห้าชั้นสูงเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นรอง
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงได้รับการเลื่อนขั้นอย่างไร้ปัญหา ชายหนุ่มได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา การที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงบารมีและอำนาจทางการเมืองที่กลุ่มไตรจันทรามี และยังแสดงให้เห็นถึง…ความสำเร็จของหวังเป่าเล่อเองอีกด้วย!
การประลองระหว่างสองสำนักศึกษาชั้นนำไม่เพียงเพิ่มพูนชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อ ให้ฐานะผู้ฝึกสอนเท่านั้น แต่ยังขยายวงสังคมของเขาให้กว้างขึ้นอีกด้วย
ชื่อเสียงของหมวดนักรบผู้ฝึกตนเมฆาเหินเป็นดั่งเครื่องรางของชายหนุ่ม เป็นเหตุที่ว่าเหตุใดการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ให้หวังเป่าเล่อจึงดำเนินไปอย่างไร้ซึ่งปัญหา
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ใช่คนอายุน้อยที่สุดที่ได้มารับตำแหน่งขุนนางระดับสี่ชั้นรอง ก็ยังถือว่าเป็นขุนนางอายุน้อยที่พบได้ยากในสหพันธรัฐ ชายหนุ่มได้ก้าวล้ำเพื่อน ร่วมชั้นเกือบทั้งหมดของเขาไปแล้ว การเลื่อนขั้นครั้งล่าสุดของเขายังเป็นการก้าวขึ้นจากเจ้าพนักงานระดับล่างของฝ่ายบริหารสหพันธรัฐมาอยู่ในระดับกลาง!
มันอาจดูไม่มากมายนัก แต่สำหรับคนส่วนมากแล้ว การจะก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ได้อาจใช้เวลาร่วมทศวรรษ สองทศวรรษ หรือทั้งชีวิตก็เป็นได้
หวังเป่าเล่อเองก็รู้ดีว่าการเลื่อนตำแหน่งนี้มีความหมายเช่นใด เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงสุดจะลิงโลดใจเมื่อได้รับคำสั่ง ชายหนุ่มรับข้อความแสดงความยินดีจากบรรดาศิษย์และอาจารย์ในสำนักศึกษาอย่างชื่นมื่น และหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ลืมที่จะให้รางวัลแก่ผู้ที่สมควรได้รับด้วย ชายหนุ่มส่งคำขอไปยังฝ่ายบริหารดาวอังคารเพื่อขอแต่งตั้งหลินเทียนหาวเป็นรองเจ้าสำนักทันที
หวังเป่าเล่อได้แจ้งเรื่องนี้แก่หลินเทียนหาวไว้ก่อนที่จะส่งคำขอไป แน่นอนว่าหลินเทียนหาวก็ทั้งตื่นเต้นและดีใจ เขาอยู่บนดาวอังคารมาไม่ถึงหกเดือนดีแต่ก็ได้รับการเลื่อนขั้นทั้งในหน้าที่การงานและสถานะจึงลิงโลดใจกว่าที่เคย แต่ด้วยความกลัวว่าจะมีคนมาขัดขวาง หลินเทียนหาวจึงรีบติดต่อหาบิดาในทันที
ฝ่ายหลินโยวเองก็ติดตามสถานการณ์บนดาวอังคารอยู่เสมอ ทันทีที่ได้รับข่าวจากหลิวเทียนหาว นัยน์ตาของชายชราก็ลุกวาว เขาตระเตรียมการเพื่อให้คำสั่งแต่งตั้งบุตรชายดำเนินไปได้โดยสะดวก หลินเทียนหาวนั้นไต่เต้าตำแหน่งจากขุนนาง ระดับห้าชั้นรองมาเป็นขุนนางระดับห้าชั้นสูง อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งรองเจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาอีกด้วย
หลินเทียนหาวรู้สึกสำนึกในบุญคุณของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่งที่อุตส่าห์ช่วยให้เขาไต่เต้าขึ้นมาได้ ชายหนุ่มสำนึกได้ว่าการกระทำของตนในช่วงเวลาที่อยู่ใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นผิดพลาดและอ่อนหัดเพียงใด และตระหนักอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่บิดาพูดนั้นถูกต้อง ก่อนหน้านี้หลินเทียนหาวได้รับรู้ถึงความสามารถของ หวังเป่าเล่อ มาบัดนี้ชายหนุ่มไม่มีสิ่งใดไม่ถูกใจเกี่ยวกับเจ้าสำนักของเขาอีกแล้ว
“นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เทียนหาว ขอให้เจ้าติดตามข้าต่อไป เจ้าจะได้เห็นข้าเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นสูงภายในครึ่งปีนี้ จากนั้นข้าจะเอาได้ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ชั้นรองมาให้เจ้าเช่นกัน” หวังเป่าเล่อหัวเราะชอบใจ ตบบ่าหลินเทียนหาวก่อนจะมองตาอีกฝ่ายอย่างพึงใจ หลินเทียนหาวเพิ่งจะรินชาให้หวังเป่าเล่อถ้วยหนึ่งเสร็จก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาครึ่งก้น
หวังเป่าเล่อพูดคุยกับหลินเทียนหาวอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะสั่งให้ชายหนุ่มช่วยรับผิดชอบด้านการศึกษาของสำนักศึกษา นี่ถือเป็นการทิ้งงานเกือบทั้งหมดของเขาให้หลินเทียนหาวทำ ขณะที่ตัวหวังเป่าเล่อเองเอาเวลาทั้งหมดที่เขามีไปใช้เพื่อทำการศึกษาการฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลาง ชายหนุ่มยังแบ่งเวลาและพลังงานเอาไว้เพื่อศึกษาปราการและการหลอมหุ่นเชิดอีกด้วย
เวลาผ่านไปสองเดือนแล้วนับตั้งแต่หวังเป่าเล่อและหลินเทียนหาวได้รับตำแหน่งใหม่ ฤดูหนาวมาเยือนดาวอังคาร หิมะปรากฏขึ้นพร้อมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลง พื้นที่ นอกนครก็รกร้างและไร้ซึ่งพืชผล บรรดานักการยุทธ์และนักล่าที่ถูกส่งออกไป นอกนครก็ค่อยๆ ทยอยเดินทางกลับมาเป็นกลุ่มๆ อุณหภูมิภายในตัวนครก็ลดลงเช่นกัน แม้อากาศจะยังถ่ายเทได้ดี แต่ก็สามารถมองเห็นควันสีขาวออกมาเป็นไอ เมื่อหายใจออก
ไม่มีสิ่งสำคัญใดๆ เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนนี้
ในส่วนของสำนักศึกษา หลินเทียนหาวแสดงความสามารถของเขาในแง่ การบริหารและการควบคุมดูแล อย่างไรเสียชายหนุ่มก็ได้เฝ้าดูบิดาของเขาทำงานตั้งแต่เด็กจนโต หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งรองเจ้าสำนักและได้รับการสนับสนุนจากหวังเป่าเล่ออย่างเต็มที่ หลินเทียนหาวก็พร้อมจะทำงานตามที่หวังเป่าเล่อสั่งอย่างไม่เกรงใจใคร
ทั้งสำนักศึกษาต่างเริ่มศึกษาทักษะดูดกลืนสวรรค์ของเป่าเล่อเป็นวิชาหลัก ทั้งยังลงแรงไปอย่างมากในการเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้ของบรรดาศิษย์ จำนวนของ หมวดนักรบผู้ฝึกตนเมฆาเหินก็เพิ่มขึ้น ชื่อเสียงของหมวดก็มั่นคงเพราะได้ออกพบ ฝูงชนอยู่บ่อยครั้ง ความเสี่ยงในการถูกลืมหลังจากการประลองนัดกระชับมิตรบัดนี้หายไปหมดสิ้นแล้ว
ขณะที่หลินเทียนหาวง่วนอยู่กับกิจการงานสำนักศึกษา หวังเป่าเล่อก็วุ่นวายอยู่เช่นกัน งานสร้างพิมพ์เขียวของปราการและการศึกษาการหลอมหุ่นเชิดก่อสร้างของเขารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อความคิดของเขาชัดเจนขึ้น ชายหนุ่มก็เริ่มสร้างหุ่นเชิดก่อสร้างชุดแรก และขณะนี้เขากำลังจะทดสอบพวกมัน
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่ายังอีกไกลกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ ทั้งพิมพ์เขียวและ หุ่นเชิดก่อสร้างเหล่านี้ยังมีปัญหาอยู่มากมาย ชายหนุ่มยังต้องทำอีกหลายสิ่งกว่าที่ ทั้งสองโครงการจะอยู่ในขั้นที่ใช้การได้ หวังเป่าเล่อต้องพัฒนาทั้งคู่ต่อไปจนกว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะสมบูรณ์และพร้อมผลิตเป็นจำนวนมาก
หวังเป่าเล่อไม่ได้กังวลใจเรื่องเวลาเท่าใดนัก ชายหนุ่มยังคงทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป รายงานจากหลินเทียนหาวและอาจารย์ท่านอื่นๆ ทำให้เขารับรู้เหตุการณ์ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษา
หวังเป่าเล่อทั้งฟื้นฟูและนำเอาเกียรติยศมาสู่สำนักศึกษา ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ที่ผ่านมา บรรดาศิษย์ที่ได้รู้ถึงชื่อเสียงของสำนักศึกษาก็ต่างส่งคำร้องขอย้ายมาเรียนกันขวักไขว่ จำนวนศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาพุ่งสูงขึ้นทันที และการดำรงอยู่ของหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปโดยปริยาย ชายหนุ่มได้กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจและจิตวิญญาณของสำนักศึกษาไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้จำนวนศิษย์จะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนอาจารย์กลับเท่าเดิม ทำให้ไม่เพียงพอต่อการให้ความรู้ศิษย์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวันอีกต่อไป สำนักศึกษาจึงเริ่มประกาศรับอาจารย์เพิ่มจำนวนมาก ในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อนั้นมีหัวหน้าฝ่ายอยู่ถึงสามคน นอกจากหญิงสาวสมรสแล้วผู้มีนัยน์ตาขี้อาย ตอนนี้ก็ยังมีพนักงานสำนักศึกษาหน้าตาสะสวยอีกสองคน
หวังเป่าเล่อมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดว่าพนักงานสำนักศึกษาคนใหม่ทั้งสองต่างก็มองเขาด้วยสายตาประหนึ่งตะขอที่ราวกับว่าจะเกี่ยวเอาตัวเขาเข้าไปกระนั้น
ณ ปัจจุบัน ในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ พนักงานสำนักศึกษาสองคนนั้นยกชามาให้หวังเป่าเล่อพลางส่งยิ้มมา ชายหนุ่มถึงกับกระแอมกระไอ ก่อนที่เขาจะขอให้ทั้งสองนั่งลงและถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องการงาน หลินเทียนหาวก็เข้ามาเสียก่อน
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ สถานการณ์ปัจจุบันของเราไม่สู้ดีนัก พวกเรามีอาจารย์ ไม่เพียงพอ…พวกเราต้องการอาจารย์เพิ่มขอรับ!”
“ข้ากำลังคิดว่าจะจัดการประลองนัดกระชับมิตรระหว่างหมวดนักรบผู้ฝึกตนเมฆาเหินกับสำนักมหาปราชญ์ชั้นรองของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า นี่น่าจะเป็นวิธีเดียวที่จะประคองชื่อเสียงและความนิยมของหมวดนักรบผู้ฝึกตนเอาไว้ได้…” หลินเทียนหาวเริ่มรายงานสภาวะงานปัจจุบันทันทีที่มาถึง หวังเป่าเล่อนั้นถูกใจความกระตือรือร้นและจริงจังกับงานของหลินเทียนหาวเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มอนุมัติการประลอง นัดกระชับมิตรและเริ่มคิดเรื่องวิธีการหาอาจารย์เพิ่ม
พวกเขามีศิษย์มากเกินไปและอาจารย์น้อยเกินไป ส่วนอาจารย์ที่รับมาใหม่นั้น ก็ต้องผ่านการสอบประวัติเพื่อตรวจสอบ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นสำนักศึกษาชั้นนำ จะยอมให้เกิดอุปัทวเหตุเกี่ยวกับความปลอดภัยก็คงจะไม่ดีนัก
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่นั้นเอง เสียงกริ่งก็ดังแหลมแทรกมาจากด้านนอก เสียงนั้นดังจนหูแทบดับ ภายนอกหน้าต่างพวกเขามองเห็นเรือบินสีดำนับสิบลำอยู่บนท้องฟ้าไกลลิบ ซึ่งมุ่งหน้ามายังสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา
การปรากฏขึ้นของเรือบินเหล่านั้นทำให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับศิลาวิญญาณทั้งหมดในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเกิดขัดข้องในทันที อุปกรณ์เหล่านั้น หยุดทำงานเมื่อมีพลังงานปะทุออกมาจากเรือบินเหล่านั้น กำเนิดเป็นโล่โปร่งแสงที่ ปกคลุมตำหนักที่พักอาจารย์ในสำนักศึกษาเอาไว้!
“กองวินัยอาณานิคม!” หลินเทียนหาวมีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาผุดลุก ขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ หวังเป่าเล่อเองก็ขมวดคิ้วและลุกขึ้นยืนเช่นกัน ชายหนุ่มพุ่งตัวไปยังหน้าต่างเพื่อมองออกไปที่กองเรือบินนับสิบซึ่งเร่งความเร็วมาทางพวกเขาและ แผ่พลังงานมาปกคลุมตำหนักที่พักอาจารย์เอาไว้ มีคนในชุดดำนับสิบออกมาจาก เรือบินและมุ่งหน้าไปยังตำหนักอย่างรวดเร็ว
หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีเดินตามหลังคนในชุดดำมาติดๆ สตรีนั้นเป็นผู้ที่มียศสูงกว่า พลังการฝึกตนของนางอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นขั้นสูงสุด นางเปล่งรัศมีที่ให้ความรู้สึกคล้ายภูเขาไฟใกล้ปะทุเมื่อยืนอยู่ในที่แจ้ง ตัวตนของนางช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน นางสวมใส่ชุดเครื่องแบบ แต่เพราะทรวดทรงอันเย้ายวนของนางเป็นเหตุให้เครื่องแบบนั้นดูเล็กเกินไป
นางมีร่างกายที่งดงาม ผมสีแดงยาวสยายและดวงตาสีฟ้าซีด องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้นางทั้งดูเตะตาและเป็นผู้ใหญ่ในคราวเดียวกัน
ดูไปนางก็คล้ายลูกท้อสุกปลั่งที่กระตุ้นเร้าหัวใจชายให้เต้นแรง ทรวดทรงอัน เย้ายวนเข้าคู่กับนัยน์ตาอันเย็นเยียบที่ไร้อารมณ์เป็นอย่างดี แม้กระทั่งแววตาของนางก็ยังคงเย็นชาราวภูเขาน้ำแข็งกระนั้น
การผสมผสานระวังเปลวไฟและน้ำแข็งส่งผลให้สตรีนางนี้งดงามอย่างน่ากลัว
หวังเป่าเล่อได้เห็นสตรีงามมามาก แต่กระนั้นเขาก็ยังต้องชะงักกับความงามของนาง
เบื้องหลังของนางคือผู้ที่เป็นลูกน้อง หวังเป่าเล่อรู้จักคนๆ นั้น ใบหน้าของเขา ช่างดูคุ้นเคย ชายคนนั้นก็คือ…จั่วอี้เซียน!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในสิบสองลมหายใจ ขณะที่สายตาของหวังเป่าเล่อจับจ้องอยู่ที่จั่วอี้เซียนนั้นเอง เหล่าชายในชุดเครื่องแบบสีดำที่เข้าไปในตำหนักที่พักอาจารย์เมื่อครู่ก็ลากเอาอาจารย์วัยกลางคนผู้หนึ่งออกมา พวกเขาลากเอาอาจารย์ คนนั้นไปอยู่ต่อหน้าจั่วอี้เซียน อีกฝ่ายรู้สึกถึงสายตาของหวังเป่าเล่อที่จ้องมอง จึงได้เงยศีรษะขึ้นและมองตอบอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหันกลับไปมองอาจารย์วัยกลางคน ผู้ซึ่งสีหน้าซีดเพราะถูกจับก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“ลากตัวไป!”
หวังเป่าเล่อทำได้เพียงมองเมื่อคนเหล่านั้นเมินเขาโดยสิ้นเชิงก่อนจะจับตัวผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้าของชายหนุ่มหมองหม่นลง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงกองวินัยอาณานิคม แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ข้ามหน้าข้ามตาหวังเป่าเล่อไปอย่างสิ้นเชิง
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขายิ้มมุมปากก่อนจะผลักหน้าต่างเปิดออกและพุ่งตัวออกไปในทันที หลินเทียนหาวอ้าปากจะพูดบางสิ่งออกมาแต่ก็สายเกินไปแล้ว เขาจึงรีบตามไป แต่ตอนนั้นเองเสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังก้องสะท้อนไปทั่วเขตสำนักศึกษา
“ไม่มีใครมีชีวิตเหลืออยู่ในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาของข้าแล้วหรืออย่างไร บรรดาอาจารย์ บรรดาศิษย์ของข้าเอ๋ย ข้าอยากให้พวกเจ้าแสดงพลังการฝึกตนให้ข้าดูสักหน่อย แสดงให้คนอื่นรู้ว่าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ใครก็บุกรุกเข้ามาได้!”