Skip to content

A World Worth Protecting 332

บทที่ 332 ลาดำปะทะลาขาว

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้ขึ้นเรือบินของกองทัพ หากเป็นคนอื่นๆ คงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง แต่ในฐานะนักหลอมอาวุธเวทแล้ว หวังเป่าเล่อมองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเรือบินของกองทัพแตกต่างจากเรือบินทั่วไปอย่างไร

ข้าไม่เคยเห็นวัสดุนี้มาก่อน…น่าจะทนความร้อนได้สูง อักขระที่ใช้ก็ดูแตกต่างไปจากปกติ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตรวจสอบเรือบินอยู่ เหล่าผู้ฝึกตนของกองทัพประจำดาวอังคารเองก็คอยสังเกตหวังเป่าเล่ออยู่เช่นกัน

ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในสหพันธรัฐและบนดาวอังคาร ภายในกองทัพเองชายหนุ่มก็มีชื่อเสียงโด่งดังไม่ต่างกันเนื่องจากเป็นผู้สร้างปืนใหญ่เป่าเล่อ

ขณะที่เหล่าผู้ฝึกตนของกองทัพกำลังสังเกตหวังเป่าเล่ออยู่ก็เหลือบไปเห็นเจ้าลาที่อยู่ข้างๆ พวกเขาต่างมีท่าทีแปลกใจ หันมองกันและกันราวกับอยากจะพูดอะไร    สักอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสายตาแปลกๆ จากเหล่าผู้ฝึกตนก็สงสัยขึ้นมาว่า หรือพวกเขาจะเคยได้ยินชื่อเสียเรื่องความตะกละตะกลามของเจ้าลาและกลัวว่ามันจะกินเรือบินเข้าไป

แต่ทำไมข้ารู้สึกเหมือนว่าพวกนั้นกำลังเปรียบเทียบเจ้าลากับอะไรสักอย่าง…   หวังเป่าเล่อกะพริบตา กำลังจะอ้าปากถามก็หันไปเห็นเจ้าลาแอบเลียผนังเหล็กกล้าของเรือบินอยู่ มันดมดอมราวกับสุนัขเหมือนกำลังประเมินว่าสิ่งตรงหน้ามีรสชาติอย่างไร

“เจ้าลาไร้ประโยชน์!” หวังเป่าเล่อก้าวไปเตะโดยไม่ให้มันได้ตั้งตัว

เจ้าลาหมอบลงกับพื้นอย่างว่าง่ายทันที มันดูซึมไป แต่ก็แอบเลียผนังทันทีที่    หวังเป่าเล่อหันไปทางอื่น มันนั่งหมอบหูตกอยู่อย่างนั้น แต่ไม่นานก็แอบเลียอีก…

หวังเป่าเล่อที่กำลังพูดคุยกับคนของทางกองทัพหันมาเห็นก็ปวดกบาลขึ้นมา เขากระแอมกระไอ เจ้าลารีบหันกลับมามองชายหนุ่มด้วยดวงตาใสซื่อราวกับจะบอกว่ามันไม่ได้กินอะไร แค่เลียชิมนิดเดียวเฉยๆ

หวังเป่าเล่อปวดหัวตุบๆ เขาอ่านสีหน้าของเจ้าลาแล้วก็คิดว่ามันก็มีเหตุผล     ชายหนุ่มจ้องมันอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร พอเรือบินลงจอดที่ฐานทัพดาวอังคาร ผนังเรือบินก็ถูกเลียไปทั่วจนชุ่มไปด้วยน้ำลายของเจ้าลา หวังเป่าเล่อและเจ้าลาลงจากเรือบินท่ามกลางสายตาแปลกๆ จากคนของกองทัพที่อยู่รอบๆ

ฐานที่มั่นของกองทัพประจำดาวอังคารตั้งอยู่ที่เขตสามสิบหก พื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตนี้เป็นของกองทัพและเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ผู้คนภายนอกเข้า มีคนของกองทัพมากมายกำลังเดินตรวจตราอยู่รอบๆ นอกจากนั้นยังมีผู้ฝึกตนประจำกองทัพจำนวนมากประจำการอยู่ในฐานแห่งนี้

กองทัพเตรียมการต้อนรับหวังเป่าเล่อไว้อย่างเพียบพร้อม มีคนของทางกองทัพสิบกว่าคนนำโดยผู้อาวุโสคนหนึ่งมารอรับอยู่ที่ท่าอากาศยาน

ผู้อาวุโสคนนั้นสวมเครื่องแบบประจำกองทัพ ดวงตาของเขาดูราวกับมีสายฟ้าสถิตอยู่ ความเกรงขามและพลังขั้นกำเนิดแก่นในพวยพุ่งออกมาจากร่าง ส่งผลให้เขาดูมากล้นไปด้วยพลังที่เหนือชั้นกว่าผู้อื่น

แน่นอนว่ายศของเขาก็สูงส่งดังเช่นพลัง ชายอาวุโสเป็นหนึ่งในห้าผู้ทรงอำนาจสูงสุดประจำกองทัพดาวอังคาร นามของเขาคือเฉินเฟิ่ง เขารับผิดชอบดูแลการวิจัยยุทโธปกรณ์ของกองทัพรวมถึงการผสานปราณวิญญาณและการระเบิดเพื่อใช้ใน    การรบ

หวังเป่าเล่อเห็นคณะต้อนรับทันทีที่ลงจากเรือบิน ผู้ฝึกตนคนหนึ่งนำทางเขาลงจากเรือบินพร้อมทั้งกระซิบบอกชื่อและตำแหน่งของผู้ที่มารอต้อนรับให้ทราบ       ชายหนุ่มมีท่าทีขึงขังขึ้นมาทันใด รีบเร่งเท้าเข้าไปก้มหัวให้ผู้อาวุโสตรงหน้า

“สวัสดีท่านแม่ทัพเฉิน ข้าคือ หวังเป่าเล่อ!”

เฉินเฟิ่งหัวเราะขึ้นเสียงดังขณะมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาชื่นชมยกย่อง         เขาได้ตรวจสอบชิ้นส่วนของปืนใหญ่เป่าเล่อที่ส่งมาถึงก่อนแล้วและพบว่าปืนใหญ่นี้ไม่ใช่ของพื้นๆ ทั่วไป จึงเริ่มรู้สึกสนใจในตัวหวังเป่าเล่อขึ้นมาแม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อน จริงๆ แล้วชายอาวุโสไม่จำเป็นต้องมาปรากฏตัวในวันนี้ด้วยซ้ำ ที่เขามาเพียงเพราะว่าต้องการพบผู้สร้างปืนใหญ่เป่าเล่อ

“ช่างเป็นเด็กหนุ่มผู้มากความสามารถ!” เฉินเฟิ่งตบบ่าหวังเป่าเล่อ เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ คนอื่นๆ ที่มารอต้อนรับต่างเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร

พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะออกจากท่าอากาศยาน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ประกอบปืนใหญ่เป่าเล่อ หวังเป่าเล่อเดินเคียงข้างเฉินเฟิ่ง คอยตอบคำถามต่างๆ เกี่ยวกับปืนใหญ่ ชายหนุ่มระมัดระวังการวางตัวของตนเองเป็นพิเศษ คอยตรวจดูให้มั่นใจว่าตนเดินช้ากว่าอีกฝ่ายอยู่ครึ่งก้าวตลอด พร้อมกับคอยตอบคำถามด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อม

“ท่านแม่ทัพเฉิน จุดสำคัญในการประกอบปืนใหญ่เป่าเล่ออยู่ที่การเชื่อมอักขระภายใน…โดยเฉพาะอักขระในกลุ่มที่เจ็ดและแปด เนื่องจากอักขระทั้งสองกลุ่มนั้นเป็นตัวควบคุมการดูดซึมพลังปราณ” หวังเป่าเล่อวาดยิ้มบนใบหน้า เขาเดินไปตามทาง คอยตอบคำถามของเฉินเฟิ่งและอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างภายในของปืนใหญ่เป่าเล่อ

เหล่าเจ้าพนักงานกองทัพที่เดินตามหลังมาละสายตาจากเจ้าลา หันไปมอง     สองคนตรงหน้า พวกเขาต่างถอนหายใจ อดชื่นชมทักษะด้านสังคมของหวังเป่าเล่อไม่ได้ ชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีอวดดี แต่ก็ไม่ได้ถ่อมตัวจนเกินงาม เขาแสดงออกอย่างพอดีระหว่างความถ่อมตนและความทะนงในศักดิ์ศรี ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อทางกองทัพด้วย

เจ้าเด็กนี่น่าสนใจดี เฉินเฟิ่งยิ้มขณะมองหวังเป่าเล่อ รู้สึกพึงพอใจกับบุคคลในสายตายิ่งนัก พวกเขาเดินผ่านอาคารหลายหลัง ไม่นานก็มาถึงจุดที่ใช้ประกอบ       ปืนใหญ่เป่าเล่อ

ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทาง มีทหารมากมายหยุดทำความเคารพพร้อมกับแอบเหลือบมองเจ้าลาน้อยของหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อรู้สึกฉงนแต่ก็แอบภูมิใจเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นสายตาเหล่านั้น เจ้าลาดูจะภูมิใจในตนเองเช่นกันจึงเดินเชิดหน้าสูงตามหลังไปอย่างสุขใจ

ไม่นานจุดหมายปลายทางก็ปรากฏให้เห็นในสายตา ตอนนั้นเองมีคนหนุ่มประจำกองทัพเจ็ดถึงแปดคนเดินพูดคุยกันออกมาจากตำหนักแถวนั้น ที่ใจกลางกลุ่มคือ    ชายหนุ่มผมสีดำ ตัวสูง หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

ชายผู้นั้นสวมเครื่องแบบกองทัพสีม่วงส่งให้เขาดูดียิ่งขึ้นไปอีก ดวงตาดูลุ่มลึกยากเกินจะหยั่งถึง รอบกายมีพลังระดับสูงกว่าคนในวัยเดียวกันเอ่อล้นออกมา หากตั้งใจสังเกตดูดีๆ อาจสัมผัสได้ถึงความดิบเถื่อนที่ถูกเก็บซ่อนไว้ แค่เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็เรียกความสนใจให้ผู้คนรอบข้างต้องจับจ้องมา

ชายหนุ่มผู้นั้นคือ…กงเต๋าผู้มีถิ่นกำเนิดจากท้องทะเลแห่งอสูร และเป็นบุตรบุญธรรมของต้วนมู่ฉี ผู้นำสหพันธรัฐคนปัจจุบัน!

นอกจากคนของกองทัพที่รายล้อม ที่ข้างกายของกงเต๋ายังมี…ลาอยู่หนึ่งตัว!

ลาตัวนั้นมีสีขาว ดูแกร่งกล้าและบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก อีกทั้งยังแผ่พลังระดับ     ลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สี่ออกมา ทั้งรูปลักษณ์และพลังของมันนั้นช่างพิเศษเหนือชั้น

กงเต๋าและพวกสังเกตเห็นเฉินเฟิ่ง หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ในทันที จึงมีท่าที      ขึงขังขึ้นพร้อมกับกล่าวทักทายอย่างเคารพ กงเต๋าหันไปมองหวังเป่าเล่อก่อนจะ  ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่กล่าวทักทายเฉินเฟิ่งเท่านั้น

“นี่กงเต๋า เป่าเล่อ เจ้าและกงเต๋าเป็นพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐ น่าจะรู้จักกันมาก่อน” เฉินเฟิ่งไม่ได้สนใจการทักทายจากคนอื่นๆ สักเท่าไหร่ แต่กลับผุดยิ้มขึ้นทันทีที่เห็น   กงเต๋าก่อนจะพยักหน้าให้ เขาเหลือบไปมองลาสีขาวของกงเต๋าและหันกลับมามอง  ลาสีดำของหวังเป่าเล่อ…

ไม่ใช่แค่เฉินเฟิ่ง คนอื่นๆ รวมถึงกงเต๋าก็อดเหลือบมองลาของหวังเป่าเล่อและลาของกงเต๋าไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้พบกงเต๋าพร้อมลาของเขา ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ตาเบิกโพลง

ไข่อสูรของเขาก็ฟักแล้วเหมือนกันหรือ หวังเป่าเล่อมองให้ละเอียดอีกครั้งก็มั่นใจว่าเป็นสายพันธุ์เดียวกัน ความหงุดหงิดและขุ่นเคืองผุดขึ้นในใจ

ไม่ว่าจะเป็นใคร เพียงแค่มองแวบเดียวก็สังเกตเห็นพลังที่แตกต่างระหว่างลาสีดำของเขากับลาสีขาวของกงเต๋าได้ นอกจากลาของตนจะโง่เง่าและอัปลักษณ์แล้ว      ระดับการฝึกตนก็ยังเป็นรองลาของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความไม่พอใจ ผุดคิดขึ้นว่านี่เป็นเพราะตนโชคไม่ดีหรืออาจารย์ผู้อาวุโสที่ให้ไข่นั้นเลือกปฏิบัติกันแน่

ข้าสงสัยมาสักพักแล้วว่าทำไมทุกคนถึงมองเจ้าลามาตลอดทาง พวกเขาเปรียบเทียบลาสองตัวนี้อยู่ในใจนี่เอง…หวังเป่าเล่อทุกข์ใจขึ้นมาเล็กน้อย เจ้าลาดำตะลึงงันไปเมื่อเห็นลาสีขาว ตาของมันเบิกกว้างเป็นประกาย รีบพุ่งออกไปหาลาสีขาวตรงหน้าพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างสุขใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!