บทที่ 365 วงแหวนปราณค้ำจุน
โครงการสำรวจพื้นที่เป็นอันต้องพับลง ภารกิจการยึดครองพื้นที่ดาวอังคารจึงถูกเลื่อนไปก่อน เดิมทีรัฐบาลอยากรอจนกว่าสหพันธรัฐจะพร้อมกว่านี้ และให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่านี้จึงจะรื้อภารกิจขึ้นมากอีกครั้ง
แต่จากการประมาณแล้ว คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสามสิบปี กว่าสหพันธรัฐ จะมีเครื่องไม้เครื่องมือครบ
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้สหพันธรัฐต้องปิดตายสุสานด้วยผนึกดังทีเห็นก่อนหน้านี้ เพื่อป้องกันอสูรร้ายที่ดูดซับรังสีจากอาวุธเทพจนกลายพันธุ์ออกมาเพ่นพ่านก่อความวุ่นวายภายนอกสุสาน และผนึกนี้ก็ทำให้ความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง
หากไม่ใช่เพราะหมอกและพายุสีโลหิตที่จู่ๆ ก็พัดผ่านครึ่งหนึ่งของดาวอังคาร สถานการณ์ก็คงยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ และแผนการกู้อาวุธเทพก็จะถูกเลื่อนไปเรื่อยๆ แต่เมื่อมีปรากฏการณ์หมอกสีโลหิต หมู่บ้านประหลาด และศพยักษ์ในถ้ำโลหิตเกิดขึ้น รัฐบาลดาวอังคารก็เริ่มสืบสวนเผื่อหาต้นตอ และหลักฐานทั้งหมดก็ชี้ไปที่สุสาน อาวุธเทพใต้ดิน
ข้อมูลที่รวบรวมมาได้ช่วยพิสูจน์ว่าผนึกนั้นสะกดรังสีอันตรายจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินเอาไว้ได้ แต่ผลที่ตามมาก็คือแรงดันที่มากขึ้นในสุสาน จนทำให้เกิดหมอกและพายุสีโลหิตขึ้น
แต่ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ถึงหมู่บ้านลึกลับที่ปรากฏในเวลาใกล้เคียงกัน ผู้ทรงอำนาจในสหพันธรัฐล้วนไม่รู้ว่ามันปรากฏขึ้นได้อย่างใด แต่ก็เดากันว่าน่าจะเป็นเพราะ อาวุธเทพเช่นกัน
พวกเขาเชื่อว่าหากยังสะกดสุสานใต้ดินนี้ต่อไป ผลจากอาวุธเทพจะทำให้เกิดโพรงและถ้ำใต้พื้นดินดาวอังคารมากขึ้น… ทุกคนต่างอนุมานว่าปรากฏการณ์เช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นซ้ำในอีกราวสิบปีต่อจากนี้…
หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ภารกิจสำรวจและยึดครองดาวอังคารก็จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และอาณานิคมที่มีอยู่แล้วอาจต้องเผชิญกับอันตรายที่เกินจะเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่พิจารณาถึงทางเลือกต่างๆ อย่างรอบคอบแล้ว รัฐบาลดาวอังคารจึงตัดสินใจดำเนินการตามแผนการดุดัน ว่าจะสร้างวงแหวนปราณขนาดใหญ่บนสุสานอาวุธเทพใต้ดิน
วงแหวนปราณนี้จะทำหน้าที่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือปล่อยอสูรออกจากสุสานใต้ดินเป็นครั้งคราวเพื่อกำจัดทิ้ง ซึ่งจะช่วยระบายแรงดันภายในสุสาน และเพิ่มวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวได้จากอสูรเหล่านี้ไว้ให้ดาวอังคารได้ใช้สอย ชิ้นส่วนจากอสูรร้ายเหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาเพิ่มเติม และยังช่วยให้พวกเขาสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงภายในสุสานได้จากการตรวจสอบชิ้นส่วนเหล่านี้ด้วย
หน้าที่อย่างที่สองนี้… คือหัวใจสำคัญ
การสร้างวงแหวนปราณทับสุสานใต้ดิน… ก็เปรียบเสมือนการหยดน้ำลงบนหินจนหินกร่อน รัฐบาลตั้งใจจะให้พลังจากวงแหวนปราณค่อยๆ ทลายกำแพงอาวุธเทพ เจ้านครดาวอังคารประเมินไว้ว่า วิธีการนี้จะใช้เวลาเพียงสิบปีในการทำลายความแข็งแกร่งของกำแพงโดยไม่ต้องใช้อาวุธเทพทะลวง และใช้การรวมพลังกันของ ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในของสหพันธรัฐก็จะทลายกำแพงได้
เจ้านครดาวอังคารได้ส่งรายละเอียดภารกิจนี้ไปให้สหพันธรัฐ ที่ตรวจสอบและยืนยันความเป็นไปได้ของแผนการ ก่อนออกคำสั่งอนุญาตให้เจ้านครดำเนินการสร้างวงแหวนปราณบนสุสานอาวุธเทพใต้ดินได้!
นามของวงแหวนปราณนี้ก็คือ… วงแหวนปราณค้ำจุน!
วงแหวนปราณนี้ทรงพลังมาก หลังจากการปรากฏของกระบี่สำริดเขียวโบราณ สหพันธรัฐก็สำรวจพบบันทึกวิชาค้ำจุนปราณบนชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของกระบี่ วงแหวนปราณนี้ก็บันทึกอยู่บนชิ้นส่วนนั้นด้วย โดยถือเป็นวิชาเสริมของวิชา ค้ำจุนปราณนั้น!
วงแหวนปราณนี้มีอำนาจพิเศษ ยิ่งมีคนฝึกวิชาค้ำจุนปราณภายในอาณาเขตของวงแหวนนี้มากเท่าไหร่ วงแหวนปราณนี้จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ทุกกลุ่มอำนาจต่างเห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีเสียงคัดค้านในการสนับสนุนการฝึกปรือวิชาค้ำจุนปราณ เหตุผลที่แจ้งให้สาธารณชนทราบ ก็คือเพื่อผลิตศิลาวิญญาณให้สหพันธรัฐ เอาไว้ใช้เป็นตราสารแลกเปลี่ยนและใช้หลอมสิ่งต่างๆ แต่เหตุผลเบื้องหลังที่ถูกปิดไว้เป็นความลับคือ เพื่อรักษาวงแหวนปราณค้ำจุนนี้ให้คงอยู่ต่อไป!
ทุกภาคส่วนใช้วงแหวนปราณค้ำจุนนี้ในการป้องกันอาณาเขตของตน หลังจากที่เมืองใหม่สร้างเสร็จสมบูรณ์ สหพันธรัฐจะส่งผู้เชี่ยวชาญไปสร้างวงแหวนปราณ ปกคลุมทั่วเมือง
ไม่ว่าจะเป็นบนดาวอังคาร ดวงจันทร์ หรือนครหลวงแห่งสหพันธรัฐ วงแหวนปราณหลักที่ใช้ล้วนเป็นวงแหวนปราณค้ำจุนทั้งสิ้น!
สหพันธรัฐได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวงแหวนปราณนี้เล็กน้อยหลังจากศึกษาเรียบร้อย วงแหวนปราณทุกวงจะถูกลงรหัสเพื่อความปลอดภัยเอาไว้ แม้วงแหวนปราณใหม่นี้จะใช้พลังเดียวกันกับวงแหวนปราณค้ำจุนเพื่อดำรงสภาพ แต่ตราบใดที่แกนหลักของวงแหวนปราณไม่ได้ถูกเจาะ หรือควบคุมจากอำนาจภายนอก วงแหวนปราณที่ปรับปรุงแล้วเหล่านี้ ถือว่าเป็นอิสระจากวงแหวนปราณค้ำจุน
ลักษณะพิเศษของวงแหวนปราณก็คือ พลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนคนซึ่งอยู่ภายในวงแหวนปราณฝึกวิชาค้ำจุนปราณ การศึกษาต่อจากนั้นชี้ว่าผู้ที่อาศัยอยู่ใน วงแหวนนั้นจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ
จากการที่สาธารชนฝึกวิชาค้ำจุนปราณ ผลข้างเคียงเดียวคือผู้ที่ฝึกวิชาค้ำจุนปราณภายในวงแหวนนี้ จะต้องใช้พลังงานมากกว่าเดิมในการหลอมศิลาวิญญาณ
นี่คือเหตุผลที่ทำให้จำนวนประชากรเป็นประเด็นหลักที่สหพันธรัฐให้ความสนใจ
เป็นเหตุผลที่คนจำนวนมากย้ายไปตั้งรกรากที่ดาวอังคารหลังจากที่สร้างนครใหม่เสร็จแล้ว และเพื่อที่จะสร้างวงแหวนปราณนอกสุสานอาวุธเทพใต้ดินได้ ก็ต้องสร้างเขตนครใหม่ที่สุสานนั้นเช่นกัน… หลังจากนั้น จึงจะทำการย้ายประชากรไปอยู่อาศัยเพื่อให้เมืองใหม่สมบูรณ์
วงแหวนปราณค้ำจุนจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีคนมากพอในเมือง หลังจากที่มีจำนวนประชากรมากพอแล้ว กำแพงอาวุธเทพก็จะค่อยๆ บางลง ทำให้สหพันธรัฐดำเนินการสำรวจต่อได้ในที่สุด
นี่เป็นข้อมูลลับสุดยอดที่สหพันธรัฐจะไม่มีวันประกาศต่อสาธารณชน แม้แต่การเปิดเผยความจริงเรื่องค่ายกลวงแหวนปราณค้ำจุนยังอาจสร้างความหวาดกลัวให้ประชากรทั่วไปในสหพันธรัฐเลย แม้วงแหวนปราณจะไม่มีภัยต่อร่างกาย แต่พลังงานมหาศาลที่เสียไประหว่างการหลอมศิลาวิญญาณนั้นก็อาจทำให้ทุกคนไม่พอใจได้
หวังเป่าเล่ออ้าปากค้างเมื่ออ่านข้อมูลทั้งหมดนั้นจบ
ก่อนหน้านั้นข้าก็สงสัยว่าตอนที่ใช้วิชาค้ำจุนปราณหลอมศิลาวิญญาณ เหตุใดจึงรู้สึกว่าพลังปราณในกายไหลออกภายนอกอย่างมาก… เป็นเพราะเช่นนี้นี่เอง!
และข้าก็สงสัยเช่นกันว่าเขตนครใหม่เกี่ยวอะไรกับการกู้อาวุธเทพ เป็นเช่นนี้นี่เอง… หวังเป่าเล่อตกใจกับความรู้ใหม่นี้มาก เขาใช้เวลาทำให้ตัวเองใจเย็นลงอยู่นาน ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงสหพันธรัฐ และไปหยุดลงที่ข้อสรุปหนึ่งในที่สุด
การเมืองในสหพันธรัฐนั้นซับซ้อนเกินไป ยิ่งไต่ขึ้นสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนค่อยๆ เปิดผ้าม่านแห่งความลับออกที่ละชั้น และแต่ละเรื่องก็ยิ่งน่าตกใจมากกว่าเดิมขึ้นเรื่อยๆ … เช่นนั้นแล้ว หรือจะเป็นความจริงที่สหพันธรัฐไม่เคยมีผู้ฝึกตนระดับ จุติวิญญาณ
ความรู้สึกมากมายพุ่งผ่านสีหน้าหวังเป่าเล่อ ความรู้ที่เขาได้รับการสั่งสอนมาแต่เด็กล้วนเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลที่แท้จริงอยู่อีกชั้น การค้นพบใหม่นี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบายใจจนควบคุมความรู้สึกตนเองไม่อยู่
หลังจากผ่านไปนาน หวังเป่าเล่อก็ทำใจยอมรับความจริงใหม่นี้ได้ในที่สุด เขาเงียบขณะจ้องมองแผ่นหยกสื่อสารข้างหน้าตน สหพันธรัฐเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้มิดชิดมาก กลุ่มอำนาจต่างๆ เองก็ไม่ได้อยากให้ความลับนี้ถูกเปิดเผยออกมาเช่นกัน แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว และรู้ดีว่าตนเองบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่คนเดียว
โชคดีที่เขาไม่เคยได้ยินข่าวคนถูกดูดพลังจนแห้งตายด้วยน้ำมือของวงแหวนปราณ เขาก็เคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเองเช่นกัน และไม่เคยรู้สึกถึงความไม่สบายกายเลยขณะที่อาศัยอยู่ในวงแหวนปราณ อีกทั้งหวังเป่าเล่อมั่นใจว่าประมุขสำนักและ ผู้อาวุโสสูงสุดต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน แต่ก็เลือกที่จะไม่ปริปาก นี่แปลว่าข้อเสียเดียวของวงแหวนปราณที่มีต่อคน คือการดูดพลังงานขณะหลอมศิลาวิญญาณเท่านั้น
อย่างไรเสียทุกคนก็ล้วนอาศัยอยู่ภายใต้วงแหวนปราณทั้งนั้น
หวังเป่าเล่อถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคิดได้เช่นนี้ และเริ่มอ่านเอกสารต่อ กว่าเขาจะอ่านจบก็เป็นเวลาดึกแล้ว ชายหนุ่มสังเกตเห็นคำเตือนในเอกสารแจ้ง เอาไว้ว่า ห้ามผู้อ่านคนใดเปิดเผยข้อมูลนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าส่วนไหนและกับใครก็ตาม หากทำผิดจะถือว่าก่อการกบฏ
เอกสารนั้นทำลายตัวเองเรียบร้อยจนไม่เหลือแม้เศษซาก หลังจากที่หวังเป่าเล่ออ่านจบ
ชายหนุ่มมองแผ่นหยกสื่อสารที่ว่างเปล่าก่อนหลับตาลง เขาค่อยๆ ย่อยข้อมูล ลับสุดยอดเมื่อครู่ระหว่างรอให้เจ้านครดาวอังคารติดต่อมา
สามวันผ่านไปในพริบตา
ในสามวันนั้น หวังเป่าเล่อหมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกไปยังโลกภายนอก เขาเริ่มฝึกสมาธิและฝึกปราณระหว่างรอ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าขั้นปราณของตนกำลังจะถึงจุดสูงสุดของระดับรากฐานตั้งมั่นขั้นกลาง ไม่นานนักเขาคงบรรลุไปขั้นปลายของรากฐานตั้งมั่น
การฝึกวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้น ทำให้สายฟ้าในขาทั้งสองข้างของเขามีพลังเต็มเปี่ยม จนเพียงแค่คิดก็ปล่อยพลังออกมาได้
หลังจากที่บรรลุวิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นที่เรียบร้อย หลังเป่าเล่อก็พัฒนาไปเร็วมาก ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงกายาวิญญาณขั้วลบทุกครั้งที่ฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืด นอกจากนี้ เขายังสร้างเปลวไฟสีดำดวงที่สองในกายได้อีกด้วย!
เปลวไฟวิญญาณสองดวงในกายทำให้พลังปราณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก ดอกบัวสีเขียวในร่างก็เติบโตขึ้นเช่นกัน หวังเป่าเล่อไม่ต้องฝึกร่างกายอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเองตามธรรมชาติโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรกับมัน
หวังเป่าเล่อมาถึงจุดที่รู้สึกว่าตนเองไม่ต้องฝึกกระบวนเวทอีกต่อไป หากเขาเจอศัตรูที่ฆ่าไม่ได้ในกระบวนท่าเดียว เขาก็แค่ต้องโจมตีสิบครั้งหรือร้อยครั้งเท่านั้น เพราะอย่างไรชายหนุ่มก็มีพลังงานไม่หมดสิ้น แถมยังฟื้นตัวได้ในระดับที่น่าตกใจ
สิ่งเดียวที่เขาเสียดายคือวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืด… วิชาศาสตร์มืด อันเลื่องลือนั่นเอง!
เขายังไม่มีโอกาสได้ลองใช้วิชานี้เลย และยังเต็มไปด้วยความสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงมัน หวังเป่าเล่ออยากรู้เหลือเกินว่าวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดจะทรงพลังเพียงใด และมันทำอะไรได้กันแน่
น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสเสียที… หวังเป่าเล่อถอนใจ เขาไม่อยากถูกเหมารวมว่าเกี่ยวข้องกับสุสานอาวุธเทพใต้ดิน และถูกพบว่าใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดจนโดนลากไปเป็นกลุ่มตัวอย่างในห้องทดลอง…
หวังเป่าเล่ออาจใช้อำนาจที่มีในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และในฐานะนายกเทศมนตรีคนใหม่ทำให้คนอื่นไม่สงสัยได้บ้างเรื่องที่เขารู้ว่ามีวิชานี้อยู่ แต่หากเขาเปิดเผยตนกำลังฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดอยู่ ทุกคนคงแห่กันมาพยายามเปิดปากเขาให้บอกจนได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
รู้จักระวังไว้ก่อนสายเกินแก้ หวังเป่าเล่อถอนหายใจและบอกตนเอง เขาเดินหน้าฝึกฝีมือต่อไป สี่วันต่อมา ในเวลาเที่ยง… หวังเป่าเล่อกำลังฝึกวิชาอย่างขะมักเขม้นตอนที่แหวนสื่อสารสั่น เสียงราบเรียบของเจ้าพนักงานผู้หนึ่งดังลอดออกมาเพื่อ ส่งสารให้เขาได้รับทราบ
“นายกเทศมนตรีหวัง ท่านเจ้านครมีเวลาว่างสิบห้านาทีในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้ โปรดไปที่สำนักงานของท่านให้ตรงเวลาด้วย!”