Chapter 3
ไปเที่ยว
ราชาภากรโบกมือวูบเชือกเพลิงก็สลายไป จะให้มันตายง่ายๆได้อย่างไร!
แล้วเขาก็เดินเข้าไปจิกผมราชาอนธการขึ้นมา เอาเชือกสะกดพลังมัดรอบคอ แล้วลากตัวราชาอนธการไปขังเอาไว้ สถานที่คุมขัง ก็เลือกเอาหอคอยข้างปราสาทนี่แหละ เขาจะให้มันมองดูผู้คนของมันต้องทุกข์ทรมาน ฟังเสียงร้องของลูกสาวตัวเองที่ถูกเขาย่ำยีทุกวัน!
เขาจิกลากมันไปตามทางอย่างไร้ความปราณี จนตัวราชาอนธการล้มลุกคลุกคลานครูดไปกับพื้น เมื่อลากไปถึงยอดหอคอย เขาก็ปล่อยพลังเทพออกมาสร้างเป็นกรงไฟขึ้นกรงหนึ่ง แล้วโยนราชาเฒ่าเข้าไปในกรงไฟ กรงนี้จะไม่เผามันให้ตาย แต่จะทำให้มันเจ็บปวดทุกครั้งที่มันมาจับกรง เขาจะคอยฟังเสียงร้องโหยหวนของมัน!
แล้วเขาก็เดินลงจากหอคอย สั่งทหารให้ไปเฝ้าล้อมรอบลานจันทราเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปทำพิธีบูชายัญได้ จากนั้นเขาก็ให้ทหารบุกทุกบ้าน นำเชือกสะกดพลังไปมัดชาวบ้านทุกคนเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ชาวบ้านรวมตัวกันลุกฮือขึ้นต่อสู้
ชาวบ้านตกอกตกใจที่จู่ๆก็มีคนบุกเข้ามา เอาเชือกสะกดพลังมามัดคอพวกเขาเอาไว้ ชาวบ้านบางคนก็ลุกขึ้นสู้ แต่เมื่อลุกขึ้นสู้ไหนเลยจะสู้กับพวกทหารที่ถูกฝึกมาได้ บางคนถูกฆ่าตายไป บางคนก็ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส พวกสตรีและเด็กเล็กก็ส่งเสียงกรีดร้อง พากันวิ่งหลบหาที่ซุกที่แอบกันอย่างอลม่าน
เสียงร้องอย่างตกอกตกใจ ผสมกับเสียงต่อสู้ดังเป็นระยะๆไม่หยุด ทำให้ราชาอนธการซึ่งอยู่บนยอดหอคอยยิ่งร้อนใจ พุ่งไปหมายจะพังกรงออกไป แต่พอจับถูกกรง มือก็ถูกแผดเผาจนร้องลั่น “โอ๊ยยยย…”
ราชาอนธการสะบัดมือออกอย่างเจ็บปวด มองไปรอบๆกรงไฟอย่างพยายามหาช่องโหว่ที่จะพังออกไป แต่ก็ไม่เห็นช่องโหว่แม้แต่น้อย เขายืนอยู่กลางกรงอย่างจนปัญญา พยายามจะดึงเชือกสะกดออกจนผิวเนื้อรอบคอถลอกปอกเปิก
ค่ำคืนที่แสนโหดร้ายดำเนินไป ล่วงเข้าเช้าวันใหม่ กองทัพราชาภากรก็บุกยึดดินแดน จับพวกชาวบ้านมัดด้วยเชือกสะกด แล้วก็จากไป บุกไปทุกบ้าน ทำเช่นนี้กับชาวดินแดนจันทราทุกคน
ระหว่างที่ทหารบุกไปนั้น ราชาภากรก็ปล่อยพลังเทพสุริยะออกมาปกคลุมดินแดนจันทราเอาไว้ ทำให้ฝนไม่ตก เมื่อฝนไม่ตก พืชผักที่ปลูกไว้ก็ย่อมขาดน้ำตาย เขาต้องการจะให้คนดินแดนจันทราตกตายอย่างทรมาน ให้ราชาเฒ่าได้ฟังเสียงร้องคร่ำครวญของประชาชน!
ณ โลกมนุษย์ ดวงดาวสีฟ้าสวยสด
“ทิวา ทางนี้ๆ” ชายหนุ่มโบกมือเรียกน้องสาวของเพื่อนซึ่งกำลังมองหาตัวเขา
ทิวาโบกมือตอบแล้วก็รีบเดินไปหาตะวัน เขาเป็นเพื่อนกับพี่ชายของเธอตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เขาแก่กว่าทิวาหกปี เธอสนิทกับเขามาก เขาเป็นเหมือนพี่ชายของเธออีกคน ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของบริษัทอิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต รายใหญ่หนึ่งในสิบของประเทศ เขาทั้งหล่อทั้งรวยจึงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากมาย
ส่วนเธอกำลังจะเรียนจบในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ตะวันจึงล็อคตัวเธอให้ไปทำงานด้วยในตำแหน่งผู้ช่วยเลขา
วันนี้ตะวันนัดสองพี่น้องมากินข้าวด้วยกัน ทิวามาถึงก่อนส่วนอารยะเพื่อนรักยังมาไม่ถึง
“สวัสดีค่ะพี่ตะวัน” ทิวายกมือไหว้
“หวัดดีจ้ะ” ตะวันรับไหว้แล้วก็บอกว่า “ไอ้ยะยังไม่มาเลย นั่งก่อนซิ”
ทิวานั่งตรงข้ามกับเขา วางกระเป๋าไว้ข้างเก้าอี้แล้วบอกว่า “มาช้าตามเคยแหละค่ะ”
ตะวันพยักหน้า “ถ้างั้นเราสั่งอาหารเลยละกัน” แล้วเขาก็หันไปเรียกเด็กเสิร์ฟ
เด็กเสิร์ฟรีบเดินไปบริการพร้อมกับยื่นเมนูให้ “สวัสดีค่ะ”
ทั้งสองรับเมนูไปเปิดดูสักครู่แล้วก็สั่งอาหาร
“ผมเอาชุดนี้กับน้ำแร่ครับ” ตะวันสั่งแล้วก็หันไปถามทิวาว่า “แล้วทิวาจะกินอะไรล่ะ?”
“วาเอาอันนี้ล่ะกันค่ะ” ทิวาชี้ที่เมนู
เด็กเสิร์ฟจดรายการ “รอซักครู่นะคะ” จากนั้นก็เดินไปยื่นรายการที่เคาน์เตอร์
ครู่ต่อมาเด็กเสิร์ฟก็ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้
ประตูร้านเปิดออก อารยะเดินเข้าไปพลางมองหาเพื่อน
ตะวันหันไปเห็นพอดีก็โบกมือ “ทางนี้ๆ”
ทิวาหันไปมอง “ข้ออ้างเดิมชัวร์” เธอพูดลอยๆ
ตะวันหันไปยิ้มกับทิวา “ก็รู้ๆกันอยู่นี่เนาะ”
ทิวายิ้มขำ
พออารยะมาถึงก็รีบขอโทษว่า “โทษทีๆ มาช้าไปหน่อย รถมันติดน่ะ”
ทิวาค้อนขวับ “พี่ก็สายตลอดนั่นแหละ ไม่รู้ทำงานกับเจ้านายฝรั่งได้ไง”
อารยะตบไหล่น้องสาวพลางแก้ตัวว่า “ก็นั่นมันงาน ส่วนนี่คนกันเอง” เขานั่งลงข้างน้องแล้วก็หันไปถามเพื่อนว่า “แกมานานรึยัง?”
“สักพัก ฉันมาถึงก่อนทิวาสักสิบนาทีล่ะมั้ง” ตะวันตอบแล้วก็หันไปเรียกเด็กเสิร์ฟ
เด็กเสิร์ฟก็เดินเข้าไปส่งเมนูให้อารยะ “สวัสดีค่ะ”
อารยะรับเมนูไปเปิดดู แล้วก็สั่งอาหาร จากนั้นก็ส่งเมนูคืนให้เด็กเสิร์ฟ
“รอสักครู่นะคะ” เด็กเสิร์ฟรับเมนูคืนแล้วก็เดินไปยื่นรายการที่เคาน์เตอร์
ตะวันมองทิวาแล้วก็ถามว่า “เดือนหน้าก็ปิดเทอมแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะพี่ตะวัน” ทิวาพยักหน้า
“ถ้างั้นพอปิดเทอมแล้วทิวาก็มาทำงานกับพี่เลยนะ” ตะวันบอก
อารยะก็แทรกว่า “เฮ้ย! แกจะฉกตัวยัยวาไปทำงานเลยได้ไง แล้วทริปที่แพลนกันไว้แล้วล่ะ ไม่ได้ๆ ต้องพายัยวาไปเที่ยวก่อนซิ แกลืมไปแล้วเหรอไอ้วัน”
ตะวันนึกขึ้นได้ “เออจริงซิ ถ้างั้นก็หลังจากกลับจากนครวัดล่ะกัน ดีมั้ยทิวา” เขาหันไปถามทิวา
ทิวาพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ” แล้วก็พูดต่อว่า “พี่ตะวันก็อย่าลืมเคลียร์งานให้เรียบร้อยล่ะกันค่ะ”
“จ้ะ” ตะวันพยักหน้า
แล้วเด็กเสิร์ฟก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ ทั้งสามก็กินกันไปคุยกันไป จนกระทั่งอิ่มแล้วตะวันก็เช็คบิล จากนั้นทั้งสามก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ทิวานั่งรถกลับกับพี่ชาย ส่วนตะวันก็ขับรถกลับบ้าน เขาสนิทกับทิวามากกว่าผู้หญิงคนไหนๆจนใครๆต่างก็คาดว่าเขาคงจะแต่งงานกับทิวาแน่ เขาเคยนั่งคิดหลายครั้งว่าเขารู้สึกเช่นไรกับทิวา และทุกครั้งเขาก็ตอบตัวเองว่าเขาเห็นเธอเป็นน้องสาว ส่วนเธอก็เห็นเขาเป็นเพียงพี่ชาย ซึ่งอารยะก็รับรู้ความรู้สึกของเขากับทิวา อารยะจึงไว้ใจปล่อยให้เขาไปไหนมาไหนตามลำพังกับทิวาบ่อยๆ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงวันไปเที่ยวนครวัด ตะวันนั่งรอเพื่อนที่สนามบิน พออารยะกับทิวามาถึงเขาก็ลากกระเป๋าลุกไปหาทั้งสอง
“ขอโทษค่ะที่มาสาย” ทิวายกมือไหว้
ตะวันโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรจ้ะ”
อารยะก็รีบแก้ตัวว่า “รถติดชะมัด นี่ขนาดออกจากบ้านเร็วแล้วนะ ดันมาเจออุบัติเหตุรถชนกันอีก กว่าจะหลุดมาได้แทบแย่”
“ไปเช็คอินกันเถอะ” ตะวันบอกแล้วก็เดินนำหน้าทั้งสองคนไปที่เคาน์เตอร์เช็คอิน
ครั้นพอเช็คอินเรียบร้อยทั้งสามคนก็เดินไปรอขึ้นเครื่อง
ระหว่างเดินผ่านร้านดิวตี้ฟรี ทิวาก็แวะซื้อโฟมล้างหน้า ส่วนสองหนุ่มก็ชวนกันเดินไปดูสินค้าสำหรับผู้ชาย
พอทิวาซื้อของเสร็จก็เดินไปหาทั้งสอง แต่ก็ไม่เห็นทั้งสองคนเลย เธอชะเง้อมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็น “เอ…ไปไหนกันนะ?”
แต่พอหันหลังกลับก็เจอดอกไม้ช่อใหญ่ “อุ้ย!”
“ฉลองที่เรียนจบจ้า” อารยะยิ้มแฉ่ง
ทิวายิ้มดีใจ “ขอบคุณค่ะพี่ยะ” หล่อนรับช่อดอกไม้ไปดมแล้วก็ถามว่า “ซื้อมาตอนไหนคะ?”
“พี่ฝากไอ้วันมันซื้อให้ อุตส่าห์วางแผนเซอร์ไพร้สเชียวนะเนี่ย” เขาตอบแล้วก็ถามว่า “ชอบมั้ย”
ทิวาพยักหน้า “ชอบมากค่ะ ขอบคุณคะ รักพี่ที่สุดในโลกเลยค่ะ” เธอบอกแล้วก็หอมแก้มขอบคุณ พอผละออกจากพี่ชาย ตะวันก็ยื่นช่อดอกไม้ที่ซ่อนไว้ข้างหลังให้ทิวา
“ฉลองที่เรียนจบเช่นกันจ้ะ” เขาบอกพลางยิ้มให้
ทิวารับมาพลางยิ้มตอบ “ขอบคุณค่ะพี่ตะวัน”
อารยะยื่นกล่องเล็กๆส่งให้น้อง “ของขวัญที่เรียนจบจากพี่” แล้วเขาก็ฉวยช่อดอกไม้ส่งไปให้ตะวันถือ
ทิวาหันไปมอง “อะไรคะพี่ยะ?” เธอรับมาพลางเขย่าเบาๆ
“ก็แกะดูซิ” อารยะคะยั้นคะยอ
ทิวาจึงค่อยๆแกะห่อของขวัญออก ข้างในเป็นกล่องกำมะหยี่สีแดง เธอเปิดฝากล่องแล้วก็เห็นสร้อยทองเส้นนึงกับจี้วงกลมทับทิมล้อมเพชร “สวยจังค่ะพี่ยะ”
อารยะยิ้มแฉ่งที่น้องชอบ เขาเอื้อมมือไปหยิบสร้อยขึ้นมา “พี่ใส่ให้นะ”
ทิวาพยักหน้า
อารยะจับน้องหันหลังแล้วเขาก็สวมสร้อยให้น้อง
ทิวาหันไปหอมแก้มพี่ชายอีกที “ขอบคุณค่ะพี่ยะ” แล้วหล่อนก็หันไปรับดอกไม้จากตะวัน ก็จะปล่อยให้เขาถือได้ไงเสียลุคหนุ่มหล่อมาดแมนกันพอดี
ตะวันยิ้มให้แล้วก็บอกว่า “ส่วนของพี่ไว้กลับมาจากนครวัดแล้วพี่ค่อยเอาให้นะ เพราะมันใหญ่มาก”
ทิวาพยักหน้า “ค่ะ” แล้วก็ถามว่า “พี่ซื้ออะไรให้ทิวาเหรอคะ?”
“ไม่บอกจ้ะ บอกก็ไม่เซอร์ไพร้สซิจ๊ะ” ตะวันบอกยิ้มๆ แล้วก็บอกว่า “ไปกันเถอะใกล้จะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”
อารยะก้มดูนาฬิกา “เออจริงด้วย”
ทิวาพยักหน้า “ค่ะ”
แล้วทั้งสามก็เดินไปที่เกท นั่งรอขึ้นเครื่อง
พอสายการบินประกาศให้ขึ้นเครื่อง ผู้โดยสารทั้งหมดก็ทยอยลุกไปต่อแถวขึ้นเครื่อง จากนั้นเครื่องบินก็เทคออฟจากสนามบินมุ่งหน้าสู่เสียมเรียบประเทศกัมพูชา
ทริปนี้เป็นทริปที่ทิวาใฝ่ฝันมานานแล้ว ครั้นพออารยะหาโอกาสลางานได้ เขาก็รีบจัดทริปนี้ให้เป็นของขวัญเนื่องในโอกาสที่ทิวาเรียนจบทันที ส่วนตะวันถูกชวนมาเป็นเพื่อน อีกอย่างตะวันก็ยังไม่เคยไปเที่ยวนครวัดเช่นกัน พอถูกชวนเขาก็ตกลงทันที
อารยะกับทิวามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง พ่อแม่ตายไปเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำตั้งแต่อารยะเพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ อารยะจึงทำหน้าที่แทนพ่อแม่ส่งเสียน้องสาวคนเดียวเรียนต่ออย่างไม่ย่อท้อ สองพี่น้องจึงรักกันมาก
ครั้นพอถึงเสียมเรียบ ทั้งสามคนก็เรียกรถไปส่งที่โรงแรม
หลังจากเช็คอินเอากระเป๋าเก็บไว้ในห้องพัก สองพี่น้องพักอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนตะวันก็พักห้องติดกัน แล้วทั้งสามคนก็ออกไปเดินเที่ยวใกล้ๆโรงแรม
“เฮ้ยไอ้วัน แกซื้ออะไรให้ยัยวาเหรอ?” อารยะกระซิบถามอย่างอยากรู้
เดี๋ยวกลับไปแกก็เห็นเองแหละ” ตะวันตอบแล้วก็บุ้ยปากเมื่อทิวาเดินมาสมทบ
อารยะเอาศอกกระทุ้งเอวเพื่อน “หนอย…แค่นี้ก็ต้องปิดกันด้วย”
ตะวันยิ้ม “อ้าว…ขืนบอกไปเดี๋ยวแกก็เผลอไปบอกทิวาน่ะซิ”
อารยะเลยกระทุ้งอีกทีอย่างหมั่นใส้ “หนอยแน่ะ เห็นฉันเป็นพวกปากสว่างไปได้”
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะพี่ยะพี่ตะวัน” ทิวาถามพลางยื่นขวดน้ำให้ทั้งสองคน
“ก็คุยกันว่าพวกเราจะไปไหนดีล่ะ” ตะวันรีบบอก
ทิวามองทั้งสองคน แล้วก็หันไปมองรอบๆ “เอ…ไปไหนก่อนดีนะ?” แล้วก็ชี้ไปทางริมคลอง “ไปทางนี้ก่อนก็แล้วกันค่ะ”
“จ้ะ” สองหนุ่มรับคำพร้อมกัน
อารยะเดินจูงมือน้องเดินนำหน้า ส่วนตะวันก็เดินตามหลังทำหน้าที่คอยถ่ายรูปให้ทิวา
ทั้งสามเดินเที่ยวจนเริ่มเหนื่อยจึงพากันเดินกลับโรงแรม เข้านอนแต่หัวค่ำเก็บแรงไว้เดินเที่ยวพรุ่งนี้ต่อ
เช้าตรู่ ทั้งสามตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวไปกินอาหารเช้าที่ทางโรงแรมเตรียมบุฟเฟ่เอาไว้ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้วทั้งสามก็เรียกรถไปเที่ยวนครวัด
พอถึงนครวัด ทิวาก็มองไปรอบๆอย่างตื่นเต้นดีใจ “สวยจังค่ะพี่ยะ”
ทั้งสามคนมองไปรอบๆตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ
ตะวันก็ทำหน้าที่ตากล้องกดทุกช็อต “หนึ่ง…สอง…สาม…แช๊ะ”
ทั้งสามคนเดินเที่ยวชมนครวัดอย่างสนุกสนาน บางครั้งอยากจะได้รูปครบทั้งสามคนก็ขอให้นักท่องเที่ยวคนอื่นช่วยถ่ายรูปให้
“ขอบคุณครับ” ตะวันขอบคุณนักท่องเที่ยวคนไทยด้วยกันที่ช่วยถ่ายรูปให้พวกเขา
“ยินดีครับ” นักท่องเที่ยวคนนั้นบอกแล้วก็ส่งกล้องคืนให้กับตะวัน จากนั้นเขาก็เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ
“พี่ตะวันไปทางนู้นกันเถอะค่ะ” ทิวาชี้ชวนแล้วก็จูงมือพี่ชายเดินไปด้วยกัน
“จ้ะ” ตะวันพยักหน้าแล้วก็เดินตามไป
ณ ดินแดนมายา
ณ ปราสาทจันทรา หลังจากราชาภากรเข้ายึดดินแดนได้แล้วก็สั่งให้ทหารนำพวกทหารชาวจันทราไปขังเอาไว้ ส่วนเจ้าหญิงจันทราที่นอนสลบอยู่ในห้องก็ให้นางกำนัลพาตัวกลับไปรักษาแผลที่ห้องของนาง สองนางกำนัลคนสนิทประคับประคองเจ้าหญิงกลับห้องอย่างหวาดกลัว เจ้าหญิงสะลึมสะลืมมอง เห็นว่าคนที่ประคองตัวเองเป็นนางกำนัลจึงไม่ได้ดิ้นหนี หลับตาลงอย่างอ่อนแรงและเจ็บปวดแผ่นหลังเป็นที่สุด นางกำนัลประคองเจ้าหญิงไปนอนที่เตียง มองดูเสื้อด้านหลังที่ขาดยับเยินอย่างปวดใจ เศษเสื้อบางส่วนจมลงไปในบาดแผลบนแผ่นหลังบอบบาง
“เจ้าหญิง…อึก…อึก…” นางกำนัลทั้งสองมองดูสภาพเจ้าหญิงแล้วก็สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพราก แล้วนางกำนัลคนหนึ่งก็กล่าวว่า “ช่วยกัน…อึก…อึก…ทำแผลให้เจ้า…อีก…อีก…หญิงก่อนเถอะ…อีก…อีก…”
“อึก…อึก…อืม” นางกำนัลอีกคนพยักหน้า แล้วก็ช่วยกันถอดเสื้อออกจากตัวเจ้าหญิง
“โอย…” เจ้าหญิงจันทราสะดุ้งเมื่อถูกจับขยับตัว นางกำนัลทั้งสองก็ชะงักกึก! “โถ…ทูลหัวของข้า…อึก…อึก…ข้าจะค่อย…อึก…อึก…ถอดนะ…อีก…อีก…เจ้าคะ”
เจ้าหญิงจันทรากัดฟันข่มความเจ็บ กล่าวเสียงอ่อนแรงว่า “ทำเถอะ”
นางกำนัลทั้งสองจึงช่วยกันถอดเสื้อออกจากตัวเจ้านาย ยามที่พยายามถึงเศษเสื้อออกจากบาดแผลก็พยายามดึงอย่างเบามือที่สุด ดึงไปน้ำตาก็ไหลพรากๆไปได้ “เจ้า…อึก…อึก…คนชั่วช้านั่นช่างโหด…อึก…อึก…ร้ายนัก…อีก…อีก”
เจ้าหญิงจันทรากัดฟันแน่น เจ็บแสบแผ่นหลังเป็นที่สุด แต่เจ็บตัวก็ยังดีกว่าถูกมันย่ำยี นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเจ้าคนชั่วนั่นถึงได้ไม่ลงมือขืนใจนาง กลับเปลี่ยนมาเฆี่ยนตีนางแทน
นางกำนัลทั้งสองดึงเศษเสื้อออกไปจนหมดแล้วก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดคราบเลือดออกไป เจ้าหญิงจันทราก็กัดฟันแน่น สะดุ้งทุกครั้งที่ผ้าสัมผัสกับบาดแผล นางกำนัลทั้งสองช่วยกันเช็ดไปพลางร้องไห้ไปด้วย สงสารเจ้านายยิ่งนัก
ครั้นเช็ดเสร็จแล้วก็หยิบยามาทาแผลให้อย่างเบามือที่สุด เจ้าหญิงจันทราก็สะดุ้งทุกครั้งที่บาดแผลถูกแตะต้อง น้ำตาไหลนองจนหมอมเปียกชุ่ม หลังจากใส่ยาแล้ว นางกำนัลก็เอาผ้ามาพันแผลเอาไว้แล้วก็ช่วยกันใส่เสื้อให้เจ้าหญิง
หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว เจ้าหญิงจันทราก็หลับไปทันที นางกำนัลทั้งสองก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง พยายามกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เจ้าหญิงจันทราตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่ขยับตัวเบาๆ ก็เจ็บปวดแผ่นหลังจนร้อง “โอย…”
นางกำนัลทั้งสองสะดุ้งตื่นทันที พอเห็นว่าเจ้านายตื่นแล้วก็รีบถามว่า “เจ็บมากหรือเจ้าคะ?”