Skip to content

Battle Sun Chapter 5

Chapter 5

บวงสรวงด้วยเลือด

เจ้าหญิงจันทรามองอย่างเฉยเมยเช่นเดิม ราวกับนางคือรูปปั้นที่ไร้ชีวิตจิตใจ

ราชาภากรก็ฟาดนางกำนัลผู้นั้นไม่ยั้ง “ขวับ! ขวับ! ขวับ!ๆๆๆๆๆๆ—–”

“โอ๊ยๆๆๆๆ” นางกำนัลร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ก้มหมอบอย่างไร้ทางสู้ สองมือกำเชือกผนึกพลังแน่น พยายามที่จะกระชากเชือกให้ขาดออก แต่เชือกก็ไม่ขาด นางดึงจนมือแทบฉีก เจ้าเชือกบัดซบนี่ก็ไม่ยอมขาดเสียที

สายตาราชาภากรก็มองเจ้าหญิงจันทรา ดูปฏิกิริยาของนาง แต่นางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ ราวกับนางเป็นรูปปั้นไร้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงยิ่งโมโหหนัก ฟาดสุดแรงจนนางกำนัลร่างแยกออกเป็นสอง เลือดสาดกระจายเปื้อนไปทั่ว แต่ดวงตางดงามนั่นจะกะพริบสักนิดก็หาไม่

“ฮึ่ม!” เขาคำรามเสียงต่ำคำหนึ่งปล่อยแส้ให้หายวับ แล้วก็กระแทกเท้าเดินออกไปจากห้อง เสียงปิดประตูดังตึง! เจ้าหญิงจันทราก็หาสะดุ้งไม่ ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาเหม่อลอยมองร่างนางกำนัลที่กลายเป็นซากศพด้วยสายตาเฉยชาเช่นเดิม

ราชาภากรโมโหจัด ไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน ข้าวของก็พลันถูกพลังระเบิดจนแหลกเป็นจุณ ปากก็ร้องตะโกนสั่งว่า “เอาเหล้ามา!”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็รีบไปยกเหล้ามาให้เจ้านายอย่างเร็วจี๋

วันคืนผ่านไป เจ้าหญิงจันทราก็ราวกับรูปปั้นที่ไร้ชีวิตจิตใจไปแล้ว

เทพสุริยะกลับมาที่นครสุริยะอีกครั้ง เขารู้สึกว่าภายในวังเงียบอย่างประหลาด ปกติจะต้องเห็นผู้คนไม่น้อยเดินกันไปมาบ้าง แต่เขาเดินอยู่ในปราสาทตั้งนานแล้วกลับเห็นคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น จึงหยุดอยู่หน้าทหารที่ยืนเฝ้ายามคนหนึ่ง ถามว่า “คนหายไปไหนกัน? แล้วภากรอยู่ที่ใด?”

ทหารคนนั้นรับโค้งตัวลง ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ไม่ทราบขอรับ”

เทพสุริยะจึงเดินต่อไป ออกไปยืนมองท้องฟ้าที่ระเบียง แล้วเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง “หืม? เหตุใดฟากฝั่งดินแดนนครจันทราจึงมีพลังของข้าปกคลุมเล่า?”

ด้วยความสงสัย เขาจึงรีบใช้พลังเทพไปยังนครจันทราทันที

ครั้นเมื่อปรากฏตัวที่นครจันทราแล้ว เขาก็ตกใจที่พลังของตัวเองครอบคลุมเหนือท้องฟ้าเหนือดินแดนจันทรา เมื่อพินิจพิจารณาอีกนิดเขาก็รู้ว่าเป็นพลังที่เขามอบให้ราชาภากรเมื่อคราวนั้น เขาขมวดคิ้ว พอจะเข้าใจอะไรได้ลางๆแล้ว เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ต้องการดูบ้านของเขา แต่ต้องการให้เขาแบ่งพลังให้ต่างหาก จึงหยิบยกเรื่องดูบ้านขึ้นมาเป็นข้ออ้าง แล้วเขาก็โง่ตกหลุมพรางเจ้าเด็กนั่นไปเต็มๆ

“ภากร!” เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ จะดึงพลังกลับก็ไม่อาจทำได้ ด้วยพลังนั้นเป็นเขาเต็มใจแบ่งให้เอง ทำให้พลังสายนั้นจะกลับคืนสู่เขาได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเด็กภากรเต็มใจจะมอบคืนให้กับเขา หากเขาฝืนดึงพลังกลับ เจ้าเด็กร้อยเล่ห์นั่นได้ตกตายแน่ “ฮึ่ม!”

ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กนั่นจะลอบวางแผนเอาไว้เช่นนี้ เพราะนับตั้งแต่เจ้าเด็กนั่นนั่งบัลลังก์ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องแก้แค้นอีกเลย จนเขาวางใจว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะไม่คิดจะแก้แค้นแล้ว ที่ไหนได้! กลับลอบวางแผนอย่างเงียบกริบจนแม้กระทั่งเขายังตามไม่ทัน

วันนี้ เจ้าหญิงจันทรากำลังนั่งมองดวงสุริยะลับฟ้าที่ระเบียงห้อง

ฉับพลัน! ประตูห้องก็เปิดออก เจ้าหญิงหันไปมองด้วยสายตาเฉยชา

“เจ้าต้องไปร่วมงานเลี้ยงกับข้า” เสียงทุ้มทรงอำนาจสั่งนำมาก่อนตัว แล้วเจ้าของเสียงก็เดินเข้าไปในห้อง

“ราชาภากร” นางกำนัลเรียกอย่างตกใจปนหวาดกลัว

เจ้าหญิงจันทราเบือนหน้ากลับไปมองดวงสุริยะแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่ไป”

“แต่เจ้าต้องไป” ราชาภากรสั่งอย่างไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธ แล้วเขาก็ก้าวเข้าไปหาเจ้าหญิงจันทรา

“ข้าไม่ไป” เจ้าหญิงปฏิเสธซ้ำ

ราชาภากรปรายตามองนางกำนัลแล้วก็พูดว่า “หากเจ้าไม่ไป นางก็ตาย”

เจ้าหญิงจันทราหันไปมองอย่างเย็นชา แล้วก็ตอบคำเดิมว่า “ข้าไม่ไป”

ราชาภากรขบกรามด้วยความโกรธ แล้วนางกำนัลก็ลอยขึ้นเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบคอหิ้วลอยจากพื้น นางดิ้นทุรนทุราย “เจ้าหญิง…ช่วยข้า…ด้วย”

เจ้าหญิงจันทรามองด้วยสายตาเฉยชาดังเดิม แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่ไป”

ราชาภากรขบกรามแน่น พูดลอดไรฟันว่า “เช่นนั้นนางก็ตาย!” แล้วนางกำนัลก็ถูกพลังรัดคอจนลำคอขาดกระเด็น เลือดพุ่งสาดกระจายไปทั่ว

เจ้าหญิงจันทรามองด้วยสายตาเฉยชา แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ขณะที่เดินผ่านเขา นางก็บอกว่า “ข้าจะไปชมจันทรา”

“เจ้า!” ราชาภากรมองอย่างโกรธจัดแล้วก็เหวี่ยงศพนางกำนัลไปฟาดผนังห้อง โคร้ม!

เขาคว้าข้อมือเรียวเล็กกระชากดึงรั้งไว้ “ข้าไม่ให้เจ้าไป!” เขาบีบข้อมือนางแน่น

เจ้าหญิงจันทรากัดฟันข่มความเจ็บ แล้วก็บอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะไปชมจันทรา”

ราชาภากรจ้องตานางอย่างโกรธสุดขีด แล้วเขาก็สะบัดข้อมือนาง “หากเจ้าไปที่ลานจันทรา พวกนางก็ตาย!”

นางกำนัลทั้งหมดสะดุ้งกลัว! “เจ้าหญิง…” พวกนางอ้อนวอนเจ้านาย

เจ้าหญิงจันทราปรายตามองด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วก็ก้าวเดินออกจากห้องไป

ราชาภากรมองตามด้วยความโกรธ แล้วเหล่านางกำนัลทั้งหมดก็หัวขาดกระเด็น “กรี๊ด!” เลือดพุ่งสาดกระจายเกลื่อนห้อง

เจ้าหญิงจันทรายังคงก้าวเดินไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

ราชาภากรมองตามแล้วก็สั่งทหารของเขาว่า “ทำความสะอาดซะ!” สั่งเสร็จแล้วเขาก็เดินออกไป

“ขอรับ” ทหารรับคำแล้วก็ใช้พลังเผาร่างนางกำนัลทั้งหมด เพียงพริบตาเดียวศพทั้งหมดก็มอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี

เจ้าหญิงจันทราเดินออกไปนอกปราสาทตรงไปยังลานหินด้านหลังปราสาท ซึ่งเรียกว่า ลานจันทรา เป็นลานพิธีบูชาดวงจันทรา ซึ่งพิธีบูชาดวงจันทราได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้กระทำพิธีนับตั้งแต่ราชาภากรเข้ายึดครองนครจันทรา

ฝนที่เคยตกตามฤดูกาลก็กลับหายสิ้น ผู้คนในนครจันทราต่างอยู่กันอย่างอดอยากแร้งแค้น นางไม่รู้ว่าราชาภากรโกรธแค้นอะไรนครมจันทรานักหนาจึงได้กระทำการข่มเหงชาวนครจันทราเยี่ยงทาสเช่นนี้ เมื่อก่อนเขาเคยจับนางเฆี่ยนตีจนเนื้อแตกเลือดไหล ยิ่งนางกรีดร้องเขาก็ยิ่งสะใจ จนกระทั่งนางไม่เคยร้องอีกเลย ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไร นางก็ไม่เคยกรีดร้องให้เขาได้ยิน เขาจึงหมดสนุกในการเฆี่ยนตีตัวนาง ไม่ใช่นางไม่มีหัวใจแต่เพราะหากนางยิ่งร้องคร่ำครวญหวนไห้ ผู้คนของนางก็ยิ่งถูกเขาทรมานย่ำยี

ครั้นพอถึงลานบวงสรวง ทันทีที่เจ้าหญิงจันทราก้าวเท้าเข้าไปในลาน ฉับพลัน! รอบลานก็มีแสงนวลพุ่งขึ้นมาจากพื้น แสงนี้ช่วยบังตาไม่ให้ราชาภากรมองเห็นภายในลานได้ นางเดินไปคุกเข่าลงกลางลานแล้วก็ร้องไห้ให้กับพวกนางกำนัลที่ถูกฆ่าตาย “ฮือๆๆๆ…ข้าขอโทษ เป็นเพราะข้า พวกเจ้าถึงต้องตาย ฮือๆๆๆ”

เสียงดนตรีจากงานเลี้ยงดังกังวานมายิ่งทำให้เจ้าหญิงจันทราร่ำไห้หนัก ชาวนครจันทราจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันหรือ? “ฮือๆๆๆ…”

นางก้มลงซบหน้ากับฝ่ามือร้องไห้แทบขาดใจ ยิ่งได้ยินเสียงหญิงชายกรีดร้องเพราะถูกทรมานดังมาจากงานเลี้ยงนางก็ยิ่งร่ำไห้จนตัวสั่นสะท้าน

ข้อมือนางข้างที่ถูกบีบบวมช้ำยังไม่เจ็บปวดเท่าเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานที่ลอยมาให้ได้ยิน นางสะดุ้งทุกครั้งที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น “ฮือๆๆๆ…ข้าจะทำเช่นไรหรือจึงจะช่วยผู้คนของข้าได้ เทพีจันทราเจ้าขาได้โปรดช่วยพวกเราด้วย…”

นางซบหน้ากับลานหินร่ำไห้อย่างเจ็บปวด นางร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งดวงจันทราเคลื่อนอยู่กึ่งกลางนภา

พลัน! ก็มีลำแสงพุ่งลงมาจากดวงจันทรา

“ธิดาแห่งข้าเอ๋ย ข้าก็อยากจะช่วยเจ้าเหลือเกิน”

เจ้าหญิงจันทราหยุดร้องไห้ เงยหน้ามอง นางเห็นเทพีจันทรายืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“เทพีจันทรา” เจ้าหญิงเรียกอย่างดีใจ

เทพีจันทราก้มลงกรีดน้ำตาออกจากใบหน้าเจ้าหญิงจันทรา แต่มือนางก็ทะลุผ่านตัวเจ้าหญิงไป

เจ้าหญิงมองอย่างตกตะลึง! “เหตุใดกายท่านจึงเป็นเช่นนี้เล่า”

เทพีจันทราดึงมือกลับ ก้มลงมองมือตัวเองอย่างเศร้าสร้อย “เพราะผู้คนเริ่มลืมเลือนข้าไปแล้วอย่างไรล่ะ”

เจ้าหญิงจันทราส่ายหน้า “ไม่นะ! ต้องไม่เป็นเช่นนี้!”

“มันเป็นไปแล้ว” เทพีจันทราบอกเสียงเศร้า

“แล้วท่านจะเป็นเช่นไรต่อไป” เจ้าหญิงจันทราถามพลางมองร่างอันเลือนรางตรงหน้า

“ข้าก็จะค่อยๆหายไป แล้วดวงจันทราก็จะดับสูญไปจากดินแดนนี้” เทพีจันทราบอก

เจ้าหญิงจันทราตะลึงงัน! “ไม่นะ!” เพราะการดับสูญของจันทราก็หมายถึงการสูญสิ้นนครจันทราด้วยเช่นกัน ชาวนครจันทราอาศัยแสงจันทราเป็นพลังชีวิต เมื่อไร้ซึ่งแสงจันทรา พลังชีวิตของชาวนครจันทราก็ดับสูญไปด้วยเช่นกัน

“ท่านจะหายไปไม่ได้!” นางบอกแล้วก็เอื้อมมือคว้าแขนเทพีจันทรา แต่นางก็คว้าได้แต่อากาศ มือของนางทะลุผ่านแขนเทพีผู้งามสง่า

นางตะลึงมองมือตัวเอง น้ำตารินไหล “ฮือๆๆ…ข้าจะทำเช่นไร ข้าควรทำเช่นไรเทพีจันทรา ฮือๆๆๆ”

เทพีจันทราก้มมองเจ้าหญิงจันทราพลางถามว่า “เจ้ากล้าสละชีวิตตัวเองรึไม่เจ้าหญิงจันทรา”

เจ้าหญิงจันทราเงยหน้ามองเทพีจันทราแล้วก็ตอบว่า “ข้ากล้าเจ้าค่ะ”

เทพีจันทรายิ้มแล้วก็บอกว่า “เช่นนั้นเจ้าจงกรีดเลือดบวงสรวงแด่ข้าเถิด ธิดาแห่งข้า แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้เอง”

เจ้าหญิงจันทราชะงัก! “ท่านจะช่วยให้ข้าพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”

“ความตายอย่างไรล่ะ” เทพีจันทราตอบอย่างปราณี

เจ้าหญิงนิ่งคิดแล้วก็ถามว่า “แล้วถ้าหากข้าต้องการสละชีวิตของข้าเพื่อให้ท่านช่วยชาวนครจันทราท่านทำได้รึไม่เจ้าคะ”

“สิ่งที่เจ้าขอนั้นเกินอำนาจแห่งข้ายิ่งนัก พลังแห่งจันทราหรือจะสู้พลังแห่งสุริยะได้” เทพีจันทราตอบ แล้วก็พูดต่อว่า “หากเจ้าต้องการช่วยชาวนครจันทราแม้ไม่อาจช่วยได้ทั้งหมด เจ้าจะยอมรับได้รึไม่”

“ข้ายอมเจ้าค่ะ” เจ้าหญิงจันทราตอบอย่างไม่ลังเล “หากชีวิตข้าสามารถช่วยชาวนครจันทราได้แม้จะเพียงน้อยนิดข้าก็ยอมเจ้าค่ะ”

เทพีจันทรายิ้มปราณี “ข้ารอฟังคำนี้มานานเหลือเกิน” แล้วนางก็สั่งว่า “เช่นนั้นเจ้าก็จงกรีดเลือดบวงสรวงแด่ข้าเถิดเจ้าหญิงจันทรา”

เจ้าหญิงจันทราชะงักนิ่ง!

เทพีจันทรารู้ว่านางคิดสิ่งใดก็บอกว่า “ที่ข้าไม่อาจปรากฏตัวก่อนหน้านี้ก็เพราะพลังแห่งสุริยะกล้าแข็งยิ่งนัก อีกทั้งไร้ผู้บวงสรวงแด่ข้า พลังของข้าจึงอ่อนแอยิ่งนัก เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าตัวข้านั้นเป็นเช่นไร แต่เพราะขณะนี้สุริยะกำลังถูกบดบังข้าจึงปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าได้ แต่ก็เพียงแค่เฉพาะในลานพิธีแห่งนี้เท่านั้น และในยามนี้เท่านั้น หากสุริยะไร้ซึ่งเงาบดบังแล้วตัวข้าก็จะเลือนหายไปอีกครั้ง เร็วเข้าเถอะธิดาข้า จงหลั่งเลือดบูชาข้าบัดนี้เถิด”

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า ดึงปิ่นปักผมออกจากมวยผมแล้วก็กรีดฉับ! บนข้อมือตัวเอง

นางกัดฟันข่มความเจ็บ มองดูเลือดไหลออกจากปากแผล

เทพีจันทรามองอย่างเศร้าโศก หากมีทางอื่นให้เลือก นางไม่เลือกวิธีบวงสรวงด้วยเลือดเช่นนี้แน่

เลือดไม่ได้หยดลงพื้นดินแต่กลับไหลเป็นสายไปสู่มือเทพีจันทรา

เจ้าหญิงจันทรารู้สึกหน้ามืด ตาเริ่มพร่า นางมองหน้าเทพีจันทราแล้วก็บอกว่า “ได้โปรดช่วยชาวนครจันทราด้วย”

เทพีจันทราพยักหน้ารับ เลือดค่อยๆรวมกันเป็นก้อนกลมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งลูกแก้วเลือดใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ เจ้าหญิงจันทราก็ยิ่งสายตาพร่าเลือนเท่านั้น จนกระทั่งนางล้มลงฟุบกับพื้น

ครั้นพอลูกแก้วเลือดลูกใหญ่พอแล้ว เทพีจันทราก็ใช้มืออีกข้างประคองลูกแก้วเอาไว้ นางชูลูกแก้วขึ้นฟ้า ฉับพลัน! แสงจันทราก็สาดส่องลงมาที่ลูกแก้วเลือด

ลูกแก้วเลือดค่อยๆเลือนหายไป ร่างของเทพีจันทราก็ค่อยๆทึบขึ้น จนเลือดหายไปหมดร่างของเทพีจันทราก็กลับคืนสู่ปกติ

นางก้มลงมองเจ้าหญิงจันทรา ร่างของเจ้าหญิงจันทราก็ลอยขึ้น แล้วแสงจันทราก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดั่งสายฟ้าผ่า เปรี้ยง! เสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนพื้นดินสั่นสะเทือน

ผู้คนต่างแตกตื่นตกใจ พลางวิ่งมองหาที่มาของเสียง แล้วทุกคนก็เห็นแสงจันทร์เจิดจ้าส่องสว่างเป็นลำสู่ลานจันทรา

ราชาภากรรีบลุกไปดูที่หน้าต่าง ครั้นพอเห็นแสงจันทราสว่างไสวก็สถบว่า “บัดซบ! ใครกันบังอาจบวงสรวงเทพีจันทรา”

เขารีบพุ่งไปที่ลานจันทรา

ณ นครวัด ฉับพลัน! ก็เกิดสุริยุปราคา ท้องฟ้าค่อยๆมืดมิดลง ผู้คนต่างแตกตื่นแหนดูปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

“พี่ยะพี่ตะวัน ดูซิคะสุริยุปราคา” ทิวาชี้บอกอย่างตื่นเต้น เธอกำลังยืนถ่ายรูปอยู่กลางบารายหน้าเทวสถาน

สองหนุ่มแหนหน้ามองผ่านแว่นกันแดด “อืม…สุริยุปราคาจริงๆด้วย”

ท้องฟ้ามืดมิด นกกาแตกตื่นบินกลับรัง สรรพสัตว์ส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก พอดวงอาทิตย์ถูกบดบังเต็มดวงท้องฟ้าก็มืดสนิท

พลัน! แสงจันทร์ก็สาดส่องฟาดเปรี้ยง! ลงมาใส่ทิวา “ว๊าย!”

ทั้งอารยะและตะวันสะดุ้งสุดตัว! “เฮ้ย! อะไรวะ” / “เฮ้ย!”

ทั้งสองหลับตาปี้เพราะแสงสว่างวาบดั่งสายฟ้าผ่า ส่วนคนอื่นๆก็หลับตาปี๊สะดุ้งกลัว!

ชั่วพริบตานั้น! ทิวาก็ถูกดูดวูบขึ้นไปตามลำแสง กลางลำแสงนั้นเธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายๆนางเอกหนังจีนโบราณ ครั้นพอมองหน้าผู้หญิงคนนั้นเธอก็ตกใจ เพราะใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับตัวเธอเองอย่างกับกำลังส่องกระจก

วูบนั้น! เธอก็ถามว่า “ใครกัน เธอเป็นใครเหรอ?”

ผู้หญิงคนนั้นลืมตาขึ้นมองตอบ “ข้าคือเจ้าหญิงจันทรา”

แล้วทิวาก็เห็นเหมือนมีผู้หญิงอีกคนยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้ทิวาแล้วก็พูดว่า “ข้าคือเทพีจันทรา โปรดช่วยชาวนครจันทราด้วย”

ทิวาทำหน้างง แล้วก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่มันขยับไปขยับมา

เธอก้มลงมองตัวเองแล้วก็เห็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตกับกระโปรงค่อยๆสลายวิ่งเป็นสายไปหาผู้หญิงที่บอกว่าเป็นเจ้าหญิง แล้วเสื้อผ้าของเจ้าหญิงก็กำลังสลายวิ่งเป็นสายมาล้อมรอบตัวเธอ

“เอ๋!” เธอมองอย่างงงๆ

แล้วเทพีจันทราก็บอกว่า “ถึงเวลาแล้ว”

จากนั้นแสงสว่างก็สว่างวาบจนแสบตาไปหมด ทิวายกมือป้องตาพยายามมองฝ่าแสงออกไป “เดี๋ยว!” แล้วทุกอย่างก็ดับมืดไป

ส่วนทางด้านตะวันกับอารยะ พอแสงหายไปแล้วทั้งสองก็หันไปมองทิวาอย่างเป็นห่วง

สุริยุปราคาก็เคลื่อนตัวออกอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ากลับมาสว่างไสวดังเดิม

อารยะเห็นน้องนอนฟุบอยู่กับพื้นก็ตกใจ!” ยัยวา!” เขากระโจนพรวดเข้าไปประคองน้องสาว

ตะวันก็รีบเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง “ทิวา!”

อารยะตบแก้มเบาๆ “ยัยวาๆๆ”

ตะวันเหลือบเห็นเลือดที่ข้อมือทิวาก็ยิ่งตกใจ! “เฮ้ย! เลือด!”

อารยะมองตาม “เฮ้ย! เลือด!” แล้วเขาก็เขย่าเรียกอย่างตื่นตระหนก “ยัยวาๆๆๆ”

“พาส่งโรงบาลก่อนเถอะไอ้ยะ” ตะวันบอกแล้วก็รีบคว้ากระเป๋าที่ตกอยู่ข้างๆตัวทิวา

“เออ” อารยะพยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็รีบช้อนอุ้มตัวน้องสาวขึ้นมา

ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างก็แตกตื่นพากันยืนมุงดูอย่างอยากรู้

“ขอทางหน่อยครับๆ” ตะวันบอกเป็นภาษาอังกฤษพลางแหวกทางนำหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!