ตอนที่ 1022
หุบปาก
รังสีสังหารสาดประกายอยู่ในดวงตาเมิ่งฮ่าว และโทสะก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจ เขาไม่เคยมีความแค้นใดๆ กับหลี่หลิงเอ๋อร์ มีแต่การแข่งขันกันตามธรรมดาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันเอง
แม้แต่การตกลงเรื่องการแต่งงาน ก็เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนโน้น แม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะหลบหนีการแต่งงานมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขายินดีที่จะยืนนิ่งเฉย ในขณะที่หลี่หลิงเอ๋อร์ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายอันร้ายแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งกลิ่นอายของนางได้อ่อนแอลงอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้นางมีความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นนางเซียน แต่ตอนนี้นางกำลังหอบหายใจราวกับเป็นลมหายใจห้วงสุดท้ายของนาง ทำให้โทสะของเมิ่งฮ่าวลุกโชนขึ้นราวกับเป็นเปลวไฟที่เผาไหม้ไปตราบชั่วนิรันดร์
หลี่หลิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และต้องการจะตายไป แต่เมื่อนางมองเห็นเมิ่งฮ่าว ในทันใดนั้นเองแสงแห่งความหวังอันเลือนรางก็ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง การมาถึงของเมิ่งฮ่าวเป็นสิ่งที่นางคาดไม่ถึงมาก่อน
ในทันทีที่นางมองเห็นเขา ความต้องการมีชีวิตรอดก็ลุกโชนขึ้นมาในทันที
“เจ้านั่นเอง…เจ้ามองเห็นข้าได้จริงๆ?”
อี้ฝ่าจือจ้องมองไปด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นรอยยิ้มอันชั่วร้ายก็กระจายออกมาอยู่บนใบหน้า ราวกับว่าเมิ่งฮ่าวไม่มีความหมายใดๆ แม้แต่น้อย
ทันใดนั้นมันก็ยกมือขวาขึ้นมา กำเป็นหมัดและต่อยตรงไปยังใบหน้าที่งดงามของหลี่หลิงเอ๋อร์
มันต้องการจะสังหารหลี่หลิงเอ๋อร์ต่อหน้าเมิ่งฮ่าว!
อย่างไรก็ตามในทันใดนั้น กระถางสายฟ้าจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นอยู่ในมือเมิ่งฮ่าว เกิดเป็นประจุไฟฟ้าเต้นไปมา และเสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในความว่างเปล่า ขณะที่เขาสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกับหลี่หลิงเอ๋อร์อย่างฉับพลัน
แม้แต่อี้ฝ่าจือก็ยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาใดๆ ฉับพลันนั้นหลี่หลิงเอ๋อร์ก็ไปอยู่ที่ด้านบนของปรมาจารย์เอกะเทวะ จากนั้นกู๋อี่ติงซานอวี่ก็ได้คุกเข่าลงไป เอามือไปวางอยู่ที่หน้าผากของนาง และเริ่มทำการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับนาง
สำหรับเมิ่งฮ่าว ในทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้นในตำแหน่งเดิมของหลี่หลิงเอ๋อร์ เขามองเห็นหมัดกำลังพุ่งตรงมา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาโคจรหมุนวนพื้นฐานฝึกตน ทำให้พลังของชีพจรเซียนหนึ่งร้อยยี่สิบสามจุดระเบิดพุ่งขึ้นมา สวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้นตกลงมาด้วยพลังอันน่ากลัว ทั้งหมดนี้ได้พุ่งตรงไปยังอี้ฝ่าจือ
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไป และใบหน้าของอี้ฝ่าจือก็สลดลง มันรีบพุ่งถอยไปทางด้านหลัง หลบเลี่ยงจากการโจมตีมาของเมิ่งฮ่าว หมัดของมันได้กลายเป็นเวทผนึกขณะที่มันชี้นิ้วตรงไปยังเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นงูเหลือมสามหัวสีดำที่อยู่ด้านหลังของมันก็แผดร้องคำราม จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวราวกับว่าต้องการจะกลืนกินเขาลงไป
“เจ้ามาก็ดีแล้ว เดิมทีข้าได้เลือกเจ้าให้เป็นเครื่องสังเวยของข้า ดังนั้นวันนี้ของปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบการตายของเจ้า!”
อี้ฝ่าจือแหงนหน้าขึ้นและหัวเราะออกมา สีหน้ามันเต็มไปด้วยความยินดีขณะที่โบกสะบัดมือไป ทำให้งูเหลือมสามหัวสีดำเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกมาขณะที่มันพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
“มันไม่ได้มาจากขุนเขาทะเลที่เก้า!” หลี่หลิงเอ๋อร์ที่มีใบหน้าซีดขาว ได้ร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง ถึงแม้ว่านางจะได้รับการรักษาจากกู๋อี่ติงซานอวี่ แต่ก็ยังคงค่อนข้างจะอ่อนแออยู่
สำหรับปรมาจารย์เอกะเทวะ มันยังคงอยู่ห่างออกไปที่ด้านข้าง สายตากำลังเลื่อนมองไปมา เป็นเรื่องธรรมดาที่มันไม่ยอมจะช่วยเหลือ อันที่จริงมันยังคิดอีกด้วยว่าถ้าเมิ่งฮ่าวตายไป มันก็จะรีบหลบหนีไปในทันที
มันกำลังจะแอบหลบหนีไปอย่างเงียบๆ แต่เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดมือขึ้น ทำให้รอยแตกของเวทรุ่นห้าได้ปรากฏขึ้น และหมุนวนเป็นวงกลมอยู่รอบๆ ศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะ ทำให้มันรู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่งจนร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน และไม่กล้าที่จะขยับตัวแม้แต่ครึ่งชุ่น
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความต้องการสังหาร ในทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของหลี่หลิงเอ๋อร์ ก็มองไปยังอี้ฝ่าจือและดวงตาเริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้น ทำการร่ายเวทด้วยมือซ้ายและจากนั้นก็ชี้นิ้วออกไป
ทันใดนั้นศีรษะอสูรโลหิตก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ส่งเสียงแผดร้องคำรามออกไป ไม่ได้มีเพียงแค่ศีรษะเดียวเท่านั้น แต่มีทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบสามศีรษะ พวกมันโจมตีไป…ด้วยพลังทั้งหมดที่เมิ่งฮ่าวปลดปล่อยออกมา
ทันใดนั้นหนึ่งร้อยยี่สิบสามศีรษะอสูรโลหิตได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นศีรษะอสูรโลหิตที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังงูเหลือมสามหัวสีดำ ทั้งสองกระแทกเข้าหากันอยู่ในกลางอากาศ ทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดขนาดใหญ่ขึ้น ตามมาด้วยสายลมอันรุนแรงที่พุ่งออกไปทั่วทุกทิศทาง เมิ่งฮ่าวไม่ได้ถอยไปทางด้านหลัง แต่ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า ไปปรากฏตัวขึ้นอยู่ที่เบื้องหน้าของอี้ฝ่าจือและจากนั้นก็ต่อยหมัดออกไป
หนึ่งหมัดนั้นเต็มไปด้วยพลังเซียนที่อยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าว รวมทั้งความแข็งแกร่งของกายเนื้อเซียนแท้ของเขาทั้งหมด เป็นพลังที่สามารถจะเทียบได้กับพลังเวท และประกอบไปด้วยพลังทำลายล้างอันน่าเหลือเชื่อ
เกิดเป็นฝุ่นละอองลอยขึ้นไปในทั่วทุกทิศทาง และความว่างเปล่าก็แตกกระจายออกไป ดวงตาอี้ฝ่าจือเบิกกว้างขึ้น และรู้สึกได้ถึงอันตรายอันร้ายแรงจนทำให้จิตใจมันต้องสั่นสะท้าน มันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และในตอนนี้…มันก็รับรู้ได้อย่างแท้จริงถึงความแข็งแกร่งนั้นแล้ว
ในช่วงอันตรายที่วิกฤตนี้เอง อี้ฝ่าจือได้แหงนหน้าขึ้นและแผดร้องคำรามออกมา จากนั้นก็ทำการร่ายเวทพร้อมกันทั้งสองมือ ทันใดนั้นก็มีแสงกระจายออกไปทั่วร่างของมันกลายเป็นชุดเกราะป้องกัน ชุดเกราะนั้นมีสีทองและกระจายเป็นแสงอันไร้ขอบเขตออกมา ทำให้ดูเหมือนว่ามันคล้ายกับเป็นเซียนแท้มากไปกว่าเมิ่งฮ่าวซะอีก
หมัดของเมิ่งฮ่าวส่งเสียงดังก้องขึ้น ขณะที่กระแทกเข้าไปในชุดเกราะของอี้ฝ่าจือ ทันใดนั้นรอยแตกร้าวได้กระจายออกไปทั่วทั้งชุดเกราะ และอี้ฝ่าจือก็ลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลัง อย่างไรก็ตาม แทบจะในทันทีที่รอยแตกร้าวได้กระจายไปทั่วชุดเกราะ พวกมันก็ทำการซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาใหม่ เห็นได้ชัดว่าพลังของหนึ่งหมัดเมิ่งฮ่าวนั้น…ไม่อาจจะทำให้อี้ฝ่าจือต้องได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยแสงอันเย็นชาขึ้นมา
อี้ฝ่าจือหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งและจากนั้นก็กล่าวว่า “เมิ่งฮ่าว ใช่หรือไม่? เซียนแท้ ใช่หรือไม่? แล้วจะอย่างไร? เจ้าไม่อาจแม้แต่จะทำลายชุดเกราะสวรรค์ชั้นแรกของข้าไปได้! อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะมาต่อสู้กับข้า?!”
“เซียน? นี่คือสิ่งที่ถูกเรียกว่าเซียน?”
“ลองแสดงพลังเซียนอันน่ากลัวเมื่อครั้งในอดีตออกมา! ให้ข้าได้เห็นสิ่งที่ควรจะเป็นของเซียนบ้าง!” ขณะที่อี้ฝ่าจือหัวเราะ เมิ่งฮ่าวก็จ้องมองไปด้วยความตกตะลึงต่อสิ่งที่มันกำลังพูดออกมา เขาไม่อาจจะรับรู้ได้ถึงต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่อี้ฝ่าจือกำลังกล่าวออกมาแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่เข้าใจ? เจ้าไม่รู้จริงๆ? ข้าเข้าใจแล้ว สำหรับพวกเจ้าแล้ว เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดถูกถือว่าเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ คนเช่นพวกเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับรู้ถึงความจริงนั้น” เมื่ออี้ฝ่าจือเห็นสีหน้าของเมิ่งฮ่าว มันก็เริ่มหัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“หุบปาก!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ราบเรียบ ฉับพลันนั้นร่างกายก็แวบขึ้นกลายเป็นวิหคยักษ์สีทองพุ่งตรงไปยังอี้ฝ่าจือด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ไปอยู่ตรงร่างมันในชั่วพริบตา ตวัดกรงเล็บอันคมกริบราวกับเป็นใบมีดกรีดเฉือนออกไป
อี้ฝ่าจือหัวเราะอย่างเย็นชาและโบกสะบัดมือเพื่อเรียกวิชาเวทออกมา อย่างน่าตกใจยิ่งงูเหลือมเก้าหัวสีดำได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัวมัน ซึ่งได้แผดร้องคำรามและพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
ในเวลาเดียวกันนั้น สัญลักษณ์เวทก็ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาแต่ละข้างก็อี้ฝ่าจือ รวมทั้งบนหน้าผากของมันด้วย สามสัญลักษณ์เวทได้รวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นค่ายกลเวทพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในความว่างเปล่า ขณะที่เมิ่งฮ่าวกรีดเฉือนงูเหลือมสีดำออกเป็นชิ้นๆ และกระพือปีกตรงไปยังค่ายกลเวทที่พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นภูเขาจำนวนมากนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้น จากนั้นก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสายโซ่แห่งภูเขา จนดูคล้ายกับเป็นมังกรยักษ์จำนวนมาก
เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้นมา ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้มีการปะทะกันไปมานับสิบครั้งอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งที่ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวได้กระแทกลงไปบนร่างของอี้ฝ่าจือ เกราะป้องกันอันเจิดจ้าของมันก็จะทำการขัดขวางการโจมตีมาของเมิ่งฮ่าวไว้ได้
แสงอันดุร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาก้าวเดินตรงไป มังกรเซียนแผดร้องคำรามขึ้นมา และพวกมันก็พุ่งตรงไปยังอี้ฝ่าจือ
เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น และพื้นดินของเศษซากเซียนก็สั่นสะเทือนไปมา รูปปั้นและเศษชิ้นส่วนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้นนับไม่ถ้วน ถูกผลักให้กระเด็นลอยไปทางด้านหลัง
สีหน้าของอี้ฝ่าจือเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถอยไปทางด้านหลังในทันที และในเวลาเดียวกันนั้น มันก็ร้องตะโกนขึ้นว่า
“มนุษย์สู่ฟ้า, ฟ้าสู่ดิน, ดินสู่พฤกษา!” สองมือของอี้ฝ่าจือแวบขึ้นเพื่อขยับร่ายเวทพร้อมกัน ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นที่แปลกๆ กระจายออกไปทั่วร่างของมัน เกิดเป็นปีกสีดำขนาดใหญ่งอกออกมาจากแผ่นหลังของมันอย่างน่าตกใจยิ่ง กระจายเป็นแสงแปลกๆ ออกไป ดูเหมือนว่าพวกมันจะหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่ารอบๆ ตัว ทำให้ร่างกายมันดูแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ในเวลาเดียวกันนั้นคันธนูสีดำขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นอยู่ในมือของมัน
“สามกฎสังหารเซียน!” ในทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากของมัน สัญลักษณ์เวทนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้นบนเกราะป้องกันที่เรืองแสงของมัน ซึ่งได้หลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อตัวเป็นลูกธนูขึ้นมา!
คันธนูถูกดึงขึ้น และลูกธนูก็พุ่งออกไป!
ความว่างเปล่าสั่นสะเทือนไปมา และแตกกระจายออกไปอย่างรุนแรง ลูกธนูอันทรงพลังพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรงมายังเมิ่งฮ่าว
เมื่อได้เห็นลูกธนูพุ่งเข้าไปใกล้เมิ่งฮ่าว ก็ทำให้หลี่หลิงเอ๋อร์ต้องกระวนกระวายใจขึ้นเป็นอย่างมาก แต่นางก็ไม่อาจจะทำอะไรเพื่อช่วยเหลือได้ สำหรับนกแก้วและผีโต้ง รวมทั้งปรมาจารย์เอกะเทวะ ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก
เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงอย่างเย็นชา และยื่นมือขวาออกไป ปรากฏเป็นหอกยาวขึ้นมาอยู่ในมือ
หอกนั้นมีส่วนปลายเป็นสีขาว และตัวหอกถูกสร้างขึ้นมาจากต้นเจี้ยนมู่ ในทันทีที่มันปรากฏขึ้น สีสันแปลกๆ ก็แวบขึ้นมา และระลอกคลื่นอันไร้ขอบเขตก็กระจายออกไป จนดูเหมือนว่าได้ทำให้เศษซากเซียนเกิดเป็นความปั่นป่วนขึ้นไปทั่ว
เมิ่งฮ่าวพุ่งหอกออกไป ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ดังเต็มอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว หอกนั้นพุ่งผ่านความว่างเปล่าไปคล้ายกับเป็นมังกรสีขาว ทั้งลูกธนูและตัวหอกเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็ว จนทำให้เกิดเป็นคลื่นเสียงที่ดังก้องกังวานกระจายออกไปทั่วทั้งความว่างเปล่า ขณะที่พวกมันพุ่งผ่านไป ในชั่วพริบตาพวกมันก็กระแทกเข้าหากัน จนเกิดเป็นเสียงระเบิดขนาดใหญ่จนน่ากลัวดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง
“เมิ่งฮ่าว นี่คือพลังที่แท้จริงของเจ้า? การโจมตีของเจ้าไม่อาจจะทำลายเกราะป้องกันของข้าได้แม้แต่น้อย นี่คือพลังของเซียนแท้จริงๆ?”
แทบจะในทันทีที่หอกและลูกธนูได้กระแทกเข้าหากัน เมิ่งฮ่าวก็ก้าวเท้าตรงไป
“ลองดูว่าข้าจะทำลายมันได้อย่างไร” เขากล่าวเสียงราบเรียบ เมื่อเดินไปก้าวแรก เมิ่งฮ่าวก็ชี้นิ้วขวาออกไป ทำให้เกิดเป็นแสงอันเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ในชั่วพริบตา แสงนั้นก็ก่อตัวเป็นลูกทรงกลมแห่งแสงที่มีขนาดเท่ากำปั้น!
มันคือ…ดวงตะวัน!
ในทันทีที่ดวงตะวันปรากฏขึ้น ระลอกคลื่นอันน่าตกใจได้กระจายตัวออกไป แต่อี้ฝ่าจือก็ยังคงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามันไม่แยแสต่อดวงตะวันนั้นแม้แต่น้อย มันไม่ได้ล่าถอยออกไป แต่กลับเดินไปข้างหน้า และเผยให้เห็นถึงคันธนูและลูกธนูดอกที่สองขึ้นมา!
ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็เดินไปเป็นก้าวที่สอง และโบกสะบัดมือขวาขึ้นอีกครั้ง ทำให้ภาพของร่างสวรรค์อันน่าตกใจอีกร่างได้ปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านข้างของดวงตะวัน
มันคือ…ดวงจันทร์!
ดวงตะวันและจันทรา เริ่มโคจรหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดเป็นพลังอันมหาศาลระเบิดออกมา ดวงตาอี้ฝ่าจือเบิกกว้างขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็เดินไปเป็นก้าวที่สาม
ขณะที่เขาเดินตรงไป ก็ขยับมือร่ายเวทและชี้ออกไป อย่างน่าตกใจยิ่ง ภาพลวงตาของภูเขาได้ปรากฏขึ้นอยู่ระหว่างดวงตะวันและจันทรา!
มันคือ…ภาพสะท้อนของขุนเขาที่เก้า!
ดวงตะวันและจันทรากำลังโคจรไปรอบๆ ขุนเขาที่เก้า!
พลังอันมหาศาลได้พุ่งขึ้นมา ทำให้สีหน้าของอี้ฝ่าจือต้องสลดลงไปโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นความรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ก็เต็มอยู่ในจิตใจของมัน แทนที่มันจะก้าวเดินตรงไป ก็เริ่มถอยไปทางด้านหลังในทันที
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่มันก้าวถอยไปที่ด้านหลัง เมิ่งฮ่าวก็เดินไปเป็นก้าวที่สี่!
พร้อมกับก้าวที่สี่นั้น เขาได้โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในความว่างเปล่าขณะที่…ไข่มุกดำขาวได้ปรากฏขึ้น และเริ่มหมุนวนเป็นวงกลมอยู่รอบๆ ขุนเขาที่เก้า, ดวงตะวันและจันทรา!
พลังอันน่าหวาดกลัวได้สั่นกระเพื่อมไปมา ทำให้ดวงตาของอี้ฝ่าจือต้องเบิกกว้างขึ้น และมันก็รีบล่าถอยออกไปด้วยความตกใจ
“ผสานวิชาเวท! นั่น…นั่นเป็นเวทที่ซับซ้อน ซึ่งมีแต่ผู้แข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะสามารถควบคุมได้! เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?!?”
แม้ในขณะที่อี้ฝ่าจือพูดออกมา รังสีสังหารได้แวบขึ้นมาอยู่ในดวงตาเมิ่งฮ่าว
เขาโบกสะบัดมือขวาขึ้นไป ดวงตะวัน, จันทรา และไข่มุกดำขาว โคจรหมุนวนไปรอบๆ ขุนเขาที่เก้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พุ่งตรงไปยังอี้ฝ่าจือด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
ความรวดเร็วเช่นนั้นเป็นสิ่งที่อี้ฝ่าจือไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้ มันกัดฟันแน่น แผดร้องคำรามออกมา และขยับร่ายเวทพร้อมกันทั้งสองมือ จากนั้นก็ผลักออกไปที่เบื้องหน้า ทันใดนั้นชุดเกราะเรืองแสงก็เริ่มกระจายแสงอันเจิดจ้าออกมา ขณะที่มันใช้พลังทั้งหมดเท่าที่สามารถจะรวบรวมขึ้นมาได้เพื่อทำการขัดขวางการโจมตีในครั้งนี้
เสียงกระหึ่มดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง ดวงตะวันและจันทราพังทลายลงไป และขุนเขาที่เก้าก็กระจัดกระจายหายไป ไข่มุกดำขาวแตกกระจายไป อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เกราะเรืองแสงทั้งหมดของอี้ฝ่าจือก็แตกกระจายออกไปทีละชั้น ทีละชั้น
อี้ฝ่าจือกระอักโลหิตออกมาเป็นจำนวนมาก และความตื่นตระหนกก็เต็มอยู่บนใบหน้าของมัน เมื่อมันกำลังจะหลบหนีไปทางด้านหลังอย่างสุดกำลัง เมิ่งฮ่าวก็เดินไปเป็นก้าวที่ห้า สีหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและความต้องการที่จะเข่นฆ่าสังหาร
ในตอนนี้เองที่เสียงเก่าแก่โบราณได้ดังก้องออกมา คล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำราม ดังมาจากทางด้านหลังที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ยั้งมือด้วย!”
นกแก้วกระพริบตา และขนของมันก็ลุกตั้งชี้ชันขึ้น ผีโต้งเริ่มสั่นสะท้าน และปรมาจารย์เอกะเทวะก็หันหน้าไปมอง ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน