Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1325

ตอนที่ 1325

จิตใจของเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวค่อนข้างสะท้านใจ หลังจากที่ออกมาจากดาวหนานเทียน และเดินทางไปในอาณาจักรขุนเขาทะเล เขาไม่เคยลืมความเมตตาที่โฉ่วเหมินไถเคยมอบโชควาสนาให้กับตนเองมาก่อน และไม่เคยลืมคำสัญญาที่เกี่ยวข้องกับดาวหู่เหลาด้วยเช่นกัน

เมิ่งฮ่าวคิดจะไปส่งมอบมรดกของโฉ่วเหมินไถบนดาวหู่เหลาอยู่เสมอ เขาไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่ถูกเรียกว่ามรดกนี้จริงๆ แล้วก็คือสิ่งหลอกลวง ทั้งหมดนี้เป็นกลอุบายทั้งสิ้น

เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เขายอมรับการถูกหลอกลวงได้ แต่ไม่อาจจะยอมรับการคงอยู่ของค่ายกลเวทเช่นนี้ได้ ต่อให้มันไม่มีโอกาสที่จะทำร้ายอาณาจักรขุนเขาทะเล แต่ตนเองต้องรับผิดชอบต่อขุนเขาทะเล และได้เห็นโศกนาฏกรรมของสงครามครั้งนี้ด้วยสองตาของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นสงครามในครั้งนี้ก็เปลี่ยนแปลงเขาไปเรียบร้อยแล้ว

เขาเติบใหญ่ขึ้น

ดังนั้นปฏิกิริยาแรกที่ได้เห็นค่ายกลเวทนี้ ก็ไม่สนใจว่ากรรมจะก่อตัวขึ้นมา ถ้าตนเองไปทำลายคำสาบานและกำจัดค่ายกลเวทนี้ไป

อย่างไรก็ตาม…ในเวลาเดียวกันนี้ คำพูดของโฉ่วเหมินไถก็ทำให้เมิ่งฮ่าวเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา ตอนนี้จิตใจเขากำลังหมุนคว้าง และดวงตาก็เริ่มกลายเป็นสีแดงจ้า

“ข้า, โฉ่วเหมินไถขอสาบานด้วยวิญญาณของตนเองว่า ถ้าสิ่งที่ข้าพูดไม่เป็นความจริง…ไม่ว่าข้าจะอยู่หรือตายไป ก็ไม่มีทางจะได้พบกับจู่เหรินอีก!” ความบ้าคลั่งในน้ำเสียงของโฉ่วเหมินไถเพิ่มมากขึ้น และความสัตย์ซื่อมุ่งมั่นของมัน ก็ทำให้คำอ้อนวอนนั้นยิ่งน่าเห็นใจมากขึ้นกว่าเดิม

อันที่จริงขณะที่มันพูด เมิ่งฮ่าวก็รับรู้ได้ถึงความผันผวนของคำสาบานที่ทรงพลังอย่างเลือนลาง และรู้สึกได้ถึงกรรมที่กำลังก่อตัวขึ้นมาอยู่ภายในยอดเขาและค่ายกลเวทนี้

ทั้งหมดนั้นเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่โฉ่วเหมินไถพูดออกมาเป็นความจริง

ตอนแรกเมิ่งฮ่าวไม่เอ่ยคำใดๆ เขาไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยมเลือดเย็น และโฉ่วเหมินไถก็เคยมอบโชควาสนาให้กับตนเองเมื่อในอดีต ถ้าให้เลือก เขาจะไม่ยอมทำลายความหวังของคนผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังได้สาบานด้วยวิญญาณของตนเองอีกด้วย

“เจ้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น

“ไม่สำคัญว่าข้าสามารถทำได้อย่างไร แค่เลือกผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ออกมาผู้หนึ่ง ที่เหลือข้าจะจัดการเอง!” จากน้ำเสียงของมัน ก็ดูเหมือนว่าโฉ่วเหมินไถกำลังโยนความระมัดระวังตัวทั้งหมดทิ้งไปในสายลม แน่นอนว่าเวทต่อต้านสวรรค์เช่นนั้นต้องมาพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว จนยากที่จะเข้าใจได้

“ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ตราบเท่าที่ข้ายังคงมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือกระตุ้นเครื่องหมายผนึกนี้…และท่านก็สามารถจะทำการผนึกได้!” สัญลักษณ์เวทที่เรืองแสงอย่างลี้ลับ ลอยออกมาจากภายในภูเขา มาอยู่ตรงหน้าเมิ่งฮ่าว

สัญลักษณ์เวทนั้นส่องประกายระยิบระยับและเต้นไปมา ระลอกคลื่นความผันผวนกระจายออกมาจากด้านในสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ไม่อาจจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน และมีการเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ภายในนั้น เมิ่งฮ่าวมองไปยังสัญลักษณ์เวทอยู่ชั่วขณะ จากนั้นดวงตาก็แวบขึ้นด้วยความมุ่งมั่น โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป เก็บสัญลักษณ์เวทนั้นไว้ จากนั้นก็มองไปยังภูเขาเป็นเวลานานก่อนที่จะหันหลังจากไป

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวสามารถจะบอกได้ว่าทำไมดาวหู่เหลา ถึงยังคงอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ภายในขุนเขาทะเลที่เจ็ด เหตุผลที่ทำไมมันถึงไม่ถูกทำลายไป ไม่ใช่เนื่องมาจากอวี่เหวินเจียนและกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นๆ

ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ… เนื่องมาจากค่ายกลเวทที่อยู่ภายในภูเขา และพลังที่ยังหลงเหลืออยู่ของโฉ่วเหมินไถ ซึ่งคอยปกป้องดาวดวงนี้ไว้ทั้งหมด

เนื่องจากพลังแห่งการปกป้องนั้น ถึงแม้ว่าพื้นผิวของดาวดวงนี้จะเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว แต่ก็ยังคงอยู่เป็นชิ้นเดียวกัน ขณะที่ค่ายกลเวทจะคอยปกป้องทั้งภูเขาและดวงดาว

เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปหนึ่งก้าว และห่างไกลออกไปอย่างรวดเร็ว “ต้องเป็นคนเช่นใดถึงจะทำให้ข้ารับใช้ยอมอุทิศตนเอง มุ่งมั่นแต่การฟื้นคืนชีพมันขึ้นมาได้เช่นนี้…?”

เมื่อเมิ่งฮ่าวจากไป เงาร่างอันเลือนรางร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอยู่ภายในค่ายกลเวท มันคือโฉ่วเหมินไถ และดูเหมือนว่ากำลังจะจางหายไป มันกำลังจ้องมองไปยังค่ายกลเวทด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งหวังและการหวนรำลึกถึงความหลัง

“เพื่อคนอื่นแล้ว ท่านต้องหลับไปตราบชั่วนิรันดร์…เมื่อข้ากลับมา ก็ไม่อาจจะพบท่านอีกแล้ว…” โฉ่วเหมินไถพึมพำ ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ขณะที่ค่อยๆ นั่งลงไปในค่ายกลเวทอย่างช้าๆ

“ได้โปรดกลับมา…จู่เหรินของข้า…”

ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินทางห่างไกลออกไป ก็พบว่าผีโต้งโผล่ออกมาจากถุงสมบัติในตอนไหนไม่รู้ได้ มาเกาะอยู่บนไหล่มองกลับไปยังภูเขา จากนั้นนกแก้วก็บินออกมาเกาะอยู่บนไหล่อีกข้าง และมองไปทางด้านหลังด้วยเช่นกัน

เป็นช่วงเวลาที่หายากยิ่ง ที่ทั้งสองตัวนี้ไม่ได้สร้างความวุ่นวายขึ้นมา

ผีโต้งถอนหายใจและกล่าวว่า “บางทีในสายตาของคนผู้นั้น โฉ่วเหมินไถผู้นึ้คงไม่ใช่ข้ารับใช้อีกต่อไปแล้ว เมิ่งฮ่าว ถ้าเจ้าพบจุดจบในสักวันหนึ่ง ข้าจะเป็นเหมือนกับโฉ่วเหมินไถ ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อฟื้นคืนชีพเจ้าหรือไม่? เฮ้อ นั่นเป็นคำถามที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่ง…อู่เกอ (พี่ห้า) ท่านคิดว่าอย่างไร?”

เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง คำพูดของผีโต้งนี้ ทำให้ผู้คนต้องเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้ยินออกมาจากปากของผีโต้งก็ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปบ้าง

“อู่เหยียกลับคิดไปถึงคำถามที่แตกต่างกันออกไป…ถ้าอู่เหยียพบกับจุดจบ

เมิ่งฮ่าว…เจ้าจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่? เจ้าจะพยายามชุบชีวิตข้าหรือไม่?” นกแก้วมองไปยังเมิ่งฮ่าว ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดจริงจัง

“แน่นอน!” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา นกแก้วและผีโต้งติดตามตนเองมานานมากแล้ว ดังนั้นในจิตใจของเขา ไม่ได้มองว่าพวกมันเป็นแค่ข้ารับใช้อีกต่อไป

“แต่อู่เหยียไม่ตาย และไม่อาจจะสังหารไปได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้น ฮา ฮา ฮา!” นกแก้วหัวเราะเป็นเสียงดัง ขณะที่มันหัวเราะ ร่องรอยแห่งความโศกเศร้าเสียใจก็มองเห็นได้แววตา แต่ก็แวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว นกแก้วรีบกลับคืนสู่สภาพเดิมในทันที

เมิ่งฮ่าวเงียบไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามักจะมี…ปมบางอย่างอยู่ภายในใจ จนไม่กล้าแม้แต่จะขบคิด เพราะไม่รู้ว่าตนเองควรจะเลือกอย่างไรดี

เขาเข้าใจถึงสาเหตุของสงครามแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลได้อย่างเลือนรางว่า มันต้องมาจาก…กระจกทองแดง!

ถ้าเขาส่งมอบกระจกทองแดงออกไป อาจจะทำให้…สงครามนี้สิ้นสุดลงก็เป็นได้?

เป็นคำถามที่เมิ่งฮ่าวไม่กล้าแม้แต่จะขบคิด ครอบครัวของตนเองอาศัยอยู่ในอาณาจักรขุนเขาทะเล เช่นเดียวกับสหายทั้งหลาย ท่านอาจารย์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ…แต่ในอีกด้านหนึ่ง กระจกทองแดงก็อยู่กับตนเองมาตั้งแต่เข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะในวันแรกๆ ติดตามตนเองมาและช่วยให้ก้าวหน้าขึ้นจากการเป็นแค่นักศึกษาจนถึงจุดสูงสุดในตอนนี้

สำหรับนกแก้ว ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจมันมากนัก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันก็ติดตามเขามาโดยตลอด เขาคงจะทนไม่ได้ถ้าต้องแยกจากมันไป

“ถ้าต้องละทิ้งนกแก้ว หรือละทิ้งอาณาจักรขุนเขาทะเล…บางทีข้าอาจจะมีทางเลือกเดียวเท่านั้น ก็คือ…ละทิ้งตนเอง”

เมิ่งฮ่าวแอบถอนหายใจ นี่เป็นคำถามที่ตนเองไม่ต้องการจะขบคิด เพราะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง เขาต้องถูกบังคับให้ตัดสินใจเช่นนั้น ใครจะไปรู้ได้ว่าเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายมากแค่ไหน เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือก

“ข้าต้องแข็งแกร่งมากขึ้น!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกายเจิดจ้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่บังคับให้ตนเองหยุดคิดเกี่ยวกับคำถามที่น่าเจ็บปวดใจเช่นนี้ จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล

ผีโต้งนั่งอยู่บนไหล่เมิ่งฮ่าวอย่างเงียบๆ นกแก้วที่ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจเรื่องราวใดๆ แม้แต่น้อย ก็ยังเงียบไปอย่างผิดปกติ ขณะที่กลายเป็นริ้วแสงหลากสี พุ่งเข้าไปในกระจกทองแดงที่อยู่ในถุงสมบัติของเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวเดินทางต่อไปอย่างเงียบๆ ถอนหายใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อครุ่นคิดไปถึงโชคชะตาอันลี้ลับที่ยากจะเข้าใจได้ ในตอนนี้เขาวิตกกังวลเกี่ยวกับครอบครัว และคิดถึงสวี่ชิงอยู่ลึกๆ ในจิตใจ

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เดินทางกลับมายังอวี่เหวินเจียน ที่กำลังนั่งขัดสมาธิรอคอยเขาอยู่ที่นั่น แทนที่จะเสียเวลาพูดจา เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังมันและกล่าวขึ้นมาแค่หนึ่งประโยคเท่านั้น

“นำข้าไปยัง…สถานที่ที่เจ้าเคยพูดถึง หุบเขาสุสานเทพ!”

ดวงตาอวี่เหวินเจียนสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าและลุกขึ้นมายืน เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป และคนทั้งสองก็กลายเป็นลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวด้วยความรวดเร็วสูงสุด

โดยปกติแล้วอวี่เหวินเจียนไม่อาจจะไล่ตามเมิ่งฮ่าวทันได้ ดังนั้นเขาจึงส่งพลังไปให้มัน ทำให้คนทั้งสองเดินทางไปยังตำแหน่งที่อวี่เหวินเจียนบ่งบอกได้พร้อมกัน

“ข้าจำเป็นต้องแข็งแกร่งมากขึ้น ช่วยให้สามารถสังหารจนเป็นเส้นทางออกไปจากโชคชะตาอันลี้ลับของตนเองได้!” มีบางสิ่งบางอย่างที่ดูเยือกเย็นน่ากลัวเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ ท่าทางเยาว์วัยไร้เดียงสาจากก่อนหน้านี้จางหายไปจนหมดสิ้น มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็คือ ความโศกเศร้าและเจ็บปวดใจอันเนื่องมาจากการได้เห็นโศกนาฏกรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในอาณาจักรขุนเขาทะเล

ขุนเขาทะเลที่เจ็ดในตอนนี้แทบจะตกอยู่ในกำมือของกลุ่มคนนอกคอกโดยสิ้นเชิง พวกมันยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวด้วยลูกบาศก์สีดำสนิทของพวกมัน ทำให้เกิดเป็นแรงกดดันกระจายออกไปในทั่วทุกทิศทางเพิ่มมากขึ้น

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวและอวี่เหวินเจียนก็ไปปรากฏกายขึ้นตรงทิศตะวันออกเฉียงใต้ของขุนเขาทะเลที่เจ็ด สถานที่แห่งนั้นเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ที่ห่างไกลออกไปเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยลูกบาศก์สีดำนับร้อย

พวกมันลอยไปมาอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว สายฟ้าเต้นไปมาอยู่รอบๆ พื้นผิวของมัน มองเห็นภาพของกลุ่มคนนอกคอกกำลังเดินทางเข้าออกอยู่ภายในลูกบาศก์เหล่านั้น

แทบจะดูเหมือนว่าพวกมันกำลังก่อตัวเพื่อสร้างเป็นค่ายกลเวท…

“หุบเขาสุสานเทพอยู่ตรงเบื้องหน้าขึ้นไป เป็นรอยแตกในห้วงอวกาศที่อยู่ภายในเศษซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่ของสนามรบโบราณ มีเส้นใยแห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนอยู่ข้างในนั้น ซึ่งสามารถจะสังหารเจ้าไปได้ ก่อนที่จะทันได้พบเห็นพวกมัน…” อวี่เหวินเจียนกล่าวขึ้น

“หุบเขาสุสานเทพคือหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายมากที่สุดในขุนเขาทะเลที่เจ็ด ครั้งที่แล้วข้าเข้าไปได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ก็มีโอกาสได้รับโลหิตเทพที่ไม่บริสุทธิ์มาหนึ่งหยด ทำให้กายเนื้อของข้าทะลวงผ่านขึ้นไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!”

อวี่เหวินเจียนอยู่ภายใต้การปกป้องจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว ขณะที่คนทั้งสองลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว นอกจากจักรพรรดิเต๋าหกแก่นแท้ขั้นสูงสุด หรือผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถจะรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของคนทั้งสอง “หลังจากที่สวรรค์ชั้นแรกตกลงมา นี่คือสถานที่แห่งแรกที่ถูกครอบครองโดยกลุ่มคนนอกคอก!”

“ข้าคิดว่าคงมีกลุ่มคนนอกคอกไม่น้อยที่เข้าไปข้างในแล้วตอนนี้ บางทีพวกมันอาจจะสนใจในโลหิตเทพด้วยเช่นกัน…”

เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังที่ห่างไกลด้วยความเยือกเย็น รับรู้ได้ถึงความผันผวนของผู้แข็งแกร่งทรงพลังที่กระจายออกมาจากลูกบาศก์สีดำจำนวนมากเหล่านั้น นอกจากนี้ค่ายกลเวทที่ก่อตัวขึ้นมาจากลูกบาศก์เหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยพลังอันน่าตกใจของมันเอง

บริเวณรอบๆ หุบเขาสุสานเทพเต็มไปด้วยกลุ่มคนนอกคอกโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้แข็งแกร่งหกแก่นแท้อยู่ที่นั่น แต่ก็ต้องมีผู้แข็งแกร่งห้าแก่นแท้อย่างแน่นอน เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงสี่คนจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง

และนั่นก็ยังไม่ได้นับรวมไปถึงกลุ่มคนนอกคอกที่ผ่านเข้าไปในหุบเขาสุสานเทพอีกด้วย ซึ่งอยู่นอกเหนือจากการสำรวจด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา

เมิ่งฮ่าวหันหน้าไปมองยังอวี่เหวินเจียนและกล่าวว่า “พี่อวี่เหวิน สถานที่แห่งนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าท่านน่าจะรอคอยอยู่ที่นี่…”

อวี่เหวินเจียนลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ความมุ่งมั่นจะสาดประกายขึ้นในแววตา และส่ายหน้า

“สงครามครั้งนี้ สามสิบสามสวรรค์ไม่ไว้ชีวิตแม้แต่มนุษย์ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าพวกมันคิดจะกวาดล้างพวกเราไปทั้งหมด…พวกมันต้องการจะกำจัดสายโลหิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรขุนเขาทะเลไป”

“ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า ถ้ารังนกพลิกคว่ำ ก็ไม่มีไข่สมบูรณ์หลงเหลืออยู่!”

อวี่เหวินเจียนกำหมัดจนแน่น

“ข้าต้องแข็งแกร่งกว่านี้! ข้าต้องทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนไปให้ได้! ข้ามีเวทกลั่นสกัดร่างกาย ที่สามารถใช้โลหิตเทพมาสังเวยพลังชีวิตบางส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนกับกายเนื้ออาณาจักรเต๋าหนึ่งร้อยปี!”

“ข้า, อวี่เหวินเจียนเป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้น ถึงแม้ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้แค่หนึ่งร้อยปี หลังจากที่ก้าวเข้าไปในเต๋า ข้าก็ต้องทำหน้าที่ให้เหมาะสมกับตำแหน่งลำดับขั้น!” ดวงตาอวี่เหวินเจียนสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า และภายในม่านตาก็ดูเหมือนว่าจะลุกโชนขึ้นมาด้วยเปลวไฟ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!