Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1429

ตอนที่ 1429

มองไปยังโลกไร้ที่สิ้นสุด

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวบูดบึ้งขณะที่พุ่งผ่านอุโมงค์ไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด ถ้ามีใครสามารถจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงด้านล่างของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกนี้ ก็จะเห็นว่าภาพในอุโมงค์ที่ยาวไกลนั้นมีห้องศิลาอยู่สี่แห่ง

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังมุ่งหน้าผ่านอุโมงค์ตรงขึ้นไปยังพื้นดิน เวลาเดียวกันนั้นก็เข้าไปใกล้กับห้องศิลาแห่งที่สี่อย่างรวดเร็ว และเป็นห้องสุดท้ายด้วยเช่นกัน

ดวงตาเมิ่งฮ่าวกลายเป็นสีแดงก่ำ และเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ความคิดนับไม่ถ้วนวิ่งผ่านไปมาในจิตใจ และเริ่มสับสนวุ่นวายเพิ่มมากขึ้น เขากำลังกระวนกระวายมากขึ้นอีกด้วย

จนกระทั่งในวันหนึ่ง ห้องศิลาแห่งที่สี่ก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า เมิ่งฮ่าวเคลื่อนที่ช้าลงมาหยุดอยู่ที่นอกห้อง ยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เพื่อทำจิตใจให้เยือกเย็นลง จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในห้องพร้อมกับดวงตาที่สาดประกายขึ้นมา

เมิ่งฮ่าวมองเห็นสิ่งที่อยู่ในภาพวาดของห้องศิลาแห่งที่สี่นี้อย่างฉับพลัน

ในทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องและมองไปยังภาพวาดนั้น ม่านตาก็พร่าเลือนไป เมื่อเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เขากำลังมองไปยังความมืดมิดสีดำสนิท

ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีดำไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีแม้แต่ประกายแสงอันริบหรี่ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความมืดมิดอันไร้ขอบเขตขยายยืดยาวออกไปอย่างไม่รู้จบ แต่เหมือนกับเป็นสิ่งกีดขวางบางอย่าง กำลังปิดกั้นเส้นทางที่เบื้องหน้า คล้ายกับเป็น…จุดสิ้นสุดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

ภายในความมืดมิดนั้น เมิ่งฮ่าวมองเห็นเสาสี่แท่งที่ดูเหมือนว่าจะคอยค้ำจุนโลกอยู่ ที่กำลังกระจายออกมาจากเสาเหล่านั้น พุ่งออกไปในทั่วทุกทิศทางเป็นความผันผวนที่น่าตกใจ

เมื่อมองไปยังเสาเหล่านั้น จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง และเริ่มหอบหายใจออกมา จิตใจหมุนคว้างด้วยความตกใจเมื่อพบว่าที่อยู่ด้านหลังตนเองคือ…กระแสน้ำวนขนาดใหญ่

กระแสน้ำวนนั้นมีขนาดใหญ่โตมหาศาล มองไปแค่แวบเดียวก็ดูเหมือนเป็นรูปทรงกลมขนาดใหญ่ แต่ถ้าตรวจสอบดูให้ละเอียดมากขึ้นก็จะพบว่ากระแสน้ำวนนั้นจริงๆ แล้วก็ถูกสร้างขึ้นมาจากกลุ่มเมฆและสายหมอกอย่างไร้จุดสิ้นสุด

เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังกระแสน้ำวนรูปทรงกลมนั้น ก็สังเกตเห็นว่ามีสถานที่บางแห่งที่ดูคล้ายคลึงกัน

“ข้าอยู่ที่ด้านนอก…ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ

ทันใดนั้นความปรารถนาก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ เมิ่งฮ่าวเพ่งมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่งของกระแสน้ำวนนั้น และขยายภาพเข้าไป พุ่งผ่านกลุ่มหมอกเข้าไปชั้นแล้วชั้นเล่า ก่อนที่จะไปหยุดอยู่ตรงตำแหน่งภายในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย

มองเห็นกระแสน้ำวนแห่งหนึ่งอยู่ที่นั่น กำลังหมุนวนไปอย่างช้าๆ เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไป ก็เห็น…บริเวณที่แตกร้าวและฉีกขาด เต็มไปด้วยซากศพ, เศษซากปรักหักพัง และเถ้าธุลี

“อาณาจักรขุนเขาทะเล…” เมิ่งฮ่าวคิดด้วยจิตใจที่ปวดร้าวราวกับถูกแทงด้วยคมมีด มันคือตำแหน่งดั้งเดิมของอาณาจักรขุนเขาทะเล แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นอยู่ที่นั่นกลายเป็นอดีตไปแล้ว

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็มองไปทางอื่น ตามความต้องการของจิตใจ สายตากวาดผ่านไปยังอีกทิศทางหนึ่ง เป็นสถานที่ซึ่งมีเวทผนึกอันแข็งแกร่งติดตั้งอยู่ วานรตัวหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงด้านนอกของสถานที่แห่งนั้น ไม่รับรู้ถึงสายตาของเมิ่งฮ่าวแม้แต่น้อย

ด้านล่างของวานรนั้นคือ…ดินแดนอันกว้างใหญ่จำนวนมาก มีทั้งหมดสามสิบสามแห่ง พวกมันคือสามสิบสามสวรรค์ คล้ายกับเป็นกำแพงสามสิบสามชั้น ตรงด้านล่างลงไปเป็นกระแสน้ำวนแห่งหนึ่ง ภายในกระแสน้ำวนคือโลงศพสีเขียว บนโลงศพเกาะไว้ด้วยผีเสื้อตัวหนึ่ง ปีกของมันกระพือขึ้นลงอย่างแผ่วเบา

ในทันทีที่มองเห็นผีเสื้อตัวนั้น จิตใจเมิ่งฮ่าวก็เต้นรัวขึ้นมา มองเห็นบิดามารดาอยู่ที่นั่นได้อย่างเลือนราง กำลังแอบอิงอยู่ในวงแขนซึ่งกันและกัน เมิ่งฮ่าวขยายภาพลงไปอีกครั้ง ต่อมาเขาก็มองเห็นโลกแห่งหนึ่ง

มีใบหน้าที่ดูคุ้นเคยอยู่มากมายในโลกแห่งนั้น พี่สาว, ซุนไห่ และเจ้าอ้วน…

บนภูเขาแห่งหนึ่ง เขามองเห็นหญิงสาวรูปร่างผอมผู้หนึ่งซึ่งก็คือสวี่ชิง

เมิ่งฮ่าวอยากจะมองดูให้มากกว่านี้ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้า ม่านตาพร่าเลือนไป และจากนั้นภาพก็เลื่อนกลับออกมา ราวกับว่าเขากำลังถูกขับไล่ออกมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต

ในช่วงสุดท้ายก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะจางหายไปโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็มองไปยังชางหมางพ่าย ที่แห่งนั้นตรงด้านนอกของดาวชางหมาง เป็นสถานที่ซึ่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวถูกทำลายและกลายเป็นเศษซากปรักหักพัง ไม่มีกลุ่มหมอกอันไร้ขอบเขตอยู่ที่นั่น มีแต่รอยแตกเท่านั้น หลังจากที่มองเข้าไปในรอยแตก ก็เห็นดินแดนอันกว้างใหญ่เก้าแห่งก่อตัวกันเป็นสุสานแห่งหนึ่ง!

เขาไม่อาจจะมองเห็นตนเองอยู่ในห้องศิลาตรงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก แต่สามารถจะมองเห็นกลุ่มคนที่กระจัดกระจายกันออกไป มีเจ้าสำนัก, บุรุษหนุ่มชุดสีทอง, เงาร่างที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยกลุ่มทราย, ตี้ลิ่วจื้อจุนและตี้ปาจื้อจุน รวมทั้งคนอื่นๆ ทั้งหมด…

เมิ่งฮ่าวสามารถมองเห็นว่าตรงจุดศูนย์กลางของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก ที่ซึ่งเจ้าสำนักกำลังอยู่ในตอนนี้ เป็นแท่นบูชาที่กระจายกลิ่นอายอันโดดเด่นออกมาคล้ายกับเป็นจุดสูงสุด!

เมิ่งฮ่าวเริ่มหมุนคว้างขณะที่สติสัมปชัญญะและภาพที่เห็นย้อนกลับมาสู่ตำแหน่งในตอนแรก

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่มองไปยังกระแสน้ำวนรูปทรงกลมอีกครั้ง จากนั้นจิตใจก็หมุนคว้าง ย้อนกลับมาอีกครั้ง ขณะที่มองไปยังเสาอันน่าประหลาดใจทั้งสี่

เมิ่งฮ่าวรู้ว่าเสาทั้งสี่คืออะไร เขาเคยเห็นพวกมันจากในภาพวาดกลุ่มที่สอง พวกมันคือดรรชนีทั้งสี่ที่เหลืออยู่ของหลัวเทียนหลังจากที่มันตายไป!

ภายในภาพวาดกลุ่มที่สาม เมิ่งฮ่าวเคยเห็นหนึ่งในดรรชนีเหล่านั้น ทำลายโลกที่เจริญรุ่งเรืองและสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่ภายในโลกแห่งนั้นไป

“ที่แห่งนี้คือความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และกระแสน้ำวนลูกทรงกลมนี้ก็คือความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ซึ่งมีข้าอยู่ด้านใน” เมิ่งฮ่าวหอบหายใจ ทันใดนั้นก็คิดไปถึงสิ่งที่เคยรู้มา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกับสิ่งที่ตนเองกำลังมองเห็นอยู่นี้

“ชางหมางพ่ายคือสาขาของชางหมางเต้า ซึ่งตั้งอยู่ตรงด้านนอก ตี้จิ่วจื้อจุนมาจากที่แห่งนั้น แต่ถ้าตอนนี้ข้าอยู่ที่ด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต แล้วชางหมางเต้าอยู่ที่ไหน…?”

“บางทีข้าอาจจะอยู่ในห้วงเวลาที่แตกต่างกัน…? แต่ทำไมถึงสามารถจะมองเห็นผีเสื้อขุนเขาทะเล และสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตได้?” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ต้องการจะเข้าไปใกล้เสาทั้งสี่ เพื่อศึกษาดูพวกมัน แต่เมื่อพยายามจะเคลื่อนที่ออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลือนรางลงไป หลังจากที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่ได้เข้าไปใกล้เสาทั้งสี่ แต่กลับเข้ามาในห้องศิลาที่สี่แทน

ในตอนนี้ตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ภายในร่างเงียบสงบลง ความรู้สึกว่ากำลังถูกร้องเรียกจางหายไป ราวกับว่าสิ่งที่กำลังติดต่อกับตะเกียงสัมฤทธิ์ก็คือภาพวาดทั้งสี่กลุ่มเหล่านี้

ตอนนี้เมื่อเมิ่งฮ่าวเพ่งมองไป ตะเกียงสัมฤทธิ์ก็เริ่มสงบนิ่งลงอีกครั้ง

“ถ้าท่านคือปรมาจารย์ชางหมางจริง เช่นนั้นข้อความที่ต้องการจะส่งต่อให้กับข้าผ่านทางภาพวาดเหล่านี้…ข้าได้รับแล้ว” หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

ตอนนี้เมื่อเมิ่งฮ่าวได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในภาพวาด ก็เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างลึกล้ำเกี่ยวกับอาณาจักรเทพ, อาณาจักรมาร, ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และการทำลายล้างของอาณาจักรขุนเขาทะเล

ยังมีนามที่เขาไม่อาจจะลืมเลือนได้อีกด้วย หลัวเทียน!

และยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘หลัวเทียนหวาดกลัวเซียน!’

เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นมายืน หลังจากที่หลับตาลงก็ทำจิตใจให้เยือกเย็น จากนั้นก็เก็บความสงสัยเคลือบแคลงใจต่างๆ ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็ดูเหมือนกับก่อนที่เขาจะมองเห็นภาพวาดเหล่านั้น จากนั้นก็ออกจากห้องไป

เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านไปอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็บรรลุถึงจุดสิ้นสุดของอุโมงค์ ซึ่งมีบันไดนำขึ้นไปสู่พื้นผิวดินที่ด้านบน เมื่อเขาโผล่ขึ้นมาก็มองไปรอบๆ และพบเห็นซากปรักหักพังที่ยืดยาวออกไปอยู่รอบๆ ตัวในทั่วทุกทิศทาง

เมิ่งฮ่าวอยู่ตรงด้านนอกเขตชายแดนของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก บริเวณนั้นเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่พังทลายลงมาและเศษซากปรักหักพังของโครงสร้างต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบ ยกเว้นสายลมที่โชยพัดมาอย่างแผ่วเบา นำพาฝุ่นละอองให้ลอยขึ้นมาและพัดพาออกไปยังที่ห่างไกลเป็นระยะ

ก่อนที่จะได้เห็นภาพวาดเหล่านั้น ดวงตาที่สามของเมิ่งฮ่าวช่วยให้เขามองเห็นเมืองภูติผีในยุคปัจจุบัน แต่ตอนนี้หลังจากที่เคยเห็นมันในตอนที่กำลังเจริญรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เมื่อมองไปรอบๆ ยังสิ่งที่หลงเหลืออยู่นี้ ก็ทำให้ต้องถอนหายใจออกมา และแหงนมองขึ้นไปในท้องฟ้าโดยไม่รู้สึกตัวในทันที

“ดรรชนีที่ตกลงมาจากด้านบนนั้น หนึ่งดรรชนี…กวาดล้างสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น” ขณะที่เมิ่งฮ่าวยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น ก็ตระหนักได้ว่าตนเองเล็กกระจ้อยร่อยมากแค่ไหน แต่เวลาเดียวกันนั้นก็ยังคงมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเหมือนเช่นเคย

หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็หมุนตัวกลายเป็นลำแสงพุ่งผ่านดินแดนอันกว้างใหญ่ออกไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด เขาไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป หลังจากที่มองเห็นโลกแห่งนี้ในภาพวาด ก็รู้จักมันเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับสถานที่อื่นๆ ว่าตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง อันที่จริงหลังจากที่มองไปยังเศษซากปรักหักพัง และภูเขาที่อยู่รอบๆ ตัว ก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าตนเองกำลังอยู่ตรงสถานที่แห่งใด

“เจ้าสำนักและคนอื่นๆ อยู่บนแท่นบูชาตรงจุดศูนย์กลางของดินแดนอันกว้างใหญ่ เห็นได้ชัดว่า…นั่นคือเป้าหมายของพวกมัน”

“กลิ่นอายแห่งจุดสูงสุด…” ขณะที่เมิ่งฮ่าวบินออกไป ดวงตาก็สาดประกายเย็นชา และหันหน้ามองตรงไปยังทิศตะวันออก “ข้าจำได้ว่าตี้ลิ่วจื้อจุนอยู่ในบริเวณนั้น มันน่าจะอยู่ไม่ไกลมากนัก”

เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงเย็นชา เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งของตี้ลิ่วจื้อจุนแทน

เมิ่งฮ่าวไม่ใช่คนที่เติบโตขึ้นมาจากความเกลียดชังและเคียดแค้น แต่ตี้ลิ่วจื้อจุนก็มาหาเรื่องตนเองถึงสามครั้ง และครั้งสุดท้ายก็เต็มไปด้วยความต้องการสังหารอีกด้วย

ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจะต้องสังหารมัน พร้อมทั้งตี้ปาจื้อจุนและ…บุรุษหนุ่มในชุดยาวสีทอง!

เป็นการตัดสินใจที่ไร้ความลังเลหรือหวาดหวั่นแม้แต่น้อย หลังจากที่เพิ่งจะมองเห็นภาพวาดเหล่านั้น ก็ดูเหมือนว่าภายในใจจะสงบเยือกเย็น แต่จริงๆ แล้วก็มีความวิตกอยู่ลึกๆ เป็นความวิตกที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นความสงสัยอย่างลึกล้ำ เป็นบางสิ่งที่เกิดจากความรู้สึกผิดจากการที่อาณาจักรขุนเขาทะเลถูกทำลายล้างไป

ความสงสัยและความวิตกที่เต็มอยู่ในจิตใจ ทำให้เมิ่งฮ่าวตัดสินใจสังหาร!

ในตอนนี้ตี้ลิ่วจื้อจุนคือหนึ่งในเป้าหมายของเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านอากาศไปราวกับเป็นสายฟ้า ไม่ได้ทำอะไรเพื่อปกปิดกลิ่นอายของตนเองไว้ พื้นฐานฝึกตนพุ่งขึ้นมาด้วยพลัง กลายเป็นลมพายุที่ก่อตัวเป็นใบหน้าที่ดุร้าย ซึ่งดูคล้ายคลึงกับเมิ่งฮ่าวประมาณเจ็ดในสิบส่วน แต่ใบหน้านั้นก็มีเขางอกยาวออกมาจากหน้าผาก และดูเย็นชาราวน้ำแข็ง มันคืออสูรอันโหดเหี้ยมและน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ที่ห่างไกลออกไป ตี้ลิ่วจื้อจุนกำลังเดินทางผ่านเศษซากปรักหักพังพร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่รอดชีวิตมาเพียงลำพังของมันซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ คนทั้งสองกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังแท่นบูชาที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลาง แต่เวลาเดียวกันนั้นก็ทำการค้นหาโชควาสนาอื่นๆ ไปด้วย ทันใดนั้นสีหน้ามันก็ต้องสลดลง และมองขึ้นไปเห็นใบหน้าอันน่าตกใจซึ่งดูคล้ายคลึงกับเมิ่งฮ่าว กำลังพุ่งตรงมาพร้อมกับกลิ่นอายอันน่ากลัวที่ระเบิดออกมา

“บัดซบ คาดไม่ถึงว่ามันยังไม่ตายไป!!” สีหน้ามันเปลี่ยนไปขณะที่รู้สึกได้ถึงรังสีสังหารที่กระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว

หนังศีรษะมันด้านชาขณะที่คิดไปถึงความบ้าคลั่งในตอนที่เมิ่งฮ่าวต่อสู้ จนต้องหอบหายใจออกมา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย มันหยิบเอาแผ่นหยกออกมาเพื่อติดต่อไปยังบุรุษหนุ่มในชุดสีทองและตี้ปาจื้อจุน จากนั้นก็หันหลังกลายเป็นภาพซ้อนทับ ทุ่มพลังออกมาจนสุดตัวเพื่อพยายามจะหลบหนีจากไป

แม้ในขณะที่ตี้ลิ่วจื้อจุนกำลังหลบหนีไป เสียงของเมิ่งฮ่าวก็ดังก้องคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำรามอยู่ที่ด้านหลังมัน “เหล่าเจียหั่ว (ไอ้แก่) เจ้ารนหาที่ตายเอง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!