ตอนที่ 1541
สมบทบาท
ผีโต้งกระแอมไอและจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย กล่าวต่อไปด้วยเสียงดังก้อง “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ยังพูดออกมาเป็นประโยคที่สองว่า สวรรค์มีตาแล้ว เจ้าไม่ควรจะพูดจาเช่นนั้น สิ่งที่ถูกเรียกว่าสวรรค์มีตาคืออะไร เจ้าน่าจะพูดว่า สวรรค์อ่า โปรดควักดวงตาของข้าไป เพราะว่าทั้งชีวิตของข้าแค่ได้มองไปยังผู้ถูกเลือกท่านนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีดวงตาอีกต่อไปแล้ว!”
นกแก้วที่อยู่ด้านข้าง พึมพำขึ้นด้วยความหงุดหงิด
เมิ่งฮ่าวกระพริบตาปริบๆ จนอดไม่ได้ที่จะต้องกระแอมไอออกมา
สำหรับกิ้งก่าชรา ดวงตามันปูดโปนขึ้นมาราวกับเป็นลูกหนัง ขณะที่จ้องมองไปยังผีโต้ง จนไม่อาจจะสะกดข่มความรู้สึกที่ว่า กำลังพบเจอกับอาจารย์แห่งการพูดอย่างแท้จริง…
“จดจำไว้ว่าเมื่อเจ้ากำลังประจบสอพลอ ก็ต้องรู้ว่าคนที่กำลังพูดอยู่ด้วยมีลักษณะนิสัยเช่นไร บางคนก็ชอบให้พูดจาโอ้อวดผสมรวมกับความเป็นจริงบ้างเล็กน้อย บางคนก็ชอบให้คุยโวโอ้อวดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นก่อนที่จะประจบสอพลอ ก็จำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงบุคลิกส่วนตัวของคนผู้นั้น แค่มองไปแวบแรก เจ้าก็สามารถจะบอกได้ว่าเสี่ยวฮ่าวจื่อ (มุสิกน้อย) เป็นพวกคนเลวที่ฉลาดแกมโกง ด้วยเช่นนั้นเจ้าจึงไม่อาจจะใช้วิธีการธรรมดาทั่วไป เจ้าต้องเยินยอโอ้อวดเกินความจริง ยิ่งเยินยอมากเท่าใด ก็ยิ่งดีกว่ามากขึ้นเท่านั้น ผู้ประจบสอพลอที่เชี่ยวชาญมากที่สุด ไม่ใช่ผู้ที่กดตนเองให้ต้อยต่ำลงไป ผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือ…ผู้ที่เชื่อว่าสิ่งที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง นั่นคือระดับที่ยากจะสัมผัสถึงได้!” ขณะที่ผีโต้งทำการสั่งสอนด้วยท่าทางทรงภูมิปัญญาอยู่นั้น สีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียดจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าจะรู้สึกรำคาญต่อข้อผิดพลาดของกิ้งก่าชราขึ้นมาอย่างเลือนลางอีกด้วย
กิ้งก่าชราเริ่มวิตกกังวลจนเหงื่อเริ่มหลั่งไหลลงมา
“และยังมีคำพูดท่อนหลังของเจ้า มันยาวมากเกินไปแล้ว เจ้ามองดูข้าให้ดีๆ ข้าจะแสดงให้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญทำกันอย่างไร” เสียงปะทุได้ยินขึ้น ขณะที่จู่ๆ ผีโต้งก็แปลงร่างกลายเป็นกิ้งก่าน้อย แลบลิ้นออกมาจากปากชั่วขณะ และดวงตาก็ลุกโชนขึ้นด้วยความหลงใหล ยังได้สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างอีกด้วย และเริ่มมีควันพวยพุ่งขึ้นมาจากผิวหนังของมัน
ดวงตาที่ลุกโชนของมันดูเหมือนว่าจะสามารถหลอมละลายภูเขาน้ำแข็งลงไปได้ ราวกับว่ามันกำลังมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด ทันใดนั้นก็หมอบกราบลงไปยังเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มแผดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นมากที่สุด
“ต้าเหรินอ่า ข้าปรารถนาที่จะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่านยิ่งนัก ต้องการจะอาบไล้อยู่ภายใต้ประกายแสงของท่าน ถ้าท่านกล้าปฏิเสธข้า ข้าก็จะ…ฆ่าตัวตายต่อหน้าท่าน ถ้าท่านพยายามจะขัดขวาง ข้าก็จะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้!” ดูเหมือนว่าผีโต้งจะแสดงได้สมบทบาทเป็นอย่างยิ่ง มันแลบลิ้นออกมาราวกับว่าเตรียมตัวจะกัดให้ขาดไป ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ยอมรับ
และจริงๆ แล้วมันก็ยังได้เริ่มกระจายเป็นความผันผวนของการระเบิดตัวเองออกมาอีกด้วย นกแก้วจ้องมองไปด้วยความตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้นก็ตบตีไปบนร่างผีโต้งอย่างดุร้าย เพื่อเตือนว่ามันกำลังแสดงอยู่…
“เจ้านกบัดซบ ไสหัวไป! เหล่าฟูคือซีหลง (กิ้งก่ามังกร) ที่ได้รับความเคารพมากที่สุดในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต! ในวันนี้เหล่าฟูเข้าใจถึงเป้าหมายในชีวิตที่ต้องเฝ้ารอคอยการปรากฎตัวขึ้นมาของท่านแล้วจู่เหริน! (เจ้านาย)”
“ถ้าท่านกล้าพูดคำว่าไม่ ข้าก็จะฆ่าตัวตายในทันที!” ความผันผวนของพลังแห่งการระเบิดตัวเองเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าทั่วทั้งบริเวณนั้นกำลังจะถูกทำลายไปได้ทุกเมื่อ เสียงแตกร้าวดังก้องออกมา และรอยแตกก็เปิดออก เผยให้เห็นแสงแห่งการทำลายล้างสีแดงเข้ม
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้าง และดูเหมือนว่านกแก้วจะมีโทสะเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าผีโต้งกำลังจะระเบิดตัวเองไปจริงๆ เมิ่งฮ่าวก็รีบกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “รับแล้ว ข้ารับเจ้าแล้ว!”
ในที่สุดผีโต้งก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ สัญญาณแห่งการระเบิดตัวเองจางหายไป และเสียงปะทุก็ดังก้องออกมา ขณะที่ผีโต้งกลับมาอยู่ในรูปแบบปกติของตัวเอง มันได้แสดงออกมาด้วยความสมจริงเป็นอย่างยิ่งจนต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นยังได้บังคับให้หยุดการระเบิดตัวเองไปอย่างฉุกละหุก ทำให้ต้องได้รับบาดเจ็บบ้างเล็กน้อย แต่ผีโต้งก็ไม่ใส่ใจ มองไปยังกิ้งก่าชราด้วยความภาคภูมิใจ และกล่าวว่า “ยอมรับแล้วหรือไม่?”
กิ้งก่าชราสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และหอบหายใจออกมา ขณะที่จ้องมองไปยังผีโต้ง ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าได้พบเจอกับเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ทำให้สายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดลงมาในจิตใจ ขับเคลื่อนกลุ่มหมอกที่ปิดกั้นความรู้แจ้งของมันออกไป
มันไม่เคยเผชิญหน้ากับสิ่งใดๆ ที่คล้ายกับผีโต้งมาก่อน เมื่อครู่นี้มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผีโต้งได้ทำการเริ่มระเบิดตัวเองไปจริงๆ ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่แสดงออกมาเช่นนั้น…ผีโต้งก็อาจจะระเบิดตัวเองไปอย่างแท้จริง
กิ้งก่าชราสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับผีโต้ง ด้วยสีหน้าที่นับถือเลื่อมใสอย่างลึกล้ำ เป็นความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจ และจริงๆ แล้วก็คิดว่าจะขอให้ผีโต้งสั่งสอนตัวเองให้มากกว่านี้ แต่เมิ่งฮ่าวก็กระแอมไอขึ้นมา
“วุ่นวายแค่นี้พอแล้ว เหล่าซีอี้ (กิ้งก่าชรา) ถ้าเจ้ายินดีก็ให้ติดตามข้าไปหนึ่งพันปี ถ้าไม่ต้องการ ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า” ด้วยเช่นนั้นเมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ พุ่งออกไปยังที่ห่างไกล
นกแก้วและผีโต้งไล่ตามไปในทันที หลังจากที่ผ่านไปสักพัก ผีโต้งก็หันหลังมองกลับไปยังกิ้งก่าชราด้วยความเสียใจ
กิ้งก่าชราลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็กัดฟันแน่นและบินตามไป
มันยังคงมีความรู้สึกที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยแน่ใจนัก และด้วยเช่นนั้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่า ผีโต้งและนกแก้วกำลังส่งข้อความกันไปมา
“เป็นอย่างไรบ้าง? นับจากนี้ไปซานเหยียมีลูกมือแล้ว พลังการฝึกตนของเหล่าซีอี้นั่นอยู่ในระดับเก้าแก่นแท้ เมื่อไหร่ที่พวกเราออกไปข้างนอกนั่น ก็สามารถจะไปปล้นชิงคนอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องลงมือเองแม้แต่น้อย” ผีโต้งส่งข้อความไปด้วยความภาคภูมิใจ
นกแก้วกลอกตาไปมา “เจ้าปัญญาอ่อนที่นับได้แค่สาม! ช่างโง่เขลาจนน่าตายนัก! ตอนนี้เสี่ยวฮ่าวจื่อ (มุสิกน้อย) อยู่เหนือสูงสุดแล้ว ด้วยการมีผู้หนุนหลังเช่นนั้น ใครจะต้องการลูกมือกัน? เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องสุนัขจิ้งจอกคลุมหนังพยัคฆ์? เข้าใจหรือไม่?”
นกแก้วกระพือปีกแอบถอนหายใจออกมา เมื่อคิดไปถึงความฉลาดรอบรู้ของตนเองที่อยู่เหนือจุดสูงสุด จนต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ผีโต้งอ้าปากค้างเป็นใบ้ขึ้นมาในทันที ขณะที่ถูกฟาดด้วยความเป็นจริงของเหตุการณ์ในตอนนี้ ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าการแสดงออกอย่างสมบทบาทของตัวเอง ช่างเป็นการสูญเสียอย่างแท้จริง ทำให้แทบจะต้องฆ่าตัวตายไป…
ไม่กี่วันต่อมา เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ไปปรากฏกายขึ้นตรงดินแดนกว้างใหญ่ที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ โดยสิ้นเชิง แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป ก็เกิดเป็นแรงกดดันจนทำให้ดินแดนกว้างใหญ่แห่งนั้นต้องสั่นสะท้าน และปลวกจำนวนมากก็บินออกมา
ปลวกยักษ์โผล่ออกมาจากส่วนที่ลึกมากที่สุดของดินแดนแห่งนั้น มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆ ทั้งปวง เมื่อมันมองเห็นเมิ่งฮ่าว และรับรู้ได้ถึงความผันผันอันน่ากลัวที่กระจายออกมาจากร่างเขา ปลวกยักษ์สั่นสะท้านและก้มศีรษะลง ปลวกตัวนี้ตรงไปตรงมากว่ากิ้งก่าชรา และรีบแสดงความจงรักภักดีในทันที
เมื่อได้ปลวกขั้นสูงสุดเก้าแก่นแท้มาร่วมด้วยแล้ว เมิ่งฮ่าวก็เดินทางไปยังพื้นที่แห่งอื่นต่อไป ซึ่งมีกระแสน้ำวนขนาดใหญ่อยู่ที่นั่น เมื่อเข้าไปใกล้ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็หยุดการเคลื่อนไหว และยังเริ่มแสดงให้เห็นถึงสัญญาณการพังทลายลงไปอีกด้วย
เสียงแผดร้องด้วยความหวาดกลัวดังก้องออกมาจากภายในกระแสน้ำวนแห่งนั้น ขณะที่ศีรษะขนาดใหญ่ลอยออกมา ตอนแรกใบหน้านั้นมีสีหน้าดุร้าย แต่ตอนนี้มันกำลังจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความประหลาดใจ
มันจดจำเมิ่งฮ่าวจากเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้ ในตอนที่เขานำของวิเศษอันล้ำค่าจากไป มันไล่ล่าตามไปและพยายามจะสังหารเขา ตอนนี้เขาได้มาอยู่ที่นี่แล้ว กลับมาพร้อมกับกลิ่นอายอันน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม
“เจ้า…เจ้า…”
“เจ้าอะไร? ยังไม่รีบสวามิภักดิ์อีก?” นกแก้วตวาด ด้วยท่าทางสูงส่งและสง่างาม ราวกับว่าตัวมันเองเป็นผู้กระจายกลิ่นอายเหนือสูงสุดออกไป ไม่ใช่เมิ่งฮ่าว…
ใบหน้ายักษ์ฝืนยิ้มออกมา และคิดย้อนกลับไปในสิ่งที่ตนเองเคยพูดไว้เมื่อครั้งก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าได้พบกับเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง จึงไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากต้องก้มศีรษะลงไปเท่านั้น
“ข้าขอรับใช้…”
เมิ่งฮ่าวพยักหน้า “ที่มาค้นหาพวกเจ้า ไม่ได้จะบังคับให้ต้องสวามิภักดิ์ แต่เพื่อทำให้กรรมของเปิ่นจุนในปีนั้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ถ้าเจ้ายินดีก็สามารถติดตามข้าไปเป็นเวลาหนึ่งพันปี”
สิ่งที่เมิ่งฮ่าวกล่าวมาเป็นเรื่องจริง เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังการต่อสู้ของพวกมัน แต่หลังจากที่บรรลุถึงขั้นเหนือสูงสุด ก็มีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องคลี่คลายกรรมที่ตนเองมีอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็อาจจะถูกใช้เป็นอาวุธมาโจมตีตนเองได้
สถานที่แห่งสุดท้ายที่เมิ่งฮ่าวเดินทางไปก็คือ โลกซึ่งคงอยู่ภายในบุปผายักษ์
บุปผาดอกนั้นไม่ได้เบ่งบานมานานแล้ว ดูแห้งเหี่ยวโดยสิ้นเชิง ห้อยลงไปอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เมื่อเมิ่งฮ่าวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้าง ก็มีขนาดเล็กมากจนแทบจะมองไม่เห็น เมื่อเทียบกับบุปผายักษ์ดอกนั้น
แต่ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้น บุปผาดอกนั้นก็สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที เห็นได้ชัดว่าบุปผานั้นมีพลังชีวิตของมันเอง และสามารถจะรับรู้ได้ว่าเมิ่งฮ่าวคือผู้ฝึกตนเหนือสูงสุด
เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่เบื้องหน้าบุปผายักษ์ คิดย้อนกลับไปในครั้งก่อนที่ตนเองมายังที่แห่งนี้แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ถูกบังคับให้ต้องเฝ้ารอคอยจนกระทั่งบุปผาดอกนี้บานขึ้นมา แต่ตอนนี้…เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่ง ขณะที่กล่าวขึ้นมาว่า “บาน”
ในทันทีที่คำพูดเดียวนี้หลุดออกมาจากปาก บุปผาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงมากขึ้นจากก่อนหน้านี้ โดยไม่ลังเลใดๆ แม้แต่น้อย เริ่มเบ่งบานขึ้นมาในทันที
เมิ่งฮ่าวผ่านเข้าไปในโลกด้านในของบุปผา จากนั้นก็ผนึกเปลวไฟและน้ำแข็งที่อยู่ภายในโลกนั้นตามคำมั่นสัญญา เพื่อป้องกันไม่ให้โลกแห่งนี้ถูกทำลายไป
ขณะที่เมิ่งฮ่าวบินผ่านพื้นดิน ก็มองลงไปและพบว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ภูเขาน้ำแข็งกำลังหลอมละลาย และเปลวไฟก็ดับลงไปมากขึ้น สำหรับอาณาเขตตรงกลางซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสองชนเผ่า กำลังสูญเสียพลังของมันไปแล้วในตอนนี้
เท่าที่เห็นคงอีกไม่นานก่อนที่โลกแห่งนี้ทั้งหมดจะไม่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เมื่อไหร่ที่บุปผาหุบตัวลง ก็ไม่มีใครสามารถจะผ่านเข้ามาได้ยกเว้นผู้ฝึกตนเหนือสูงสุด ซึ่งหมายความว่าคนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ภายในโลกแห่งนี้จะต้องตายไป
การมาถึงของเมิ่งฮ่าวไม่ได้สร้างความสนใจให้กับปิงซานเหลาจู่ (ปรมาจารย์ภูเขาน้ำแข็ง) และหั่วฟ่ง (หงส์เพลิง) ถ้าเขาไม่ต้องการ ก็ไม่มีใครในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขตจะสามารถสังเกตเห็นได้
เมื่อมองลงไปยังพื้นดินที่ด้านล่าง เมิ่งฮ่าวก็ชี้นิ้วออกไป ดูเหมือนว่าการกระทำที่เรียบง่ายเช่นนั้น จริงๆ แล้วก็ไปเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติ เปลี่ยนโชคชะตาของมันไปโดยสิ้นเชิง
พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน เมื่อระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นเริ่มแผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ที่แห่งใดก็ตามที่ระลอกคลื่นนั้นพุ่งผ่านไป ภูเขาน้ำแข็งก็จะถูกแช่แข็ง ส่งผลให้ความหนาวเย็นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกที่ไม่มีทางจางหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนก่อนหน้านี้
อีกด้านหนึ่ง เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมาราวกับมีชีวิต ส่งผลให้เกิดเป็นความร้อนพุ่งออกไปทั่วทุกทิศทาง