ตอนที่ 562
เรียกข้าว่าพี่สาว
เมิ่งฮ่าวหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แอบถอนหายใจในความโชคร้ายของตัวเอง การที่หญิงสาวเย็นชานางนั้นไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง จริงๆ แล้วก็ค่อนข้างจะมากเกินไป แต่เขาก็คุ้นเคยกับเรื่องเช่นนั้นอยู่แล้ว หากตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเท่าใดนัก
นอกจากนี้ นางก็ไม่ได้มีเจตนาตั้งใจ ดังนั้นจึงสามารถให้อภัยได้
เมิ่งฮ่าวรู้ว่า ในฐานะที่เป็นนักศึกษา เขาควรจะมีความอดทนและเปิดใจให้กว้าง
แต่เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า ต้องมาเผชิญหน้ากับฟางอวี๋? เมื่อคิดไปถึงอารมณ์ที่รุนแรงของนาง เขาก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และผลักดันตัวเองให้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
ที่ด้านหลัง เขาได้ยินเสียงหวีดหวิวแหวกฝ่าอากาศเข้ามาใกล้ กระแสน้ำวนอันยิ่งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา และตรงกลางของกระแสน้ำวนนั้นเป็นฟางอวี๋ที่กำลังมีโทสะ
กล่าวกันโดยพื้นฐานแล้ว ฟางอวี๋มีสุ้มเสียงที่ไพเราะ แต่สำหรับเมิ่งฮ่าว เสียงของนางในตอนนี้ราวกับเป็นปีศาจร้าย
“เมิ่งฮ่าว หยุดให้ข้าในทันที! เจ้ากล้าไม่เชื่อฟังข้า!?”
“ถ้าไม่เชื่อ ข้าจะจัดการเจ้าให้ตาย!”
ตูม!
พื้นดินที่ด้านข้างทันใดนั้นก็ระเบิดออก ถูกกระแทกโดยหมัดของฟางอวี๋ แรงระเบิดนั้นกลายเป็นแรงโจมตีกระแทกเข้ามายังเมิ่งฮ่าวในทันที โดยไม่ลังเล เขาก็เข้าไปในวิญญาณดวงที่สอง ทำให้มีความรวดเร็วเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เขาถอนหายใจออกมา “หยุดไล่ตามข้าได้แล้ว ระหว่างพวกเราไม่มีบุญคุณความแค้นใดๆ ต่อกัน ทำไมเจ้าถึงได้กระทำเช่นนี้ นอกจากนั้นก็ยังไม่แน่ว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้”
“เจ้าว่าอะไรนะ?!?!” นางคำราม ทันใดนั้นก็ตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอาขวดยาออกมา หย่อนเม็ดยาลงไปในปากหนึ่งเม็ด และร่างนางก็ระเบิดลุกเป็นไฟ ในเวลาเดียวกันนั้น ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย อีกครั้งที่หมัดของนางกระแทกลงไป ถึงแม้นางจะมีโทสะ แต่การโจมตีนี้ก็ไม่ได้มุ่งร้ายหมายชีวิต กระแทกเข้าไปในอากาศเพื่อพยายามให้เมิ่งฮ่าวหยุดลง
แต่ขณะที่พลังของหมัดนั้นกระแทกลงมา เมิ่งฮ่าวก็เข้าไปในวิญญาณดวงที่สาม ขณะที่ความรวดเร็วระเบิดออก เขาก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียว และพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล หมัดฟางอวี๋กระแทกเข้าไปในความว่างเปล่า นางจ้องมองไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะหึๆ ออกมา
“เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่ได้เห็นเจ้ามาหลายปี ดูเหมือนว่าเจ้าจะเก่งกล้ามากขึ้นจริงๆ”
แม้ขณะที่นางพูดจา ก็ยังคงไล่ติดตามเขาต่อไป คนทั้งสองเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ทุกครั้งที่ฟางอวี๋เข้ามาใกล้ เมิ่งฮ่าวก็จะระเบิดออกมาด้วยความรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เป็นไปได้ยากที่นางจะจับตัวเขาไว้ได้
แต่ก็ช่วยให้อารมณ์ของนางเยือกเย็นลงได้เช่นกัน ในที่สุดรอยยิ้มอย่างมีความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า นางต่อยหมัดออกไปเป็นระยะ เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าวเพิ่มความรวดเร็วมากขึ้น ในที่สุดนางก็เริ่มหัวเราะออกมา
ฟางอวี๋หัวเราะอย่างมีความสุข แต่เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่นออกมา
“ข้าจะไปให้พ้นจากหญิงสาวเช่นนี้ได้อย่างไรดี?” เมิ่งฮ่าวคิด “ผ่านไปหนึ่งร้อยปีแล้ว และนางก็…แทบจะอยู่ในขั้นตัดวิญญาณ!” เท่าที่เมิ่งฮ่าวคิด มันดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมเท่าใดนัก เขาต้องใช้เวลาอย่างยากลำบากถึงหนึ่งร้อยปีในการนั่งเข้าฌาณตามลำพัง, ต้องตายไปจนกลายเป็นทะเลม่วง, ต้องสร้างวิญญาณแรกก่อตั้งทั้งเจ็ดดวงขึ้นมา, ต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์มากมาย จึงจะค่อยๆ บรรลุถึงความสมบูรณ์แบบอย่างช้าๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นทั้งหมด เขาก็ยังคงอยู่ห่างจากขั้นตัดวิญญาณถึงครึ่งทาง แต่ฟางอวี๋…ก็เป็นเช่นเดียวกับเขา
“ผู้ถูกเลือกแห่งตระกูลใหญ่ทั้งหมดต่างก็เป็นเช่นนี้” เขาถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ตระหนักว่าในตอนที่เคยเห็นนางเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ระดับพลังของนางก็น่าเหลือเชื่ออยู่แล้ว และดูเหมือนจะมีความสมดุลย์มากขึ้นในตอนนี้
ขณะที่คนทั้งสองมุ่งหน้ากันต่อไป หนึ่งไล่ล่า หนึ่งหลบหนี พวกเขาก็เริ่มเข้าไปใกล้ยอดเขาลูกที่สอง ทันใดนั้น ลำแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นในกลางอากาศ และพุ่งตรงมายังฟางอวี๋
ด้วยการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเช่นนั้น ก็ทำให้สีหน้าฟางอวี๋เปลี่ยนไป นางหันร่างไปในทันทีและต่อยหมัดออกไปด้วยมือขวา
เสียงปังได้ยินมา และจากนั้นฟางอวี๋ก็ล่าถอยไปด้านหลังหลายก้าว ลำแสงสีเขียวล่อยละลิ่วปลิวไปด้านหลัง ในช่วงนั้นมันก็กลายเป็นแส้ เวลาเดียวกันนั้นก็มีบุรุษปรากฏออกมาจากอากาศ มีรูปร่างผอมสูง พร้อมกับเส้นผมที่ยาวเงางามและใบหน้าที่หล่อเหลา มองเห็นรอยแผลเป็นขนาดยาวอยู่บนหน้าผากของมัน ซึ่งส่องประกายเจิดจ้าแทบจะดูคล้ายสายฟ้า
มันสวมใส่ชุดยาวสีเขียว และบนไหล่ของมันเกาะไว้ด้วยอีกา ซึ่งมีรูปร่างที่แปลกประหลาด มีดวงตาอยู่สามดวง กำลังจ้องมองอย่างเย็นชาไปยังฟางอวี๋
นอกเหนือจากอีกาแล้ว ก็ยังมีสุนัขป่าสีขาวยืนอยู่ข้างกายมัน กระจายกลิ่นอายอันดุร้ายออกมา ขณะที่จ้องมองไปยังรอบๆ ด้านด้วยความเย็นชา
ทันทีที่บุรุษผู้นี้ปรากฏกายขึ้น เสาแห่งแสงแปดต้นฉับพลันนั้นก็พุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัวฟางอวี๋ พุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทำให้ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงหลากสี
“ใสสว่างแปดทิศ!” บุรุษชุดเขียวกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ เสาแห่งแสงทั้งแปดจู่ๆ ก็กลายเป็นผนึกปิดกั้นฟางอวี๋ไว้ด้านในอย่างแน่นหนา
“จี้หมิงเฟิง!” ฟางอวี๋กล่าว สีหน้าสลดลง เสียงแค่นอย่างเย็นชาได้ยินมาจากด้านหลังนาง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นจี้เซี่ยวเซี่ยว ซึ่งเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ดวงตาหงส์สาดประกายด้วยรังสีสังหาร
“อย่าบอกข้านะว่าบรรพบุรุษตระกูลฟางไม่ได้บอกกับเจ้าว่า อย่าได้วิ่งพล่านไปมาในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณนี้?” จี้เซี่ยวเซี่ยวกล่าว “ฟางอวี๋ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเต้าจื่อตระกูลจี้เชี่ยวชาญในวิชาพยากรณ์?”
“การที่พวกเรามาพบกัน จริงๆ แล้วก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ ถ้าเจ้าจากไปในทันที ข้าก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ แต่เจ้ากลับทำให้ข้ามีโอกาสได้แจ้งเตือนหมิงเฟิง ด้วยทักษะในการพยากรณ์ของมัน การระบุตำแหน่งของเจ้าก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง!”
เมิ่งฮ่าวหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว และกำลังเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเย็นชามาจากที่ห่างไกล เมื่อได้เห็นฟางอวี๋ถูกซุ่มโจมตีและถูกผนึกไว้ เขาก็ขมวดคิ้ว
“พวกเจ้ากล้าทำร้ายข้าจริงๆ?” ฟางอวี๋กล่าวตอบเสียงเยือกเย็น มองไม่เห็นแววโทสะในดวงตา แต่พลังลมปราณอันน่ากลัวกระจายออกมาจากร่างนาง เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ทำร้ายเจ้า? แล้วจะทำไม?” จี้เซี่ยวเซี่ยวกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ออกมา “ตระกูลฟางอาจจะถูกโดดเดี่ยวอยู่ในดินแดนแห่งดาวหนานเทียน (สวรรค์ทิศใต้) แต่บนดาวตงเซิ่ง (ชัยชนะตะวันออก) พวกเจ้าก็มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง พวกเราไม่ต้องการจะทำร้ายเจ้า แค่จะกักเจ้าไว้เป็นเวลาสามวัน ด้วยเช่นนั้นเส้นทางที่จะกลับไปยังสมัยโบราณของเจ้าก็จะถูกตัดขาดไป ป้องกันไม่ให้เจ้าไปค้นหาร่างอาศัยก็เพียงพอแล้ว”
ที่ห่างออกไปด้านข้าง จี้หมิงเฟิงก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน มันไม่กล่าวอะไร แต่ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะอยู่ในที่ห่างไกล ก็ยังบอกได้ว่ามันเป็นคนที่อันตรายกว่าจี้เซี่ยวเซี่ยวมากนัก
อันที่จริง เมื่อมองไปยังจี้หมิงเฟิง เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกราวกับว่ามีเข็มกำลังทิ่มแทงเข้าไปที่แผ่นหลังจี้เซี่ยวเซี่ยวมองไปยังฟางอวี๋ชั่วขณะ จากนั้นก็หันไปมองยังเมิ่งฮ่าว ยิ้มกว้างออกมาและกล่าวว่า “ขอบคุณมากสหายเต๋า ผู้น้องจี้เซี่ยวเซี่ยว, ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้พวกเราได้มาพบกัน แต่วันนี้ไม่สะดวกที่จะพูดคุย ถ้าพวกเรามีวาสนาร่วมกัน ก็คงจะได้พบกันอีกครั้ง”
จี้หมิงเฟิงชำเลืองมองมายังเมิ่งฮ่าว ส่งยิ้มและพยักหน้าให้ แต่เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นแววตาดูถูกของมันได้อย่างชัดเจน
ฟางอวี๋ก็มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน
เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ก่อนที่จะหันหลังจากไป เขาไม่ต้องการจะเข้าร่วมในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ การถูกผนึกไว้ของฟางอวี๋ไม่ได้ทำให้ชีวิตนางต้องตกอยู่ในอันตราย เมื่อคิดว่านางไม่ได้เป็นวงศาคณาญาติกับเขา จึงไม่คุ้มค่าที่จะกระทำการใดๆ
นอกจากนี้ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับสมาชิกของตระกูลจี้สองคนในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าจี้หมิงเฟิงทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายเช่นเดียวกับปรมาจารย์ฮูเหยียน
ขณะที่เขาหมุนตัวไป รอยยิ้มบนใบหน้าจี้เซี่ยวเซี่ยวก็ยิ่งกว้างมากขึ้น รอยยิ้มของนางในตอนนี้ ทำให้ดูแตกต่างไปจากความเย็นชาเมื่อก่อนหน้านี้มากนัก เมื่อนางมองเห็นอารมณ์อันซับซ้อนอยู่ในแววตาฟางอวี๋ ซึ่งเป็นความสิ้นหวังและความเจ็บปวด นางก็ยิ่งมีความยินดีมากขึ้น มองไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังเดินจากไป และความยินดีก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
ทันใดนั้นความคิดก็ปะทุขึ้นมาในจิตใจว่า ในวันข้างหน้านางจะใช้เขาเพื่อไปยั่วยุฟางอวี๋ต่อไปเมิ่งฮ่าวเดินไปสามก้าว แต่ทันใดนั้นก็หันหลังมองกลับไปยังฟางอวี๋
เขามองเห็นความสิ้นหวังและอารมณ์อันซับซ้อน รวมถึงความเจ็บปวดอยู่ในแววตาของนาง ไม่มีความรักใคร่ของหนุ่มสาวอยู่ในความเจ็บปวดนั้น ดูเหมือนจะเป็นความเจ็บปวดของใครบางคน ที่เกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกทอดทิ้งโดยคนในครอบครัวเดียวกัน แววตานั้นทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที
เขาไม่กล่าวอะไรออกมา แต่ในดวงตาทันใดนั้นก็สาดประกายเจิดจ้า ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขาไม่อาจจะไม่สนใจกับความเจ็บปวดที่เห็นอยู่ในแววตาของนางได้ เขาไม่มั่นใจว่าทำไม แต่ฉับพลันนั้นก็ตัดสินใจได้ รังสีสังหารที่อยู่ภายในใจพุ่งขึ้นมาในทันที
จี้เซี่ยวเซี่ยวขมวดคิ้ว ข้างกายนาง ริมฝีปากของจี้หมิงเฟิงเชิดสูงขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มอันเย็นชาในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปสู่วิญญาณดวงที่เจ็ด
ตูม!!
ร่างเขาทันใดนั้นก็สูงใหญ่ขึ้น เส้นผมยาวขึ้นกว่าเดิม และพลังลมปราณก็พุ่งทะยานขึ้นไป สองเท่า, แปดเท่า, สิบหกเท่า…จนกระทั่งพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับหกสิบสี่วงจรอันยิ่งใหญ่ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ช่วงเวลาการระเบิดพลังออกมาสั้นๆ นี้ ทำให้เกิดเป็นกระแสวังน้ำวนส่งเสียงหวีดหวิวออกมา ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆแห่งหมอกควัน
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวมีความสูงขึ้นกว่าเดิมหลายช่วงศีรษะ เต็มไปด้วยลักษณะท่าทางของเซียนปีศาจสีหน้าจี้เซี่ยวเซี่ยวสลดลง และม่านตาของจี้หมิงเฟิงก็หดแคบลง
ดวงตาฟางอวี๋เริ่มส่องประกายเจิดจ้า
เสียงกระหึ่มกึกก้องระเบิดออกมาจากเมิ่งฮ่าว ขณะพุ่งตรงไปด้วยความรวดเร็วทั้งหมดเท่าที่จะทำได้เขามาอยู่เหนือคนทั้งหมดเพียงชั่วพริบตา จี้เซี่ยวเซี่ยวยกมือขึ้น และชี้ตรงไป ทำให้ฟองอากาศขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า แตกกระจายอยู่ที่ใบหน้าเมิ่งฮ่าวในทันที
ปัง!
การแตกกระจายของฟองอากาศทำให้เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องหยุดชะงักลงแม้แต่น้อย ขณะที่เขามุ่งหน้าต่อไป จี้หมิงเฟิงก็ชี้นิ้วออกไปอย่างลวกๆ ทำให้สุนัขป่าสีขาวแหงนหน้าขึ้นและส่งเสียงคำรามออกมา ขณะที่มันพุ่งกระโจนตรงมายังเมิ่งฮ่าว อ๋าวเฉี่ยนกลายเป็นลำแสงสีแดง ปรากฏตัวขึ้นจากฝั่งเมิ่งฮ่าวในทันที มันพุ่งทะยานตรงไปยังสุนัขป่าสีขาว ซึ่งจู่ๆ ก็เริ่มสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก่อนที่สุนัขป่าสีขาวจะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ เสียงกร้วมก็ได้ยินมาขณะที่อ๋าวเฉี่ยนงับมันเข้าไปในปากและขบเคี้ยวเป็นเสียงดัง
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนจี้หมิงเฟิงได้แต่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ต่อมารังสีสังหารก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของมัน
จี้เซี่ยวเซี่ยวตกตะลึงงงงัน กลิ่นอายตัดวิญญาณของอ๋าวเฉี่ยน ทำให้สีหน้านางซีดสลดลงไปในทันทีในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็มาถึงผนึกที่กำลังปิดกั้นฟางอวี๋ไว้ เขามองไปยังนาง และนางก็มองกลับมา ดูเหมือนว่าคนทั้งสองจะสื่อสารกันเข้าใจ ฟางอวี๋กำหมัดแน่น จากนั้นพลังลมปราณก็ระเบิดออก ขณะที่นางต่อยตรงไปยังผนึก
หมัดเมิ่งฮ่าวก็กระแทกลงไปด้วยเช่นกัน กำปั้นของคนทั้งสองกระแทกลงไปยังเสาแห่งแสงต้นเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ในตำแหน่งเดียวกัน!
ฉับพลันนั้นเสาก็เริ่มสั่นไปมาในทันที เสียงแตกร้าวดังก้องออกมา เพียงชั่วพริบตา เสาก็ระเบิดออกด้วยการตอบรับการระเบิดออกของเสาต้นแรก เสาอื่นๆ อีกเจ็ดต้นก็เริ่มเสริมกำลังขึ้นมาในทันที ฟางอวี๋ที่เต็มไปด้วยโทสะ ฉับพลันนั้นก็พุ่งออกมาจากด้านใน
นางพุ่งตรงไปยังจี้เซี่ยวเซี่ยว ต่อยออกไปก่อนที่นางจะทันมีปฏิกิริยาใดๆ จี้เซี่ยวเซี่ยวลอยละลิ่วไปด้านหลัง โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก จี้หมิงเฟิงมองเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ยิ้มออกมาและหันหลัง นำจี้เซี่ยวเซี่ยวจากไปพร้อมกับมันจนหายลับตาไป
ฟางอวี๋กำลังจะไล่ติดตามไป แต่เมิ่งฮ่าวก็ปิดกั้นเส้นทางไว้
นางหันหน้าและมองมาที่เขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงตำหนิ “เจ้าจะขวางข้าไปเพื่ออะไร? ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ถ้าเจ้าไม่แสดงพลังออกมาเต็มที่ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าก็จะสูญเสียความได้เปรียบไป!”
เมิ่งฮ่าวส่ายศีรษะและยิ้มอย่างแห้งแล้งออกมา “สหายเต๋าฟาง ถ้าท่านต้องการจะไล่ตามไป ข้าก็จะไม่รั้งท่านไว้อีก”
“อย่าได้พูดจาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้กับข้า!” นางกล่าว จ้องมองมาที่เขา “ทำไมถึงไม่เรียกข้าว่า พี่สาว!”เมิ่งฮ่าวฝืนยิ้มออกมาอีก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าการช่วยเหลือนางเป็นสิ่งที่ผิดพลาด
“ยังไม่เรียกข้าว่าพี่สาวอีก?” นางกล่าว กำมือเป็นหมัดและเสียงกรอบแกรบก็ได้ยินมา มองเห็นวี่แววอันตรายออกมาจากสีหน้านาง ราวกับว่านางจะกลายเป็นมังกรอันดุร้ายไปได้ทุกเมื่อ
“เจี่ย!! (พี่สาว)” เขากล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมา ถอยไปด้านหลังสองสามก้าว “พอใจแล้วยัง…?”
“การเรียกข้าว่าพี่สาว ไม่ได้ทำให้เจ้าต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน” ขณะที่นางพูด ดวงตาก็ค่อยๆ เริ่มเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ถึงแม้น้ำเสียงดูเหมือนจะยังมีโทสะอยู่ ซึ่งเมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าโทสะนั้นมาจากไหนกันแน่ นางกล่าวต่อ “ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เจ้ามาในที่แห่งนี้ทำไม เลือกร่างอาศัยดีๆ ได้แล้วหรือไม่?”