ตอนที่ 953
สำเร็จเวทรุ่นหก!
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่นักรบศิลาไปยืนอยู่บนยอดเขา จากที่แห่งนี้ เขาสามารถมองเห็นหน้าผาขนาดใหญ่ ซึ่งถูกแกะสลักเป็นรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้าง ขณะที่ภาพของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่เหมือนกันนั้น จู่ๆ ก็มาปรากฏขึ้นในจิตใจ
เขาไม่อาจจะนำศิลาบนหน้าผาจากไปได้ รวมทั้งไม่อาจจะคัดลอกมันขึ้นมาได้ใหม่ ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือมองไปยังมัน ซึ่งสามารถจะกล่าวได้ว่า แค่มองไปแวบแรก ภาพนั้นก็ถูกสลักลึกลงไปในจิตใจ แต่เมิ่งฮ่าวก็สามารถบอกได้เช่นกันว่าภาพนั้นจะคงอยู่ได้เพียงแค่เก้าวันเท่านั้น
เก้าวันหลังจากนั้น ภาพของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวก็จะจางหายไป และเขาก็ไม่อาจจะจดจำมันได้อีกต่อไป
“นี่คือจันทร์อเวจี…? ข้าเดาว่าคงจำเป็นต้องจ้องมองไปยังภูเขาทั้งเก้าภายในเวลาเก้าวันใช่หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา สำหรับคนอื่นๆ เรื่องเช่นนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่สำหรับเขาแล้ว การทำเรื่องเช่นนี้ให้สำเร็จเป็นสิ่งที่ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
“สถานที่แห่งนี้คือดินแดนวาสนาของข้าจริงๆ” เขาถอนหายใจ จากนั้นก็ตบไปที่นักรบศิลา ทำให้มันบินลงไปจากภูเขาแรก และมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกที่สอง
จากตอนที่เก้าภูเขายมโลกได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยปรมาจารย์รุ่นแรก เมื่อหลายปีก่อนมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่เมิ่งฮ่าวมุ่งหน้าตรงไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่บนภูเขาก็จะถูกเก็บเข้าไปในถุงสมบัติของเขา
สิ่งกีดขวางทั้งหมด, สัตว์อสูรทุกตัว ต่างก็คล้ายกับเป็นหญ้าแห้งที่เขาสามารถจะบดขยี้ไป โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ…
แม้แต่ผู้นำบนยอดเขาก็ต้องรีบแอบซ่อนตัวในทันทีที่พวกมันมองเห็นนักรบศิลา ปล่อยให้เมิ่งฮ่าวผ่านไปได้อย่างง่ายดาย จากภูเขาที่สอง จากนั้นก็เป็นภูเขาที่สาม…
เขาได้รับของวิเศษและวิชาเวทมาอย่างมากมาย จนไม่อาจจะรู้ว่าได้มาเท่าใดแล้ว รวมทั้งไม่มีเวลาที่จะจัดเก็บหมวดหมู่ของพวกมัน ตราบเท่าที่เขายังมีถุงสมบัติหลงเหลืออยู่ เขาก็จะโยนสิ่งเหล่านั้นเข้าไปข้างใน
“ดินแดนแห่งวาสนา!”
“เมื่อไหร่ที่ข้าออกไปจากที่แห่งนี้ ข้าก็สามารถจะนำเอาสิ่งของเหล่านี้ไปแลกเปลี่ยนกับของที่ดีกว่าในตระกูลได้!” เมิ่งฮ่าวเริ่มมีความตื่นเต้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับการมายังสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่ากำลังจะรวยขึ้นแล้ว
ความรู้สึกนี้ยิ่งทำให้เขามีความตื่นเต้นมากขึ้น รีบพุ่งตรงไปยังภูเขาที่สี่และห้าอย่างรวดเร็ว
ตรงหน้าผาบนยอดเขาแต่ละลูก คือภาพของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว แต่ละครั้งที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังภาพเหล่านั้น ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ถูกประทับลงไปในจิตใจ ก็จะยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้น อย่างช้าๆ แรงกดดันอันแข็งแกร่งก็เริ่มกระจายออกมาจากภาพที่อยู่ในจิตใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปได้สามวัน เขาก็ไปอยู่ตรงภูเขาลูกที่แปด
เวลาเดียวกันนั้น ชายชราในชุดดำก็ยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ใกล้กับยอดเขาลูกที่แปด ติดอยู่ในค่ายกลเวท มองไปยังแผ่นหยกด้วยความรู้สึกหวาดกลัว เมื่อสามวันก่อนมันได้สังเกตดูแผ่นหยกอย่างต่อเนื่อง และมองเห็นจุดแสงที่เป็นตัวแทนของเมิ่งฮ่าว กำลังใกล้เข้ามายังตำแหน่งที่มันอยู่ภายในเก้าภูเขายมโลกนี้มากขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อมันเห็นเมิ่งฮ่าวเลือกที่จะเริ่มต้นยังภูเขาลูกแรกก่อน มันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา และยังได้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมาอีกด้วย ในจิตใจของมันดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวไม่กล้าที่จะเลือกภูเขาที่มันอยู่ในตอนนี้ ทำให้มันคิดว่าจะไล่ตามเมิ่งฮ่าวไปหลังจากที่หลุดพ้นออกไปได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ของมันก็ต้องพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมันมองเห็นด้วยความประหลาดใจว่า เมิ่งฮ่าวจริงๆ แล้ว…ได้ผ่านภูเขาลูกแรกไปในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น
หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น ในการออกจากภูเขาลูกแรกมาจนถึงภูเขาลูกที่แปดซึ่งมันได้ยืนอยู่นี้ ภาพที่เห็นนี้ทำให้หนังศีรษะมันต้องด้านชาจนแทบจะระเบิดออกมา จิตใจหมุนคว้างและเริ่มกระวนกระวายขึ้นด้วยความหวาดกลัว มันอยากจะออกไปจากภูเขาลูกนี้และหลบหนีจากไปในทันที
มันไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวกำลังทำอะไรอยู่ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ ในตอนนี้มันมั่นใจได้ว่าถ้ามันต้องมาพบกับเมิ่งฮ่าว มันก็คงจะต้องตายไปอย่างแน่นอน
“ข้าควรทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี…?” ชายชราในชุดดำมองไปยังแผ่นหยก และจุดแสงที่เป็นตัวแทนของเมิ่งฮ่าว ตอนนี้จุดแสงนั้นกำลังมุ่งหน้าตรงมายังมันด้วยความรวดเร็วอย่างน่ากลัว ทำให้ชายชราเริ่มหอบหายใจออกมาด้วยความหวาดกลัว
หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม…มันก็มองเห็นเมิ่งฮ่าว ตรงมายังมันพร้อมกับความพินาศที่อยู่ห่างออกไปตรงด้านล่างของภูเขา จากนั้นมันก็มองเห็น…นักรบศิลาที่เมิ่งฮ่าวกำลังนั่งอยู่ด้านบน ชายชราส่งเสียงแผดร้องด้วยความหวาดกลัวออกมา
“นั่นคือกลิ่นอายของผู้ยิ่งใหญ่เสมือนเต๋า!!”
“นี่…นี่…” ทันทีที่ชายชรามองเห็นรูปปั้น มันก็เข้าใจถึงทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นมันก็ตระหนักว่ารูปปั้นนี้ช่างดูคุ้นตานัก และภายในเวลาไม่นานมันก็ตระหนักว่ารูปปั้นนี้คืออะไร ในตอนนี้เองที่สองขาของมันจู่ๆ ก็เริ่มไร้เรี่ยวแรง และเงาแห่งความตายก็เริ่มแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งร่างกายของมัน
มันเริ่มหอบหายใจขณะที่ความคิดมากมายได้แล่นผ่านไปมาอยู่ในจิตใจ หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งอึดใจ เมิ่งฮ่าวและนักรบศิลาก็เข้ามาใกล้ ชายชราสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นสีหน้าก็สงบเยือกเย็นลง มันประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าว ระล่ำระลักเอ่ยขึ้น
“เหล่าฟูฟางเต้าหง ขอคารวะฮ่าวกงจื่อ!”
“กงจื่อคงจะต้องประหลาดใจที่ได้เห็นเหล่าฟูอยู่ในที่แห่งนี้ นั่นเป็นเพราะว่าฟางซิ่วซานที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจ ได้พยายามเกลี้ยกล่อมเหล่าฟูให้มายังที่แห่งนี้และสังหารกงจื่อไป แต่ฟางซิ่วซานก็ไม่รู้ว่าเหล่าฟูเป็นผู้ที่ซื่อตรงและไม่ได้หลงในคำเยินยอเหล่านั้น และมักจะชื่นชมฮ่าวกงจื่อเป็นอย่างยิ่ง! แล้วเหล่าฟูจะไปช่วยเจ้าคนชั่วร้ายเช่นฟางซิ๋วซานได้อย่างไร!?”
“ดังนั้น เหล่าฟูจึงได้ยอมรับข้อเสนอของฟางซิ่วซาน แต่ด้วยจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือ มายังที่แห่งนี้และคอยช่วยปกป้องกงจื่อ! ฮ่าวกงจื่อ…เมื่อท่านยังเยาว์วัย ข้าเคยอุ้มท่านมาแล้ว…”
ขณะที่ฟางเต้าหงพูดจา นักรบศิลาก็มาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้ามัน นักรบศิลามีความสูงสามจ้าง ไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่ก็ยังกระจายแรงกดดัน รวมทั้งกลิ่นอายเสมือนเต๋าออกมา จนทำให้ชายชราต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กลืนน้ำลายลงไปอย่างยากเย็น จากนั้นก็ฝืนยิ้มออกมา พยายามที่จะทำให้ตัวมันเองดูเหมือนกับว่าจะไร้พิษสงใดๆ
เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่บนไหล่ของนักรบศิลา มองลงไปยังฟางเต้าหง
“เจ้าอุ้มข้าตอนที่ข้ายังเป็นทารก?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น
“ใช่แล้ว!” มันกล่าวตอบ พยักหน้าด้วยท่าทางแข็งขัน “ฮ่าวกงจื่อ ข้าอุ้มท่านอยู่ในวงแขนจริงๆ ท่านน่ารักมากในตอนที่ยังเป็นทารก! และตอนนี้เมื่อท่านเติบโตขึ้นก็ช่างหล่อเหลานัก…” ชายชราไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาประจบสอพลอ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มันไม่ลังเลที่จะพูดออกมาแม้แต่น้อย
เมิ่งฮ่าวมองไปยังชายชราอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าให้
“เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ดี ให้ลดพื้นฐานฝึกตนของเจ้าลงมายังอาณาจักรเซียน ข้าจะผนึกเจ้าไว้ด้วยเวทสะกด นับจากนี้ไปเจ้าจะต้องทำตามคำสั่งของข้า”
ฟางเต้าหงตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งฮ่าว แต่กลิ่มอายของนักรบศิลาได้ระเบิดออกมาก่อนที่มันจะทันได้กล่าวปฏิเสธ ราวกับเป็นภูเขาที่กำลังบดขยี้ลงมาบนร่างของฟางเต้าหง และความรู้สึกถึงวิกฤตอันร้ายแรงก็เต็มอยู่ในจิตใจมัน จนทำให้สีหน้าต้องขาวซีดไป และมีเหงื่อไหลลงมาจากบนใบหน้าอีกด้วย
ภายในใจมันกำลังก่นด่าสาปแช่งฟางซิ่วซานอย่างน่ากลัว ความเกลียดชังที่มันมีต่อฟางซิ่วซานได้บรรลุถึงระดับที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ และความรู้สึกที่เสียใจอย่างลึกล้ำก็เต็มอยู่ในจิตใจมันด้วยเช่นเดียวกัน
จากนั้นมันก็มองไปยังแสงอันเย็นชาที่อยู่ภายในดวงตาเมิ่งฮ่าว และจิตใจก็เต้นรัวขึ้นมา หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ มันก็ถอนหายใจยาวออกมา ยกมือขวาขึ้นไปโดยไม่ลังเล และจากนั้นก็ตบลงไปที่หน้าอกของตัวเอง
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก ขณะที่เส้นลมปราณมากมายแตกกระจายไป และพื้นฐานฝึกตนของมันก็ลดลงมาจากการที่มีตะเกียงวิญญาณซึ่งดับไปแล้วหนึ่งดวง ลงมาอยู่ที่จุดสูงสุดของอาณาจักรเซียน
ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวไม่ได้ขยับตัวเคลื่อนไหวใดๆ ด้วยการมีนักรบศิลาอยู่ จึงไม่ต้องสงสัยว่าฟางเต้าหงจะเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเมิ่งฮ่าวหรือไม่ อย่างไรก็ตามถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ได้มีนักรบศิลาคอยปกป้องดูแลเขา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใบหน้าของชายชราก็คงจะเย็นชาราวน้ำแข็ง และคงจะสังหารเขาไปในทันที
เมิ่งฮ่าวไม่ได้แสดงความเวทนาต่อศัตรู การที่ไว้ชีวิตของมันก็ถือว่าเป็นมากกว่าความเมตตาแล้ว
เมื่อเขามองไปยังพื้นฐานฝึกตนที่ลดลงไปของฟางเต้าหง เมิ่งฮ่าวก็ยื่นมือออกไป และปลดปล่อยเวทผนึกอสูรรุ่นหกออกไป ทันใดนั้นกระแสปราณสีดำและขาวก็เริ่มหมุนวนอยู่รอบๆ มือของเขา กระแสปราณทั้งสองส่องสว่างไปที่ใบหน้าเขาด้วยแสงเจิดจ้าสีดำและขาว ทำให้ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
หนังศีรษะฟางเต้าหงด้านชา ปราณสีดำและขาวทำให้มันต้องสั่นสะท้านขึ้นด้วยความหวาดกลัว
มันลังเลอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็ถามขึ้น “ฮ่าวกงจื่อ…นั่น…นั่นคือเวทสะกดอะไร?”
“มันคือเวทสะกดที่ข้าได้เรียนรู้มาเมื่อไม่กี่วันมาก่อน” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบ จ้องมองไปยังฟางเต้าหง “ข้ายังใช้มันได้ไม่ชำนาญนัก แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเชื่อมั่นว่าจะต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน อันที่จริงถ้าเจ้าลดพื้นฐานฝึกตนลงมากกว่านี้อีกเล็กน้อย ก็จะยิ่งมีโอกาสสูงมากขึ้นที่ข้าจะทำได้สำเร็จ”
สีหน้าฟางเต้าหงสลดลง
“ท่านเรียนรู้มาเมื่อไม่กี่วันก่อน? ยังคงไม่คุ้นเคยกับมัน? นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านรู้สึกเชื่อมั่นในการใช้มัน?” เหงื่อเท่าเม็ดถั่วปะทุขึ้นมาจากใบหน้าของชายชรามากยิ่งขึ้น มันรู้สึกว่าสองกระแสปราณสีดำและขาว กำลังดูดวิญญาณมันออกไปมากยิ่งขึ้น มันยังมีลางสังหรณ์อีกด้วยว่า ถ้าเวทนี้ล้มเหลว มันก็คงจะต้องตายไปอย่างทุกข์ทรมานมากที่สุด
มันมองไปขณะที่เมิ่งฮ่าวชี้นิ้วตรงมา ฟางเต้าหงรีบยกมือขึ้นและร้องตะโกนออกมา
“ช้าก่อน…” มันเริ่มก้าวถอยไปทางด้านหลัง แต่จากนั้นนักรบศิลาก็ยกกระบี่เล่มใหญ่ของมันขึ้นมา รังสีสังหารกระจายออกไป ฟางเต้าหงรีบหยุดชะงักนิ่งไปในทันที
ใบหน้ามันกลายเป็นสีขาวซีด ขณะที่กัดฟันแน่นและจากนั้นก็ตบลงไปที่หน้าอกสองสามครั้งอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง มันกระอักโลหิตออกมาสองสามครั้ง อาการบาดเจ็บที่รุนแรงของมัน ทำให้พื้นฐานฝึกตนลดลงไปจากอาณาจักรเซียน ลงมาอยู่ที่ชั้นเทียบเท่ากับค้นหาเต๋า ในตอนนั้นเองที่มันหยุดมือ มองขึ้นไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยใบหน้าที่ซีดขาวและรอยยิ้มอันขมขื่น
การกระทำอย่างรวดเร็วของมัน ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องมองไปอย่างลึกซึ้งอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ชี้นิ้วขวาออกไปอีกครั้ง ทันใดนั้นกระแสปราณสีดำและขาวก็พุ่งฝ่าอากาศ และจมลงไปในร่างกายของฟางเต้าหง มันสั่นสะท้านล้มลงไปบนพื้น และเริ่มแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นสัญลักษณ์เวทสีเทาก็เริ่มปรากฏขึ้นบนผิวกายของมัน สัญลักษณ์เหล่านั้นหมุนวนไปมา เห็นได้ชัดว่ากำลังเริ่มเติบโตขึ้นมาอยู่ภายในร่าง และปรากฏขึ้นอยู่บนผิวกายของมัน
เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังฟางเต้าหงอย่างใกล้ชิด ครั้งนี้เขาได้ใช้วิธีรวบรวมเวทรุ่นหกซึ่งแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล เขาก็จะลองพยายามทำด้วยวิธีอื่นแทน
เวลาผ่านไป ในที่สุดเสียงแผดร้องของฟางเต้าหงก็เริ่มแผ่วเบาลงไป หลังจากที่เวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป จู่ๆ มันก็นิ่งแข็งไป และสัญลักษณ์เวททั้งหมดก็จางหายไป มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือสัญลักษณ์เวทชิ้นใหม่ที่อยู่ตรงหน้าผากของมัน สัญลักษณ์เวทนั้นได้เกิดเป็นเสียงปะทุขึ้น ขณะที่มันลอยออกมาจากหน้าผากของฟางเต้าหง และหลอมรวมเข้าไปในร่างของเมิ่งฮ่าว
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่กำลังไหลอยู่ภายในร่างเขาตอนนี้ ในเวลาเดียวกันนั้น ภาพของมนุษย์ตัวเล็กๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นอยู่ในจิตใจ มนุษย์ตัวเล็กนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับฟางเต้าหงโดยสิ้นเชิง
“มันได้ผล?” เมิ่งฮ่าวคิด มีท่าทางตกตะลึงขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่ได้พยายามหาวิธีการมาหลายครั้ง ดูเหมือนว่านี่คือความสำเร็จในครั้งแรกของเขา
ฟางเต้าหงจ้องมองไปด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ลุกขึ้นมายืน ความเจ็บปวดทั้งหมดที่มันพบเจอมาเมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้วในตอนนี้ มันกระพริบตาไปมาอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ขยับแขนขาเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้
“กงจื่อ ท่าน…ท่านทำได้สำเร็จแล้ว?” มันถามขึ้นอย่างลังเล
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ขณะที่ทำการศึกษาร่างเล็กๆ ที่อยู่ภายในด้วยจิตใจที่เต้นรัว เขาคิดว่ากำลังตบไปที่ร่างเล็กๆ นั้นด้วยฝ่ามือ ทันทีที่ทำเช่นนั้น ฟางเต้าหงก็ส่งเสียงแผดร้องออกมา ราวกับว่ามีมือยักษ์ที่มองไม่เห็น เพิ่งจะฟาดลงมาที่ร่างมัน ทำให้โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก และมันก็ล่วงลงไปนอนกองอยู่บนพื้น หลังจากที่ดิ้นรนลุกขึ้นมายืน มันก็มองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเริ่มสาดประกายขึ้น ขณะที่เขาคิดไปว่าชายชรากำลังถูกสายฟ้าฟาดลงมา
มองไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ฟางเต้าหงก็แผดร้องออกมา ราวกับว่ามันกำลังถูกสายฟ้าฟาดใส่
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น ขณะที่คิดไปว่าชายชรากำลังถูกเผา, จมน้ำ, ถูกกระทืบ, ถูกบดขยี้ด้วยภูเขา…
ฟางเต้าหงแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา ขณะที่มันรู้สึกว่าเส้นผมของมันกำลังลุกไหม้ ร่างกายมันกำลังจมลงไปในน้ำ ผิวหนังเป็นรอยฟกช้ำ และสุดท้ายมันต้องลงไปนอนอยู่บนพื้น ราวกับว่ากำลังถูกบดขยี้โดยสิ่งของบางอย่างที่มีขนาดใหญ่โต ทั้งหมดนี้ทำให้มันต้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความหวาดกลัว มันรู้ว่านี่คือเวทผนึกและเวทสะกดทั้งหมด แต่มันก็ไม่เคยได้ยินถึงสิ่งใดๆ ที่น่าหวาดกลัวอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน
ทันใดนั้นมันก็รู้สึกได้ว่า…เมิ่งฮ่าวกำลังจะเล่นกับมันจนกระทั่งมันตกตายไป
“นี่คือเวทรุ่นหก…เวทเป็นตาย…ข้าควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แล้ว” เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจากนั้นก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้ทำให้ฟางเต้าหงต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ในตอนนี้มันรู้สึกอัปยศอย่างถึงที่สุด และทำให้ความเกลียดชังที่มันมีต่อฟางซิ่วซานต้องฝังลึกลงไปจนถึงในกระดูก!