Skip to content

King of Gods 1044

King Of Gods

บทที่ 1044 หมอเทวดาอวี้หลิง

แย่งสัดส่วนการค้าของมุมมืดทมิฬ ประเด็นสำคัญก็คือรางวัลของภารกิจลอบสังหาร

รางวัลของภารกิจที่จ้าวเฟิงนำออกมา จะต้องเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจอื่นไม่มีทางเสนอให้ได้ อีกทั้งเป็นรางวัลที่ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนกรูกันวิ่งเข้าใส่

หลังจากที่เซียนราตรีทมิฬและเซียนเกราะดำจากไปแล้ว ร่างของจ้าวเฟิงก็หายไปจากตรงนั้น

ในห้วงฝันบรรพกาล จ้าวเฟิงเข้าไปใกล้ส่วนลึกในป่าอย่างระมัดระวัง

พลังมองทะลุผ่านของตาซ้ายจ้าวเฟิงถูกสกัดกั้นเป็นอย่างมากในห้วงฝันบรรพกาล

แต่ยามนี้ ตาซ้ายของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง ยิ่งเมื่อรวมกับพลัง ‘แสงส่องทะลุ’ จ้าวเฟิงก็สามารถมองผ่านการสกัดกั้นของพืชพรรณบรรพกาลเหล่านี้ และเห็นสภาพแวดล้อมในส่วนลึกได้

ใจกลางป่ามีสระน้ำอยู่หนึ่งสระ กระแสน้ำใสบริสุทธิ์ไหลมาจากธารเล็กๆ ระหว่างภูเขาด้านหลัง รอบสระน้ำแห่งนี้มีเสืออัคคีปีกทองกว่าสิบตัวนอนพักอยู่

ตอนนั้นเองจ้าวเฟิงถึงพบว่าเสืออัคคีปีกทองที่เขาสังหารลงในตอนนั้น นับว่าเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุดในหมู่เผ่าพันธุ์เสืออัคคีปีกทองนี้แล้ว

เสืออัคคีปีกทองสองตัวในนั้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จ้าวเฟิงเพียงมองมาจากที่ไกลๆ ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังของสัตว์โบราณอันน่ากลัวจากบนร่างพวกมัน

ฟู่! เสืออัคคีปีกทองหนึ่งในนั้นราวกับจับสัมผัสอะไรได้ แววตามองมาทางจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงรีบเบนสายตา เก็บงำกลิ่นอาย

‘พลังของเสืออัคคีปีกทองตัวนี้ อย่างน้อยๆ ก็เท่ากับเทวาเร้นลับชั้นสูง!’

จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

แต่ที่จริงแล้ว ขอบเขตพลังของเสืออัคคีปีกทองตัวนี้เพิ่งจะเป็นเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มเท่านั้้น

จ้าวเฟิงวนรอบที่พักผ่อนของเสืออัคคีปีกทอง สำรวจอยู่รอบหนึ่ง สุดท้ายจึงเริ่มลงมือ

จ้าวเฟิงเล็งเป้าหมายเอาไว้ที่เสืออัคคีปีกทองตัวหนึ่งที่ห่างออกมาจากฝูง

ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง จ้าวเฟิงเผยกลิ่นอายออกมา

ทันใดนั้น เสืออัคคีปีกทองตัวนั้นสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงมุ่งบินมายังทิศที่จ้าวเฟิงอยู่ ค่อยๆ ห่างออกมาจากฝูงมากขึ้น

“ครั้งนี้ก็เป็นเจ้าล่ะ!”

จ้าวเฟิงโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทันที กระตุ้นเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบแล้วพุ่งไปยังเสืออัคคีปีกทองตัวนี้

เมื่อมีประสบการณ์จากการต่อสู้ครั้งที่แล้ว ครั้งนี้จ้าวเฟิงยิ่งสามารถจัดการกับเสืออัคคีปีกทองตัวนี้ได้ง่ายขึ้น ควบคุมจังหวะการต่อสู้ อีกทั้งโจมตีไปยังจุดอ่อนของเสืออัคคีปีกทองได้โดยเฉพาะ

ในยามที่เสืออัคคีปีกทองจับสังเกตได้ถึงความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิง มันเตรียมพร้อมที่จะหนี ตาซ้ายของจ้าวเฟิง ปรากฏคลื่นพลังเนตรอันแข็งแกร่งขึ้น

“เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า!”

ในตาซ้ายของจ้าวเฟิง เปลวเพลิงพลังดวงตาอันน่าหวาดหวั่นพรั่งพรูออกมา แสงประกายสีม่วงทองหมุนวน ลวดลายอัสนีเทวะเย็นเยือกแต่ละเส้นลอยเอ่อ

ครืน!เพลิงอัสนีสีม่วงทองที่โปร่งแสงกลุ่มหนึ่ง พร้อมด้วยกลิ่นอายอัสนีเทวะทำลายล้าง โจมตีไปยังหัวของเสืออัคคีปีกทอง

ยามนี้คือเวลาที่เสืออัคคีปีกทองอ่อนแอที่สุด จ้าวเฟิงรีบพุ่งจู่โจมทันที สังหารมันในการโจมตีครั้งเดียว

พรึ่บ! จ้าวเฟิงแบกเสืออัคคีปีกทองที่ตายเรียบร้อยแล้วกลับมาในมนตราอากาศ

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยน้อยที่แต่เดิมกำลังหลับอยู่รีบกระโดดมารับหน้าทันที แววตาส่องประกายวาววับ น้ำลายไหลยืด

“ไม่ได้ เสืออัคคีปีกทองตัวนี้ต้องใช้ทำอย่างอื่น!”

จ้าวเฟิงหยุดฝันลมๆ แล้งๆ ของแมวขโมยน้อยทันที

สุดท้าย จ้าวเฟิงก็ให้แมวขโมยน้อยแล่เสืออัคคีปีกทองเป็นชิ้นๆ และให้ปีกข้างหนึ่งเป็นรางวัล

ส่วนจ้าวเฟิงออกจากตำหนักย่อยหอควันสมุทร เริ่มออกเดินทาง

ระหว่างทาง จ้าวเฟิงใช้มนตราอากาศและค่ายกลข้ามเมืองในเมืองใหญ่ ไม่นานก็มาถึงยังสถานที่เป้าหมาย

หอโอสถเซียน เมืองฉางหง!

“ยินดีต้อนรับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการวัตถุดิบยาหรือยาชนิดใด?”

สตรีงดงามเรียบง่ายในชุดตัวยาวสีเขียวมาต้อนรับ

จากนั้น จ้าวเฟิงก็มายังชั้นที่แปดของหอโอสถเซียน

ที่ชั้นแปดมีจักพรรดิหลายคนกำลังเลือกวัตถุดิบยาและตัวยา…

“โจวซู่เอ๋อร์ ข้ามาแล้ว!” จ้าวเฟิงส่งเสียงขึ้น ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดที่เชื่อมไปถึงชั้นเก้า

“เจ้าหนุ่มนี่คือใครกัน? สามารถขึ้นไปชั้นเก้าได้ทันที?”

“เจ้าหอของที่นี่เป็นเชื้อพระวงศ์เชียวนะ!”

“ผมทองตาทอง หรือว่าคือจ้าวเฟิง!”

ในชั้นที่แปด จักรพรรดิหลายคนตื่นตะลึง

ขณะนี้สองราชวงศ์ทำศึกใหญ่ ขั้วอำนาจและผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของราชวงศ์ต่างติดตามข่าวสารสนามรบแนวหน้ากันเกือบหมด อีกทั้งส่วนใหญ่เข้าร่วมสงครามด้วยตนเอง

ชื่อเสียงของจ้าวเฟิงที่เอาชนะเซียนหมื่นปรากฏการณ์ได้ จึงถึงขั้นมากกว่าผลงานของเขาในการทดสอบรัชทายาท

จ้าวเฟิงเพิ่งจะมาถึงชั้นที่เก้า โจวซู่เอ๋อร์ก็ส่งกระแสจิตมา

“ข้าคิดว่าจากนี้เจ้าจะไม่มาหาข้าที่นี่แล้วเสียอีก!”

ในคำพูดของโจวซู่เอ๋อร์เหมือนจะมีแววตัดพ้อ

“ข้ามาครั้งนี้ มีเรื่องอยากให้ท่านช่วย!”

จ้าวเฟิงเอ่ยออกไปตรงๆ

คิ้วของโจวซู่เอ๋อร์พลันขมวดมุ่น ดวงตาทั้งสองจ้องจ้าวเฟิงเขม็ง ประโยคนี้ของจ้าวเฟิงทำร้ายจิตใจนางอย่างเห็นได้ชัด

“เรื่องอะไร?” โจวเซู่เอ๋อร์ถอนใจเล็กน้อย

นางก็รู้ ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของขั้วอำนาจขนาดใหญ่ จ้าวเฟิงยุ่งเป็นอย่างมาก ช่วงก่อนหน้านี้ก็ยังสู้อยู่ในสนามรบ

อีกทั้งจ้าวเฟิงและวังเก้านิรยมีความแค้นกัน เวลาว่างของจ้าวเฟิงมีไม่มากจริงๆ

“ข้ามีเลือดเนื้อของสัตว์อสูรชนิดหนึ่ง อยากจะเอามาทำเป็นยา”

จ้าวเฟิงพูดขึ้น

“เรื่องเล็กน้อย!” โจวซู่เอ๋อร์รับปากอย่างสบายๆ

สิ่งล้ำค่าที่สุดในกายของสัตว์อสูร ส่วนมากไม่มีอะไรเกินไปกว่าวัตถุดิบบางอย่างและแก่นผลึก

แต่ยังมีเลือดเนื้อของสัตว์อสูรบางชนิดที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง แฝงไว้ด้วยปราณและแก่นสำคัญที่แข็งแกร่ง เมื่อทำเป็นยาแล้วจะยิ่งเหมาะกับผู้ฝึกตนอย่างไม่ต้องสงสัย

“ข้ามีเงื่อนไขกำหนดคุณสมบัติของยา!”

จ้าวเฟิงวางแผนจะใช้ยาที่ทำจากเลือดเนื้อของเสืออัคคีปีกทองมาเป็นรางวัลในภารกิจสอบสังหาร

ภารกิจลอบสังหารพวกนี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนค่อนข้างกว้าง รวมทั้งราชันจนถึงเซียน ดังนั้นยามีแบ่งสูงต่ำเป็นดีที่สุด

“ยุ่งจริงๆ เอาซากของสัตว์อสูรมาให้ข้าเถอะ!”

โจวซู่เอ๋อร์สงสัยเป็นอย่างมากว่าจ้าวเฟิงได้สัตว์อสูรหายากอะไรมา

ในเมื่อจ้าวเฟิงคือผู้แข็งแกร่งสายฝึกกาย ระดับขั้นวิญญาณก้าวเข้าสู่ประตูขอบเขตเทวาเร้นลับ เลือดเนื้อของสัตว์อสูรทั่วไปแทบจะไม่เกิดผลอะไรสำหรับเขา

จ้าวเฟิงยื่นแหวนเก็บของไปวงหนึ่ง

เนื้อของเสืออัคคีปีกทอง หากนำออกมาทันที กลิ่นอายบรรพกาลที่แผ่กระจายออกมาอาจถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นสัมผัสได้

โจวซู่เอ๋อร์มองไปยังจ้าวเฟิงที่ดูลับๆ ล่อๆ ประสาทสัมผัสวิญญาณเข้าสำรวจในแหวนเก็บของ

“นี่มัน…” โจวซู่เอ๋อร์ตะลึงไปในทันที

ในฐานะที่เป็นแพทย์ นางย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสายเลือดบริสุทธิ์อันแข็งแกร่งที่แผ่กระจายออกมาจากเสืออัคคีปีกทอง

แต่สัตว์อสูรตัวนี้ถูกแล่เป็นชิ้นไปก่อนแล้ว นางจึงไม่สามารถวิเคราะห์ถึงชนิดของมันได้

“กลิ่นอายบรรพกาลเข้มข้นเหลือเกิน….” โจวซู่เอ๋อร์พูดขึ้นทันใด

กลิ่นอายบรรพกาลที่แข็งแกร่งและเข้มข้นกลุ่มนี้ แกร่งเสียยิ่งกว่ากลิ่นอายในสุสานราชวงศ์หลายเท่านัก

“บนซากยังมีกลิ่นอายของสายเลือดบรรพกาลอยู่ เจ้าสังหารเผ่าพันธุ์ร่างเดิมของสายเลือดบรรพกาลรึ?”

โจวซู่เอ๋อร์เอ่ยถามอย่างตกใจ รู้สึกว่าเลือดในกายสั่นสะท้าน

เผ่าพันธุ์ร่างเดิมของสายเลือดบรรพกาล ยกตัวอย่างก็เช่นไหมเมฆาผีเสื้อเซียน ราคาความล้ำค่าไม่ต้องสงสัย จะมีใครที่ไหนฆ่าสัตว์อสูรวิเศษที่หายากเช่นนี้มาทำเป็นยากัน

“เป็นแค่เผ่าพันธุ์บรรพกาลที่อยู่ในอันดับเก้าพันกว่า”

จ้าวเฟิงอธิบาย

โจวซู่เอ๋อร์สงบจิตใจ เผ่าพันธุ์บรรพกาลร่างเดิมที่อยู่อันดับท้ายๆ เช่นนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์จริงๆ แต่สายเลือดบรรพกาลที่เข้มข้นกลุ่มนี้ รวมทั้งปราณและแก่นสำคัญทรงพลัง ยังคงทำให้นางอดสงสัยไม่ได้

“เจ้าอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งไปก่อน ข้าไม่เคยหลอมพวกร่างเดิมของเผ่าพันธุ์บรรพกาล อีกทั้งในนี้ยังแฝงด้วยสายเลือดบรรพกาล ข้าจะต้องไปถามท่านอาจารย์….”

โจวซู่เอ๋อร์อธิบายให้จ้าวเฟิงฟัง จากนั้นก็จากหอโอสถเซียนไป

จ้าวเฟิงพยักหน้า เลือดของเสืออัคคีปีกทองตัวนี้ จ้าวเฟิงเอามาเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนเดียว เลือดของเสืออัคคีปีกทองส่วนใหญ่ยังอยู่ในตัวของมัน เช่นนี้ก็เพื่อยกระดับคุณสมบัติของยา

หลังจากที่โจวซู่เอ๋อร์จากไปแล้ว จ้าวเฟิงก็พักอยู่ที่ชั้นเก้าของหอโอสถเซียนชั่วคราว

“เสืออัคคีปีกทองตัวเดียวไม่มีทางพอ!”

ยาที่ทำจากเสืออัคคีปีกทองหนึ่งตัว บางทีอาจจะดึงดูดความสนใจจากพวกนักฆ่าได้ชั่วขณะ แต่ไม่อาจรั้งเอาไว้ได้

ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาลเป็นประจำ หาโอกาสหรือไม่ก็หลอกล่อเสืออัคคีปีกทองตัวสองตัว

ผ่านไปครึ่งเดือน จ้าวเฟิงล่าสังหารเสืออัคคีปีกทองได้สำเร็จอีกสองตัว

แต่ในยามนี้ เสืออัคคีปีกทองรู้ถึงการกระทำของจ้าวเฟิงแล้ว เสืออัคคีปีกทองทั้งหมดจึงแทบจะชุมนุมอยู่ใกล้สระน้ำ มีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ออกไปข้างนอก ความยากในการล่าของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นมาก

“ไม่รู้ว่าสระน้ำนั่นมีอะไรวิเศษ?”

จ้าวเฟิงที่อยู่กลางป่าใช้พลังมองทะลุผ่าน มองไปยังสระน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับ ใสสะอาดเหนือสิ่งอื่นใด

สามารถทำให้เสืออัคคีปีกเพลิงนับสิบตัวพักพิงอยู่ที่นั่นได้ สระน้ำนั่นจะต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่

ทันใดนั้น จ้าวเฟิงเหมือนจับสัมผัสอะไรได้ จึงออกจากห้วงฝันบรรพกาลกลับมายังในหอโอสถเซียน

ไม่นานนัก เงาร่างสองคนเดินตามบันไดมาถึงชั้นที่เก้าของหอโอสถเซียน

หนึ่งในนั้นคือโจวซู่เอ๋อร์ ข้างกายคือหญิงชราผมขาวทั้งหัวที่หน้าตามีเมตตาคนหนึ่ง

“จ้าวเฟิง ยาหลอมเสร็จแล้ว!”

ในมือของโจวซู่เอ๋อร์มีขวดยาหยกขาวสองขวดปรากฏขึ้น

จ้าวเฟิงรับมาแล้วก็เปิดขวดยา ดวงตาซ้ายกวาดผ่าน

ยาทั้งสองขวดแบ่งระดับสูงต่ำจริงๆ แต่คุณสมบัติของยาพวกนี้เหนือการคาดเดาของจ้าวเฟิงนัก

“ขวดหนึ่งในนั้นคือ ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ ใช้เลือดเนื้อปรุงขึ้น อีกขวดหนึ่งคือ ‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’ ใช้เลือดเป็นหลัก ผสมกับเนื้อเล็กน้อย!”

หญิงชราผมขาวผู้นั้นอธิบายกับจ้าวเฟิง

“นี่คืออาจารย์ของข้า หมอเทวดาอวี้หลิง!”

โจวซู่เอ๋อร์แนะนำ

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาในครั้งนี้ มีเรื่องอันใด?”

จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ มองหญิงชราผมขาวผู้นี้

หมอเทวดาอวี้หลิง หนึ่งในเซียนสายแพทย์ขั้นสุดยอดของแผ่นดินใหญ่ คนประเภทนี้ฝึกฝนสายแพทย์เป็นหลัก ขอบเขตพลังฝึกตนกลับสามารถไปถึงขั้นเซียนได้ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าพรสวรรค์ทั้งสองด้านของพวกเขาสูงมากเพียงใด หากไม่มีเรื่องอะไร เซียนสายแพทย์จะมาที่นี่ด้วยตนเองได้อย่างไร

ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงก็เดาได้ว่ายาพวกนี้อาจเป็นยาที่หมอเทวดาอวี้หลิงเป็นผู้หลอมเอง มิฉะนั้นแล้วคุณสมบัติคงไม่มีทางสูงได้ถึงเพียงนี้

“ไม่ทราบว่าสหายน้อยจ้าวยังมีเลือดชนิดนี้อีกหรือไม่ ข้ายินยอมแลกด้วยราคาอย่างงาม!”

หมอเทวดาอวี้หลิงเอ่ยออกมาตรงๆ

ต้องรู้ว่า บุญคุณของเซียนสายแพทย์ในดินแดนทวีปสูงส่งล้ำค่ามากนัก

เบื้องหลังของเซียนสายแพทย์คนหนึ่งเกี่ยวโยงถึงขั้วอำนาจและผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน

โจวซู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเบ้ปาก นางรู้อยู่แล้วว่าเลือดเนื้อพวกนั้นที่จ้าวเฟิงเอาออกมาไม่ได้สามัญอย่างที่เห็นภายนอก

“เผ่าพันธุ์ร่างเดิมของเผ่าพันธุ์บรรพกาล มีน้อยมาก!”

จ้าวเฟิงตอบออกไป แต่ไม่ได้ปฏิเสธ

“สหายน้อยจ้าวไม่มีความต้องการอื่นใดรึ?”

หมอเทวดาอวี้หลิงถามต่อ

ยาที่นางหลอมเองกับมือ แน่นอนว่าย่อมต้องสัมผัสได้ว่าเลือดบางส่วนถูกจ้าวเฟิงเก็บเอาไป

ถึงแม้นางก็สามารถสกัดเลือดออกมาได้บางส่วน แต่ก็ได้น้อยมาก ในเมื่อเป็นเซียนสายแพทย์ที่ขึ้นชื่อของดินแดนทวีป เรื่องแอบลดวัสดุลดต้นทุนเช่นนี้ นางทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้

แต่จากเลือดหนึ่งหยดที่สกัดออกมา ก็ทำให้หมอเทวดาสั่นสะท้านไปนาน

ความเข้มข้นของสายเลือดบรรพกาลสูงจนไม่น่าเชื่อ ต่อให้สัตว์อสูรชนิดนี้เป็นเผ่าพันธุ์บรรพกาลร่างเดิมที่เหลือรอดจากยุคโบราณอันใกล้ ก็ไม่น่าจะมีสายเลือดบรรพกาลที่บริสุทธิ์เช่นนี้

“มี ข้าอยากเชิญหมอเทวดาอวี้หลิงมาหลอมยาเพื่อ ‘ตำหนักราชัน’ สิบปี! ”

จ้าวเฟิงยิ้มบางพลางเอ่ยออกมา

ราคาสิบปีของเซียนสายแพทย์ สูงกว่าราคาร้อยปีของผู้แข็งแกร่งขั้นเซียนคนหนึ่งมากนัก

โจวซู่เอ๋อร์ตกใจแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ หมอเทวดาอวี้หลิงอาจารย์ของนางจนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมให้กับขั้วอำนาจใด แม้กระทั่งการเชื้อเชิญของราชวงศ์ยังปฏิเสธ

“ฮ่าๆ ไม่ทราบว่าสหายน้อยจ้าวมีอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน?”

หมอเทวดาอวี้หลิงยิ้มเล็กน้อย

นางไม่เคยได้ยินชื่อตำหนักราชันมาก่อน แต่นี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรเท่าไรนัก

โจวซู่เอ๋อร์สีหน้าตกตะลึง หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปพูดประโยคนี้ หมอเทวดาอวี้หลิงย่อมปฏิเสธไปทันที กระทั่งจะไม่มีทางหลอมยาเพื่อคนคนนั้นในภายหลังอีก

แต่ในครั้งนี้ อาจารย์ของนางกลับไม่ปฏิเสธ อีกทั้งมีท่าทางสนใจในระดับหนึ่งด้วย!

จ้าวเฟิงยื่นแหวนเก็บของวงหนึ่งให้ จากนั้นพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสน่าจะรู้ว่าเลือดเนื้อนั่นมาจากสัตว์อสูรชนิดใดกระมัง?”

หมอเทวดาอวี้หลิงรับแหวนเก็บของมา

ประสาทสัมผัสวิญญาณสำรวจดู ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอยทันใด เห็นได้ชัดว่าความคิดทั้งหมดของนางเข้าไปในมิติเก็บของแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!