บทที่ 1045 ภารกิจลอบสังหาร
ความคิดของหมอเทวดาอวี้หลิงเข้าไปในมิติเก็บของทั้งหมด แล้วสำรวจของที่เก็บอยู่ข้างใน
นั่นคือสัตว์อสูรดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์บรรพกาล ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่ยังแผ่กระจายกลิ่นอายแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น
“พลังกายแข็งแกร่งเหลือเกิน ทั้งยังมีสายเลือดเผ่าพันธุ์บรรพกาลเข้มข้น กลิ่นอายดั้งเดิมในฟ้าดินยุคโบราณ….”
หมอเทวดาอวี้หลิงแทบอยากจะศึกษาเสืออัคคีปีกทองในทุกๆ ด้านเสียตอนนี้ แต่ความคิดของนางกลับไปที่ร่างโดยทันที
ในหอโอสถเซียน ดวงตาของหมอเทวดาอวี้หลิงกลับมาส่องประกายดังเดิม รีบพูดขึ้นทันใด “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!”
โจวซู่เอ๋อร์กำลังรอดูจ้าวเฟิงคอตก กลับไม่คิดว่าอาจารย์ของตนจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา
“ท่านอาจารย์ ท่านตกลงได้อย่างไรกัน?”
โจวซู่เอ๋อร์รีบถามขึ้น
ในขณะเดียวกัน โจวซู่เอ๋อร์ก็สงสัยเป็นอย่างมาก ตกลงแล้วจ้าวเฟิงเอาอะไรมาเสนอ จึงสามารถทำให้หมอเทวดาอวี้หลิงที่ปฏิเสธแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์ตอบรับคำขอ
“ทำไม? เจ้าไม่อยากให้อาจารย์ช่วยเขารึ?”
หมอเทวดาอวี้หลิงย้อนถาม จากนั้นมองไปยังโจวซู่เอ๋อร์ด้วยยิ้มกรุ้มกริ่ม
ใบหน้างดงามของโจวซู่เอ๋อร์แดงซ่าน ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“เช่นนั้นก็รบกวนผู้อาวุโสแล้ว!”
จ้าวเฟิงยิ้มเอ่ย
เขาก็คิดไม่ถึงว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้พบกับหมอเทวดาอวี้หลิง ตำหนักราชันเพิ่งจะก่อตั้งขึ้น การเข้าร่วมของหมอเทวดาอวี้หลิงสามารถเพิ่มชื่อเสียงได้ไม่น้อย
อีกทั้งต่อจากนี้ไป หากจ้าวเฟิงคิดอยากจะหลอมยา ก็เรียกหาหมอเทวดาท่านนี้ได้ทันที
“ผู้อาวุโสต้องการเตรียมอะไรหรือไม่?”
จ้าวเฟิงกระตือรือร้นถาม
ในเมื่อหมอเทวดาอวี้หลิงรับปากทำงานให้กับตำหนักราชันสิบปี เช่นนั้นก็ต้องย้ายไปอยู่ตำหนักราชัน
“ออกเดินทางเถอะ!” หมอเทวดาอวี้หลิงเอ่ยขึ้น
แค่สิบปีเท่านั้น สำหรับเซียนคนหนึ่งแล้วเป็นเวลาเพียงแค่นับนิ้วเท่านั้น
เมื่อมาถึงตำหนักราชัน วัตถุดิบในการหลอมยาหลังจากนี้ แน่นอนว่าตำหนักราชันเป็นผู้รับผิดชอบ
“โจวซู่เอ๋อร์ เช่นนั้นพวกเราไปก่อน!”
จ้าวเฟิงยิ้ม
ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาเพียงแค่สิบปี แต่จ้าวเฟิงก็มั่นใจว่าหลังจากสิบปีก็ยังคงสามารถรั้งเซียนอวี้หลิงไว้ได้
“ข้าก็จะไปด้วย!” โจวซู่เอ๋อร์มองอาจารย์และจ้าวเฟิงกำลังจะจากไป รีบพูดขึ้นทันใด
จ้าวเฟิงอึ้งไปทันใด ไม่รู้ว่าโจวซู่เอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าจะอยู่กับท่านอาจารย์!” โจวซู่เอ๋อร์รีบเกาะติดอยู่ข้างหมอเทวดาอวี้หลิง
“ท่านไม่สนใจหอโอสถเซียนแล้วรึ?”
จ้าวเฟิงถาม
“หอโอสถเซียนก็เข้าร่วมกับตำหนักราชันเช่นกัน!”
โจวซู่เอ๋อร์เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นก็ดี ไปด้วยกันเถอะ!”
จ้าวเฟิงไม่เข้าใจว่าโจวซู่เอ๋อร์เป็นอะไรไป
แต่ว่าหอโอสถเซียนก็นับเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนยาที่เยี่ยมยอดที่สุดในมณฑลอวิ๋น หากสามารถเข้าร่วมกับตำหนักราชันละก็ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดี
เช่นนั้นแล้ว ในด้านของวัตถุดิบยาและการหลอมยา ตำหนักราชันก็มีสมาชิกเฉพาะทางเรียบร้อย ขอบเขตที่ตำหนักราชันเกี่ยวข้องขยายกว้างขึ้นอีกครั้ง
จ้าวเฟิงมาถึงข้างกายของทั้งสอง เกราะแขนซ้ายโบกขึ้น
พรึ่บ! ทั้งสามอยู่ในชั้นเงาทับซ้อนสีเงิน ก่อนจะจางลงแล้วเลือนหายไป
ในเสี้ยววินาทีต่อมา พวกเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นอกตำหนักจิตวิญญาณแห่งหนึ่ง
“นี่คือความสามารถข้ามมิติรึ?”
หมอเทวดาอวี้หลิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องราวของโลกภายนอกสักเท่าไหร่ จึงไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงได้ครอบครองมนตราอากาศ
“สิ้นเปลืองพลังยิ่งนัก!” จ้าวเฟิงพึมพำเสียงเบา
ในครั้งนี้จ้าวเฟิงใช้พลังเคลื่อนย้ายของมนตราอากาศส่งเพิ่มอีกสองคน ภาระเลยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งหมอเทวดาอวี้หลิงยังเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเซียนอีกด้วย
จากนั้น ทั้งสามก็เข้าไปในตำหนักเพื่อใช้ค่ายกลขนส่ง
ในยามที่ทุกคนมาถึงยังตำหนักย่อยหอควันสมุทร
จ้าวเฟิงก็สั่งขึ้นว่า “รับหอโอสถเซียนไว้ในขอบเขตการดูแล”
หลังจากนั้น ทั้งสามก็ออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังมณฑลอวี่
ตลอดทางมา หลังจากที่จ้าวเฟิงใช้พลังข้ามมิติไปสองครั้งก็หยุดพักชั่วขณะหนึ่งเพื่อฟื้นฟูปราณที่แท้จริง
สิบวันหลังจากนั้น ทั้งสามมาถึงยังตำหนักราชัน ณ มณฑลอวี่
จ้าวเฟิงก็เพิ่งเห็นตำหนักราชันที่สร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
ตำหนักราชันตั้งตระหง่านอยู่บนทิวเขายาวเหยียด ยอดเขาสูงชันอันตราย สายหมอกโอบล้อม แต่ละตำหนักเรียบง่ายใหญ่โต ตั้งอยู่บนยอดเขาหรือไม่ก็ท่ามกลางทิวเขาห้อมล้อม
เนิ่นนานก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงใช้ตราผนึกดวงใจทมิฬติดต่อกับปี้ชิงเยวี่ย ในยามนี้ปี้ชิงเยวี่ยรออยู่ด้านนอกซุ้มประตูทางเข้านานแล้ว
“ผู้อาวุโสสูงสุด ผู้อาวุโสหมอเทวดาอวี้หลิง เชิญ!”
สายตาเคารพบูชาของปี้ชิงเยวี่ยมองมายังจ้าวเฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาสั้นๆ แค่เดือนสองเดือน จ้าวเฟิงก็เชิญเซียนคนหนึ่งมาได้ อีกทั้งยังเป็นหมอเทวดาอวี้หลิงที่ชื่อเสียงด้านการแพทย์โด่งดังขจรขจายไปทั่วแผ่นดินใหญ่
“ปี้ชิงเยวี่ยจัดเตรียมหอยาขึ้นแห่งหนึ่ง ให้หมอเทวดาอวี้หลิงเข้าพำนักในนั้น!”
จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง
จากนั้นทุกคนก็เข้าไปในตำหนักราชัน
หลังจากที่จัดการเรื่องหมอเทวดาอวี้หลิงและโจวซู่เอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว จ้าวเฟิง ปี้ชิงเยวี่ย และเซียนราตรีทมิฬก็มารวมกันในตำหนักลับแห่งหนึ่ง
“นายท่าน นี่คือข้อมูลของวังเก้านิรย อีกทั้งยังมีข่าวสารของมุมมืดทมิฬอีกนิดหน่อย”
ปี้ชิงเยวี่ยจัดเรียงข้อมูลข่าวสารที่กองราวกับภูเขาออกมา แต่ด้วยสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง ไม่นานนักก็สามารถจดจำทำความเข้าใจได้ทั้งหมด
“นายท่าน ข้าขอเสนอบุคคลเหล่านี้ให้เป็นเป้าหมายสำคัญในการลอบสังหารก่อน…”
ปี้ชิงเยวี่ยรายงานกับจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงพยักหน้า ปี้ชิงเยวี่ยวิเคราะห์ด้านนี้ได้ละเอียดเป็นอย่างยิ่ง การลอบสังหารสมาชิกวังเก้านิรย เเรกเริ่มค่อนข้างง่าย หลังจากนั้นก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น เป้าหมายลอบสังหารกลุ่มแรกจึงไม่ควรเสียเปล่าไปกับคนที่ไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ
ครั้นวางแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวเฟิงก็ส่งมอบประกาศภารกิจลอบสังหารของ ‘หอสังหารเดียวดาย’ ให้กับเซียนราตรีทมิฬ
“นายท่าน ท่านจะไปยังมุมมืดทมิฬด้วยตนเองรึ?”
เซียนราตรีทมิฬถามขึ้น
ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงก็ได้หารือถึงแผนการปฏิบัติงานในครั้งนี้กับเซียนราตรีทมิฬ
ลำพังแค่ประกาศภารกิจลอบสังหารที่หอสังหารเดียวดายนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องประกาศภารกิจเช่นนี้ที่มุมมืดทมิฬด้วย จะได้ดึงดูดความสนใจจากนักฆ่าและผู้แข็งแกร่งที่ปกปิดชื่อเสียงทั้งหลาย
จ้าวเฟิงเชื่อว่า รางวัลของภารกิจที่เขาประกาศจะต้องดึงดูดความสนใจจากเหล่านักฆ่าได้เป็นแน่
รอให้พวกเขาได้ลิ้มชิมรสหวานแล้ว จ้าวเฟิงก็จะประกาศภารกิจลอบสังหารเช่นนี้ไว้แค่ที่หอสังหารเดียวดายเท่านั้น
“ไม่ล่ะ ข้าจะให้คนอื่นไปแทนข้า!”
แต่เดิม จ้าวเฟิงวางแผนไว้ว่าตนเองจะไปมุมมืดทมิฬสักครั้ง แต่มุมมืดทมิฬห่างจากมณฑลอวี่ค่อนข้างไกล และไม่ได้อยู่ในขอบเขตส่งข้ามของมนตราอากาศอีกด้วย จ้าวเฟิงจึงมอบภารกิจลับนี้ให้กับผู้อื่น
แต่เพราะไม่ค่อยไว้วางใจ ดังนั้นจึงมอบให้ได้เพียงแค่หนึ่งในสมาชิกที่จ้าวเฟิงเคยจับเป็นข้ารับใช้เท่านั้น
หลังจากที่ปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬจากไปได้ระยะหนึ่ง ร่างผอมแห้งก็เดินทางมาถึง
“นายท่าน มีคำสั่งใดรึ?”
ผู้ที่มาก็คือจักรพรรดิคูอิ่งนั่นเอง
จักรพรรดิคูอิ่งคือนักฆ่าที่มาลอบสังหารเฒ่าประหลาดสวีในตอนนั้น จากนั้นก็โดนจ้าวเฟิงจับเป็นทาสรับใช้ กลายเป็นผู้นำระดับสูงของหน่วยลอบสังหาร
“จักรพรรดิคูอิ่ง เจ้าจงไปยังมุมมืดทมิฬแล้วประกาศภารกิจลอบสังหารแทนข้า!”
หลังจากที่บัญชาทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว จ้าวเฟิงและจักพรรดิคูอิ่งก็เลือนหายไปจากตำหนักลับแห่งนี้
ในวันนั้น
จุดรับภารกิจของหอสังหารเดียวดายหลายแห่งในมณฑลอวี่ มีภารกิจลอบสังหารใหม่มากมายปรากฏขึ้น โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดเกี่ยวข้องกับวังเก้านิรย
ในกระท่อมไม้ลับตากลางป่าลึก ผู้แข็งแกร่งหลายประเภทที่มีจิตสังหารน่าหวั่นเกรง กลิ่นอายเย็นชารวมตัวกันอยู่มากมาย ส่วนใหญ่ในนั้นล้วนแต่งชุดดำ
“นี่น่าจะเป็นภารกิจลอบสังหารที่ขั้วอำนาจซึ่งเป็นศัตรูกับวังเก้านิรยประกาศ!”
“ฮ่าๆ ข้าสนแต่รางวัล ไม่สนใจเป้าหมายลอบสังหาร!”
นักฆ่าเหี้ยมโหดที่ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดคนหนึ่งแลบลิ้นเลียปาก
“โอสถโลหิตจิตวิญญาณ? แฝงไว้ด้วยปราณและแก่นสำคัญอันแข็งแกร่ง ซ้ำยังสามารถเพิ่มพลังสายเลือดของตน และกระตุ้นสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้ในระดับหนึ่ง….นี่โกหกกันกระมัง!”
นักฆ่าคนหนึ่งเห็นคำอธิบายรางวัลหนึ่งในนั้น ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
คำอธิบายของรางวัลนี้บรรยายสรรพคุณของโอสถโลหิตจิตวิญญาณไว้เกินจริงนัก โดยเฉพาะการเพิ่มพลังสายเลือดและสามารถกระตุ้นสายเลือดให้ตื่นขึ้น ทำให้ผู้คนยากที่จะเชื่อ
ยาวิเศษเช่นนี้ล้วนเป็นของล้ำค่าที่ประเมิณค่าไม่ได้!
“แต่ว่าหอสังหารเดียวดายไม่มีทางประกาศภารกิจที่มีรางวัลปลอม อีกทั้ง ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ นี้ก็คล้ายจะเป็นเซียนสายแพทย์หลอมขึ้น!”
ผู้อาวุโสที่กลิ่นอายอ่อนแออีกผู้หนึ่งพูดขึ้น
ยาที่เซียนสายแพทย์หลอมขึ้น คือการยกระดับคุณสมบัติขึ้นอีกชั้นโดยไร้รูปร่าง
ยาตัวเดียวกัน แบ่งเป็นยาที่ปรมาจารย์สายแพทย์ทั่วไปกับเซียนสายแพทย์หลอมขึ้น ต่อให้ราคาของอย่างหลังสูงกว่า โดยพื้นฐานแล้วผู้คนก็จะซื้อยาที่เซียนสายแพทย์หลอม
“ฮี่ๆ ภารกิจนี้ข้ารับล่ะ!”
นักฆ่าเหี้ยมโหดที่ใบหน้าซีดไร้สีเลือดรับภารกิจลอบสังหารหนึ่งอย่างเสร็จ ก็รีบร้อนจากไปจากที่นี่
…….
อาณาเขตหนึ่งด้านหลังตำหนักราชันถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม ที่นี่ก็คือสถานที่พักอาศัยชั่วคราวของจ้าวเฟิง
ในห้วงฝันบรรพกาล จ้าวเฟิงเดินกลับไปกลับมาในป่าลึก
‘หลังจากที่ล่าเสืออัคคีปีกทองไปหลายตัว พวกมันก็มีแผนการ ในตอนนี้ไม่ยอมออกจากที่นั่นเพียงลำพัง!’
จ้าวเฟิงค่อนข้างกลัดกลุ้ม อีกทั้งในห้วงฝันบรรพกาล สัตว์ที่สามารถเป็นกำลังรบให้กับเขาได้ก็มีเพียงแค่นกอสูรโบราณ เหยี่ยวดำ และงูหลามยักษ์นั่น แต่กำลังรบของพวกมันไม่เพียงพอจะสู้รบกับเสืออัคคีปีกทองได้เลย
‘ดูแล้วข้าคงจะต้องฝึกสัตว์สักฝูงในห้วงฝันบรรพกาลเพื่อชิงพลังทรัพยากรให้กับข้า!’
ยามนี้จ้าวเฟิงเพิ่งจะคิดถึงจุดนี้ได้
แต่ตอนนี้จ้าวเฟิงควรจะไปหามาจากที่ใดกันเล่า เผ่าพันธุ์เสืออัคคีปีกทองเบื้องหน้านี้ยากที่จะลงมือแล้ว
‘เช่นนั้นก็คงมีแต่ต้องใช้ฝูงสัตว์อสูรจากในมนตราอากาศแล้ว!’
แววตาของจ้าวเฟิงแววตาคร่ำเคร่ง
หลังมอบฝูงสัตว์อสูรให้องค์ชายเก้าไปสองฝูง จ้าวเฟิงเหลือเพียงสัตว์อสูรสองฝูงและผึ้งเบญจพิษ
ภายใต้การทุ่มเททรัพยากรเลี้ยงดู อสูรสองฝูงนั้นกำลังรบเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอจะต่อสู้กับเสืออัคคีปีกทอง
เช่นนั้นแล้วก็เหลือเพียงผึ้งเบญจพิษ
สุดท้าย จ้าวเฟิงเลือกผึ้งราชาสิบตัวและผึ้งจักรพรรดิสิบตัว ก่อนนำพวกมันเข้ามาในห้วงฝันบรรพกาล
นี่คือครั้งแรกที่จ้าวเฟิงนำสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาในห้วงฝันบรรพกาล แน่นอน ผึ้งเบญจพิษที่เข้ามาในห้วงฝันบรรพกาลพวกนี้ ต่อไปก็ต้องมีชีวิตอยู่ในนี้เท่านั้น
ในตอนแรก ผึ้งเบญจพิษพวกนี้ยังไม่ค่อยคุ้นชิน
แต่ในเมื่อพวกมันคือแมลงประหลาดโบราณ อีกทั้งตัวที่จ้าวเฟิงเลือกมาล้วนเป็นผึ้งราชาและผึ้งจักรพรรดิ ความสามารถในการปรับตัวของพวกมันจึงเร็วมาก
หลังจากที่อยู่ในห้วงฝันบรรพกาลได้ระยะหนึ่งแล้ว กลิ่นอายของผึ้งเบญจพิษพวกนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ให้พวกมันปรับตัวกับสภาพแวดล้อมก่อน จากนั้นก็เตรียมชิงสระน้ำใจกลางป่านั่น!”
จ้าวเฟิงตัดสินใจ
ในขณะเดียวกัน ณ ‘หอควันสมุทร’ แถบชายฝั่งทะเล
เงาทับซ้อนสีม่วงโลหิตพาดผ่านขอบฟ้า
“ที่นี่เหมือนจะเป็นขั้วอำนาจหน่วยข่าวกรอง! ”
สายตาของหนานกงเซิ่งจ้องเขม็งไปยังหอควันสมุทรที่อยู่เบื้องล่าง
“ที่นี่คือขั้วอำนาจของตำหนักราชัน ผู้อาวุโสมีธุระอันใด? ”
ผู้อาวุโสชราคนหนึ่งในหอควันสมุทรบินออกมาทันใด
“ตำหนักราชัน? ” หนานกงเซิ่งรำพึงเสียงเบา ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่
ฟุ่บ! หนานกงเซิ่งมาถึงในหอควันสมุทร
โครม บึ้ม! ค่ายกลป้องกันแถวหอควันสมุทรทลายลงทันใด หนานกงเซิ่งตรงมายังเบื้องหน้าผู้อาวุโสผู้นี้ในชั่วพริบตา
“บอกข้ามา จ้าวเฟิงอยู่ที่ไหน?”
ใบหน้าของหนานกงเซิ่งชั่วร้ายอำมหิต กลิ่นอายน่ากลัวไร้เทียมทาน ทำให้ผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องหน้าตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้
“เจ้ามาหาผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเราด้วยเรื่องอันใด?”
ผู้อาวุโสเหงื่อซึมชื้นไปทั่วทั้งร่าง
ในยามนี้ เขาเพิ่งจะรู้ว่าความน่ากลัวของชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฒ่าประหลาดสวีและเซียนราตรีทมิฬที่เคยอยู่ในหอควันสมุทรเลย
“ตำหนักราชัน ผู้อาวุโสสูงสุดคือจ้าวเฟิง?”
แววตาของหนานกงเซิ่งมีแสงสีม่วงหม่นวูบวาบ