บทที่ 1291 เนตรทัณฑ์สวรรค์
ครึ่งเดือนต่อมา จ้าวเฟิงเดินทางไปถึงขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่งทั่วไปที่เซี่ยโหวอู่แจ้งเอาไว้
“เจ็ดคน!” ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพบว่าในขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่งแห่งนี้ ภายในตำหนักหลังหนึ่งมีทายาทเนตรเทพเจ้าถึงเจ็ดคน
ในเจ็ดคนนี้ ขั้นพลังต่ำสุดคือเทพแท้จริงขั้นห้า ชายชราผู้มีผิวลายพร้อยสีเขียวเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด นอกจากเซี่ยโหวอู่แล้ว จ้าวเฟิงไม่รู้จักคนอื่นๆ ที่เหลือเลย ด้วยพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงจึงไม่มีใครจะขวางเขาได้ เขาตรงดิ่งเข้าไปในขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่งแห่งนี้
“ในที่สุดก็มาแล้ว!”
จ้าวเฟิงยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในตำหนักหลังนี้ ก็มีเสียงไม่พอใจดังลอดออกมาจากภายใน
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มลุแก่โทษ
เวลาที่เซี่ยโหวอู่แจ้งที่จริงแล้วคือเมื่อวาน แต่เพราะระยะทางที่ไกลจนเกินไป ทำให้ไม่สามารถกำหนดเวลามาถึงอย่างแน่นอนได้ ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงมาสายไปหนึ่งวัน
ในเวลาเดียวกัน แววตาของทุกคนในห้องโถงต่างจับจ้องไปที่เขา พวกเขาล้วนแต่เคยได้ยินเรื่องของจ้าวเฟิง แต่ไม่เคยมีใครเห็นตัวเป็นๆ มาก่อน
“ไม่รู้ว่าสายเลือดดวงตาของเขาเกิดขึ้นจากดวงตาเทพเจ้าประเภทใด!”
บุรุษหนุ่มชุดเหลืองผู้หนึ่งเอ่ยสัพยอก
“ในเมื่อมาแล้วก็ออกเดินทางกันเถอะ!”
ในคนทั้งเจ็ด ชายชราตัวลายพร้อยสีเขียวผู้หนึ่งเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
จากนั้นคนทั้งแปดก็ออกจากที่ดังกล่าว สมาชิกของขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก
ออกจากที่นั่นได้ไม่นานนัก จ้าวเฟิงก็ส่งเสียงบอกเซี่ยโหวอู่ “เพื่อนร่วมทางของท่านเหมือนว่าจะไม่ยินดีที่ได้เจอข้าเท่าไหร่นัก?”
“อืม อาจเป็นเพราะในตอนแรกเจ้าปฏิเสธแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ผู้อาวุโสท่านนี้จึงไม่ค่อยชอบเจ้านัก และคนอื่นๆ น่าจะเป็นเพราะความหยิ่งผยองของทายาทเนตรเทพเจ้า!”
เซี่ยโหวอู่ส่งเสียงบอก
จ้าวเฟิงผงกศีรษะเพื่อแสดงให้เห็นว่าเข้าใจ
สายเลือดใดในโลกใบนี้ล้วนเกิดจากแปดเนตรเทพเจ้า ในฐานะที่เป็นทายาทเนตรเทพเจ้า ยามที่เห็นสายดวงตาประเภทอื่นย่อมรู้สึกว่าเหนือกว่าอยู่แล้ว
“มีคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตเพียงแค่เจ็ดคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมเนตรเทพเจ้า?”
ว่ากันว่านี่เป็นงานรวมตัวของทายาทแปดเนตรเทพเจ้า ไม่ว่าอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตคงจะไม่ส่งคนไปน้อยนิดเพียงเท่านี้กระมัง ต่อมาจ้าวเฟิงจึงล่วงรู้มาจากเซี่ยโหวอู่ว่า ทางแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตก็กำลังเร่งรุดเดินทางมาที่งานชุมนุมเนตรเทพเจ้า มีทั้งเป็นกลุ่มและมีทั้งที่เดินทางเพียงลำพัง อย่างไรเสียนี่เป็นแค่กิจกรรมหนึ่งเท่านั้น ยังเหลือเวลาอีกนานนักกว่าจะเริ่ม ไม่จำเป็นต้องรวมตัวกันทั้งหมด เช่นนั้นแล้วจะชวนให้แตกตื่นมากจนเกินไป อีกอย่างที่จริงแล้วงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าเองก็เป็นกิจกรรมลับๆ สำหรับเวลาเริ่มงานนั้นได้แจ้งต่อสมาชิกหอเนตรเทพเจ้าที่กระจายอยู่ในแต่ละเขตพื้นที่ ดังนั้นขั้วอำนาจในระดับล่างส่วนหนึ่งจึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกัน สถานที่ในการจัดงานก็ไม่แน่นอนเช่นกัน
“จริงสิ หานหนิงเอ๋อร์ล่ะ?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถามทันที หานหนิงเอ๋อร์เองก็เป็นทายาทเนตรเทพเจ้าและยังอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตเช่นกัน
“ต้องอยู่ในขั้นเทพแท้จริงขึ้นไปถึงจะมีคุณสมบัติเข้าร่วม ปฐมเทพจะเข้าร่วมไม่ได้!”
เซี่ยโหวอู่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
จ้าวเฟิงประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่ามาตรฐานของงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าจะสูงขนาดนี้ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของงานนี้
จ้าวเฟิงเองก็ต้องระวังในจุดนี้เช่นกัน
ไม่รู้ว่าจะมีบุคคลใดบ้างปรากฏตัวที่งานชุมนุมเนตรเทพเจ้า จะให้ดีที่สุดสายเลือดดวงตาของเขาไม่ควรจะเปิดเผยออกไปโดยง่าย ระหว่างทางจ้าวเฟิงสะกดดวงตาเทพเจ้าไว้ไม่หยุด เพื่อจะกดให้พลังในแต่ละด้านลดลงไปถึงต่ำที่สุด
สิบวันต่อมา คนทั้งหมดหกคนก็มายังเหนือสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่ง
ทุกคนลอยตัวขึ้นจนไปถึงกลางอากาศสูงหลายแสนลี้ จ้าวเฟิงจึงเห็นปราการพลังที่ซุกซ่อนอยู่ในเมฆขาว
‘คิดไม่ถึงเลยว่าทางเข้าจะอยู่ที่นี่!’
จ้าวเฟิงลอบอุทานในใจ
ตอนที่ทุกคนเข้าไปใกล้ ปราการพลังดังกล่าวก็เปิดออกเอง คนทั้งหมดเดินเข้าไป
ในกลุ่มเมฆขาวมีเวทีประลองทรงกลมเก่าแก่สีเงินแห่งหนึ่ง มีชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กำยำราวก้อนหินคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
“ยินดีต้อนรับทุกท่านจากแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยพลางระบายยิ้มบางๆ
ชายชราผิวลายเขียวแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตมองประเมินเวทีประลอง
“เหตุใดจึงเป็นค่ายกลขนส่ง?” ชายชราผิวลายเขียวสีหน้าทะมึน
ส่วนคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตที่เหลือต่างก็มีสีหน้างุนงงเช่นกัน งานชุมนุมที่ผ่านมาจะมีทางเข้าหรืออุโมงค์เพื่อเข้าไปในมิติเอกเทศทั้งสิ้น
“งานชุมนุมเนตรเทพเจ้าครั้งนี้ เขตเทพสวรรค์และอีกเขตหนึ่งจัดขึ้นในสถานที่เดียวกัน ดังนั้นจึงต้องใช้ค่ายกลส่งข้ามมิติ!”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเหมือนจะเดาได้ก่อน จึงตอบอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่นั่นมีสีหน้าตื่นตะลึงไปเล็กน้อย
“เขตไหนกัน?”
ชายชราตัวลายเขียวมีสีหน้าเคร่งขรึมลงไปเล็กน้อย เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“เขตพยับฟ้า!”
ชายวัยกลางคนยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ชายชราลายเขียวไม่เปลี่ยนสีหน้า คำตอบของอีกฝ่ายเหมือนกับที่เขาคิดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
“เขตพยับฟ้า!” หลายคนที่เหลืออุทานเสียงเบา
จ้าวเฟิงมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลายเขตรอบๆ เขตเทพสวรรค์เพียงผิวเผินเท่านั้น
เขตพยับฟ้าแห่งนี้ที่ไม่ด้อยไปกว่าเขตเทพสวรรค์แม้แต่น้อย ขั้วอำนาจที่ปกครองก็คือ ‘เผ่าฟ้าทลาย’ ซึ่งเป็นขั้วอำนาจที่จัดอยู่ในลำดับที่สิบสองของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
“ส่งพวกเราไปเถอะ!”
หลังจากที่ชายชราตัวลายเขียวจ่ายผลึกเทพระดับกลางไปเป็นจำนวนมากแล้ว ก็นำกลุ่มคนเดินขึ้นไปบนแท่นค่ายกลส่งข้าม แล้วทันใดนั้นเอง ดวงตาของชายวัยกลางคนก็เปล่งแสงขาวทองประกายแวววับ
“ทายาทเนตรเทพเจ้า!” ใจจ้าวเฟิงสะท้าน
ดวงตาคู่นี้คือเนตรทัณฑ์สวรรค์ เป็นหนึ่งในแปดเนตรเทพเจ้าที่จ้าวเฟิงไม่เคยเห็นมาก่อน
ในตอนที่เห็นเนตรทัณฑ์สวรรค์ของชายวัยกลางคน จู่ๆ จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเทพผู้ผดุงความยุติธรรม พิพากษาความชั่วร้ายทั้งมวล
ยามนี้จ้าวเฟิงยังรู้สึกว่าพลังของฝ่ายนั้นแกร่งกล้าอย่างยิ่ง ไม่ด้อยกว่าชายชราตัวลายเขียวที่เป็นผู้นำกลุ่มแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ชั่วเวลานั้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงแผ่ระลอกที่ร้อนระอุเล็กน้อย เขาจึงรีบเก็บงำกลิ่นอายของดวงตาเทพเจ้าและกดพลังเอาไว้ ดวงตาของชายวัยกลางคนผู้นี้กวาดผ่านร่างของทุกคนไป และหยุดอยู่ที่ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงครู่หนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะ
จ้าวเฟิงรู้ว่าชายวัยกลางคนกำลังดูสายเลือดดวงตาของเขาอยู่
ฟิ้ว! ริ้วลายค่ายกลค่อยๆ ประสานกันจนเป็นรูปร่าง แสงสีขาวสุกสกาวหลายสายปกคลุมทั่วร่างของทุกคน
เมื่อเสียงดัง ‘พรึ่บ’ เงาของทุกคนก็สลายหายไปทันที แสงบนค่ายกลก็ค่อยๆ มืดหม่นลงไป
“น่าสนใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าดวงตาของเจ้าเด็กนี่จะแข็งแกร่งกว่าดวงตาของทายาทเนตรชีวิตเสียอีก!”
ชายหนุ่มวัยกลางคนหัวเราะอย่างอดไม่ได้
ไม่นานเท่าไหร่นัก ร่างคลุมชุดดำสามร่างก็เดินทางมาถึงที่นี่
อายุทั้งสามคนไม่มากนัก มีชายสองหญิงหนึ่ง ดวงตาซ้ายของผู้นำมีหลากหลายสีสัน ซึ่งก็คือเนตรหมื่นปรากฏการณ์นั่นเอง
ถ้าหากจ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ด้วย ย่อมต้องมองออกว่าเขาก็คือคนชุดดำที่ดำดินหนีอยู่รอบนอกแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตในตอนนั้น
“งานชุมนุมเนตรเทพเจ้าในครั้งนี้ เขตเทพสวรรค์จะจัดงานในสถานที่เดียวกันกับอีกเขตหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องใช้ค่ายกลส่งข้ามมิติ!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“อืม พวกเราเข้าไปตอนนี้เลย!”
คนชุดดำสามคนสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“ตกลง ให้ข้าตรวจสถานนะของพวกเจ้าก่อน!” ชายวัยกลางคนเอ่ย
การตรวจสอบสถานะก็คือการตรวจสอบสายเลือดดวงตา
ฟิ้ว! ดวงตาขวาของคนเป็นผู้นำเปลี่ยนสีไปมาในทันที พลังธรรมชาติในฟ้าดินค่อยๆ รวมตัวกันที่เขา ส่วนอีกสองคนปลดปล่อยพลังเนตรทำนายและเนตรมรณะออกมา หลังจากทั้งสามคนจ่ายหินวิญญาณแล้วก็หายตัวไปในค่ายกล