Skip to content

King of Gods 1296

King Of Gods

บทที่ 1296 สนามประลองเนตรเทพเจ้า

“เอ๊ะ! เป็นเขา?”

ในเงาดำนั้น เนตรหมื่นปรากฏการณ์ข้างหนึ่งฉายแววตื่นตะลึงเมื่อจ้องจ้าวเฟิง“เทพโบราณเสวียนหมัว ท่านรู้จักเจ้าเด็กนี่?”

เทพโบราณเฮยจี๋มีสีหน้าตกใจ

เขารู้ดีว่าคนกลุ่มนี้โดยปกติแล้วจะไม่รู้จักคนภายนอกมากนัก

“ในคราวก่อนที่ข้าแย่งเนตรชีวิตและหนีไป เคยพบเขา หนำซ้ำยังโดนเขาจับได้อีกด้วย!”

เทพโบราณเสวียนหมัวสีหน้าเคร่งขรึมลงไป

“เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่ทายาทของแปดเนตรเทพเจ้า ชำนาญเสวียนอ้าวมิติ ถ้าหากดวงตาของเขาเห็นเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ก็น่าจะไม่ธรรมดาแล้ว!”

เทพโบราณเฮยจี๋เองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขณะครุ่นคิด

ดวงตาของจ้าวเฟิง หากมองจากภายนอกดูแล้วเดิมทีก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง บวกกับความสามารถในการสัมผัสและวิชาดวงตามิติที่ลึกล้ำสูงส่ง จึงเกือบเทียบเท่าทายาทเนตรเทพเจ้าแล้ว

“คนผู้นี้พอมีความสัมพันธ์กับแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต เขาคงจะไม่ล่วงรู้ถึงพฤติกรรมทั้งหมดของข้าในตอนนั้น แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาด ให้พาเขาไปด้วยแล้วกัน เช่นนี้ก็จะสามารถปกปิดเรื่องทั้งหมดได้!”

สีหน้าเทพโบราณเสวียนหมัวเย็นเยือก ประกายเย็นชาพาดผ่านในดวงตา

“เอาแบบนี้แล้วกัน!”

เทพโบราณเฮยจี๋ผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนที่คนทั้งสองจะออกจากที่นี่ไปทันที

“คิดไม่ถึงว่าคุณชายห่ายจะพ่ายแพ้ไปได้!”

“จ้าวเฟิงมีดวงตาอะไรกันแน่ ถึงใช้วิชาดวงมิติที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้?”

คนชมการประลองรอบสนามประลองร้องอุทานกันอื้ออึง เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเพราะการต่อสู้จบลงรวดเร็วจนเกินไป ผลลัพธ์ก็ไม่เหมือนที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้

“จ้าวเฟิงเป็นฝ่ายชนะ!” กรรมการประกาศในทันที

หลังจากนั้นปราการพลังบนเวทีประลองก็ถูกทำลายลง ผู้ติดตามหลายคนของคุณชายห่ายต่างรีบกรูขึ้นไปประคองเขาบนเวทีประลอง

“คุณชายห่าย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นถามอย่างร้อนรน

“บัดซบ ข้ากลับเป็นฝ่ายแพ้ไปได้!”

คุณชายห่ายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดเอ่ยอย่างเคียดแค้น

จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจคุณชายห่าย เขาเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง หยิบเอาของเดิมพันก่อนจะจากไปพร้อมกับเซี่ยโหวอู่

“คุณชายห่ายจะให้ส่งคนไปจับตาดูเจ้าคนนั้นหรือไม่ รอให้เขาออกจากงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าค่อย…”

บุรุษหนุ่มสามตาคนหนึ่งรีบเสนอความคิด

“เจ้าโง่ เขาเป็นคนของเผ่าพันธุ์วิญญาณ อีกอย่างเจ้าไม่เห็นหรืออย่างไรว่าคนที่มากับเขาเป็นทายาทเนตรชีวิต?”

คุณชายห่ายตะคอกด่าในทันที แล้วยันบุรุษหนุ่มผู้นั้นไปโครมใหญ่

“อะไรกัน? เผ่าพันธุ์วิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต?”

เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นมีสีหน้าตื่นตระหนกอีกครั้ง แววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง ในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะได้เข้าร่วมเผ่าพันธุ์วิญญาณ หนำซ้ำยังสานสัมพันธ์กับคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต จนกลายเป็นคนดังของเขตพื้นที่ใหญ่

แน่นอนว่าเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงมีชื่อเสียงที่เขตผาเก่าเช่นกัน

…..…

หลังจากออกจากสนามประลองเดิมพันแล้ว จ้าวเฟิงก็ดำดิ่งห้วงคิดลงไปในมิติเก็บของ และได้รับข้อมูลมาว่า “พลังของเจ้าเป็นไปตามเงื่อนไขของข้า!”

“พวกเราจะเจอกันเมื่อไหร่?” จ้าวเฟิงถาม

ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการก็คือเอาข้อมูลเกี่ยวกับซากปรักหักพังจากคนลึกลับผู้นั้นมาให้มากขึ้นอีก

“ตอนนี้ข้ากำลังยืนยันสมาชิกในกลุ่มคนอื่นๆ พอถึงเวลาที่จะเจอกันข้าจะแจ้งเจ้าไปเอง!” อีกฝ่ายตอบกลับมาทันควัน

จากนั้นจ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก แต่เดินทางไปที่สนามประลองพร้อมกับเซี่ยโหวอู่อีกครั้ง

ตอนนี้การต่อสู้ของหลินเฉิงอู่จบลงไปแล้ว

หลังจากสอบถามจึงพบว่าหลินเฉิงอู่ประมือไปหลายกระบวนท่าก่อนจะแพ้ไป

อย่างไรเสียคู่ต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง หนำซ้ำก่อนนี้ก็ต่อสู้มาหลายครั้งติดต่อกัน

ต่อจากนั้นคนทั้งสองมองดูผู้แข็งแกร่งที่ขึ้นไปบนเวทีประลองอยู่เรื่อยๆ

จ้าวเฟิงเรียนรู้วิธีที่พวกเขาใช้วิชาดวงตาไปพลาง และยังทำความเข้าใจ ‘ดาราทลายผืนดิน’ ไปพลางด้วย ตอนสู้กับคุณชายห่าย จ้าวเฟิงก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพของดาราทลายผืนดินที่อีกฝ่ายใช้ มันไม่ใช่วิชาดวงตาธรรมดาๆ อย่างแน่นอน

“ใช้การเคลื่อนย้ายที่รวดเร็วของเสวียนอ้าวดาราปะทะเข้าหากัน จนเกิดเป็นพลังทำลายล้างทุกสรรพสิ่งขึ้น!”

ไม่นานเท่าไหร่นัก จ้าวเฟิงก็เข้าใจวิชาดวงตากระบวนท่านี้

‘แก่นของมันก็คือการสร้างความวุ่นวายและปะทะ!’

จ้าวเฟิงพึมพำในใจก่อนจะครุ่นคิด

เขาไม่มีเสวียนอ้าวดาราจึงไม่สามารถใช้กระบวนท่านี้ได้ แต่จ้าวเฟิงกำลังครุ่นคิดว่าพลังเทพที่ผสมปนเปของตนเองน่าจะพอทำแบบนี้ได้ หลังจากนั้นจ้าวเฟิงก็พยายามอนุมานในหัวไม่หยุด ลองแก้ไขปรับเปลี่ยนมันเพื่อสร้างพลังดวงตาที่ตนเองใช้ได้ออกมา

โครม ตูม! บนเวทีประลองในตอนนี้ ผู้ที่กำลังสู้อยู่ก็คือเทพแท้จริงขั้นแปดผู้หนึ่ง ทรงพลังอย่างยิ่ง

“จริงสิ เหมือนจะยังไม่เห็นคนระดับสุดยอดจริงๆ เลยสักคน!”

จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เปิดปากเอ่ย

จนถึงตอนนี้แล้ว ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เขาเห็นมีเทพแท้จริงขั้นเก้าและขั้นแปดจำนวนน้อยนิดนัก หรือว่าผู้ที่มากฝีมือไม่มาเข้าร่วมงานชุมนุมเนตรเทพเจ้ากัน?

“ได้ยินมาว่าสถานที่ที่พวกรวมตัวกันเป็นคนละที่กับของพวกเรา!”

เซี่ยโหวอู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา

จ้าวเฟิงมีสีหน้าเย็นชา ดูไปแล้วในงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าจะยังมีผู้ครอบครองสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งกว่านี้ เพียงแต่ว่าตนยังไม่เห็น หรือไม่ก็เจอแล้วแต่ไม่รู้

พวกเขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับนั้นจะมาปะปนอยู่กับเทพแท้จริงทั่วไปได้อย่างไร

หลังจากดูการประลองไปสามวันแล้ว จ้าวเฟิงและเซี่ยโหวอู่ได้อะไรมามากมาย เมื่อคนทั้งสองออกจากลานประลองก็เดินเตร็ดเตร่อยู่ในงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าต่อ

ระหว่างทาง เซี่ยโหวอู่แนะนำจ้าวเฟิงว่าหากอยากรู้ว่าจะสำแดงพลังของดวงตาออกมาได้อย่างไร ให้เดินทางไปที่ ‘ตำหนักเนตรเทพเจ้า’

หลังจากจ่ายผลึกเทพไปจำนวนหนึ่งแล้ว จะสามารถถามความรู้เกี่ยวกับดวงตาจากทายาทแปดเนตรเทพเจ้าได้ หรือถึงขั้นว่าหากจ่ายผลึกเทพมากพอ จะสามารถขอให้เทพโบราณขั้นเก้าระดับสุดยอดหรือกระทั่งครึ่งก้าวสู่จอมเทพมาชี้แนะพวกเขาด้วยตนเอง ถึงแม้จ้าวเฟิงจะหวั่นไหว แต่ก็ปฏิเสธไป

เทพโบราณทั่วไปช่วยอะไรเขาไม่ได้ และด้วยพลังฝึกตนที่สูงส่งเกินไป ก็อาจล่วงรู้ตัวตนเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้าของเขาได้ จ้าวเฟิงไม่อยากเสี่ยงกับอันตรายนี้

“ที่นั่นคือที่ไหน?”

เซี่ยโหวอู่ชะงักฝีเท้า มองไปที่ไกลลิบๆ ซึ่งมีปราสาทสีฟ้าทองขนาดใหญ่ยักษ์

สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวในบริเวณนี้ หนำซ้ำลักษณะยังโอ่อ่ากว้างใหญ่

“สนามประลองเนตรเทพเจ้า!”

จ้าวเฟิงมองไปยังอักษรเรืองแสงทองบนแผ่นหินหยกสีแดง

เซี่ยโหวอู่กล่าวว่าไม่ได้ฟังผู้อาวุโสในเผ่าอธิบายเกี่ยวกับที่แห่งนี้ จึงไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย ทั้งคู่เดินตรงเข้าไปใน ‘สนามประลองเนตรเทพเจ้า’ บริเวณโถงทางเข้ามีองครักษ์จำนวนมาก ในตอนที่ทั้งสองคนจ่ายผลึกเทพแล้ว องครักษ์ผู้หนึ่งก็เอ่ยในทันที

“ในสนามประลองเนตรเทพเจ้ามีการประลองหลากหลายประเภทให้เข้าร่วม เมื่อจำนวนคนเป็นไปตามเงื่อนไข การประลองจึงจะเริ่มขึ้น ผู้ชนะคนสุดท้ายจะได้รับรางวัลไป!”

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง!” ดวงตาเซี่ยโหวอู่ฉายแววสนใจอย่างยิ่ง

เมื่อเข้าไปในสนามประลองเนตรเทพเจ้า ทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นในโลกมายาประหลาด

ในโลกแห่งนั้น ทุกแห่งล้วนเป็นปราการมิติ ในแต่ละปราการนั้นมีสนามประลองแห่งหนึ่ง และจำนวนของผู้ชมรอบบริเวณไม่ต่างกับสนามประลองที่พวกเขาหยุดดูก่อนนี้แม้แต่น้อย

“จ้าวเฟิง ดูนั่นเร็ว!”

เซี่ยโหวอู่ชี้ไปยังป้ายหินผลึกขนาดใหญ่ด้านนอกสนามประลอง

ในป้ายหินผลึกปรากฏรายละเอียดของรายการการประลอง รวมไปถึงของรางวัลในท้ายที่สุด แต่ละรายการมีเงื่อนไขของพลังฝึกตนที่ต่างกันออกไป แน่นอนว่ามีบางรายการที่ได้รับความสนใจมาก มีสนามประลองจำนวนมากที่เหมาะกับคนที่มีพลังต่างกันออกไป

“เม็ดบัววารีมรกต ‘หอกว่างเปล่า’ ที่เป็นวิชาดวงตาขั้นสูง ‘หอคุมวิญญาณ’ เคล็ดวิชาป้องกันดวงวิญญาณ…”

จ้าวเฟิงมองรางวัลใหญ่ในรายการต่างๆ อย่างตื่นตะลึง ใจเต้นระส่ำไม่หยุด

“ช่างเป็นรางวัลที่ชวนใจเต้นเหลือเกิน!” เซี่ยโหวอู่เอ่ยอย่างตื่นตะลึงเช่นกัน

“ฮึๆ พวกเจ้าสองคนคงเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกล่ะสิ”

ชายวัยกลางคนผิวดำคนหนึ่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว

“ทุกครั้งที่เข้าร่วมการประลองประเภทหนึ่ง จำเป็นต้องจ่ายผลึกเทพจำนวนมหาศาล สนามประลองทั่วไปจะต้องรอให้มีแปดคนจึงจะเริ่มขึ้น จำนวนผลึกเทพที่ทั้งแปดคนจ่ายไป โดยปกติแล้วจะมีมูลค่ามากกว่าของรางวัลใหญ่นัก ดังนั้นฝ่ายจัดงานไม่มีทางจะขาดทุนแน่!”

ชายผิวดำคนนั้นเข้าใจสถานการณ์ที่นี่ดีมาก

“เรียกได้ว่านี่คือการแข่งขันของคนทั้งแปด ใครได้ชัยชนะไปก็เท่ากับได้รับผลึกเทพของทั้งเจ็ดคน!”

จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เอ่ยขึ้นมา

“ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ!”

ชายผิวดำยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ “การประลองที่นี่พิเศษอย่างยิ่ง ปกติแล้วคนที่เข้าร่วมการประลองจะมีพลังฝึกตนเพิ่มขึ้นหากเข้าร่วมการประลองแล้ว!”

“ทางมรณะได้ผลแพ้ชนะแล้ว!” มีคนเอ่ยขึ้นโดยพลัน

ทันใดนั้น รางวัลของทางมรณะบนป้ายผินผลึกก็หายไป จากนั้นก็มีรางวัลอื่นขึ้นมาแทนที่ และตอนนั้นก็มีคนจำนวนหนึ่งโบยบินไปที่ปราการแห่งหนึ่งในอากาศอย่างรีบร้อน

ในนั้นมีชายผิวดำผู้นั้นด้วย

“ดูไปแล้วน่าสนใจเหมือนกัน!” เซี่ยโหวอู่ระบายยิ้ม ผงกศีรษะติดต่อกัน

ในตอนนี้เอง รางวัลอีกชิ้นหนึ่งบนป้ายหินผลึกก็หายไปอีก

พรึ่บ! อักษรหลายตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง รางวัลก็คือผลึกเสวียนอ้าวที่เป็นเสวียนอ้าวแห่งลมขั้นห้า

“ผลึกเสวียนอ้าวแห่งลม!” แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย

เขามีเสวียนอ้าวห้าธาตุ สามารถอาศัยผลึกเทพอัสนีทำความเข้าใจในเสวียนอ้าววายุอัสนี แต่ระดับความลึกซึ้งในเสวียนอ้าวแห่งลมยังขาดทรัพยากรที่เอื้อต่อกัน

จ้าวเฟิงใจเต้นระรัวเร็วทันที

“ไปที่สนามก็แล้วกัน!”

แววตาของเขากวาดผ่านรายการแข่งขันที่เกี่ยวเนื่องกับผลึกเสวียนอ้าวแห่งลม

“เซี่ยโหวอู่ ข้าไปลองก่อนแล้วกัน!”

จ้าวเฟิงยิ้มๆ ก่อนจะกวาดสายตาไปในอากาศแล้วจากไป

เซี่ยโหวอู่ผงกศีรษะ ขณะที่ดวงตาจ้องป้ายหินผลึกดังกล่าวเขม็งเพื่อหาสนามประลองที่เหมาะสมกับตน

“ได้ ไปสนามนั่นแล้วกัน!”

ชายมีเขาสองข้างสวมชุดเกราะสีทองดำในกลุ่มคนด้านหลังเอ่ยเสียงต่ำ จากนั้น เขาจึงประกาศข้อมูลผ่านป้ายคำสั่งธรรมดาชิ้นหนึ่งในมือ

“ไปที่สนาม หรือว่าเขาคือ…เทพโบราณหวังหลิงจากแดนศักดิ์สิทธิ์ฟ้าทลาย!”

เซี่ยโหวอู่มองเงาร่างที่ไกลออกไปด้วยแววตาตื่นตะลึง

ยามที่จ้าวเฟิงมาถึงสนามประลองนั้นเอง ที่นี่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ โดยส่วนมากในนั้นก็คือคนที่รอชมการประลอง

“ผลึกเทพระดับสูงห้าสิบชิ้น!” กรรมการคนหนึ่งเอ่ยพลางยิ้ม

“ตกลง!” สีหน้าจ้าวเฟิงฉายแววตระหนก ก่อนจะตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว

ผลึกเทพที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าร่วมประลอง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นผลึกเทพระดับสูง หนำซ้ำยังมีจำนวนมหาศาลจนชวนตกใจ แต่ในห้วงฝันบรรพกาลของจ้าวเฟิงมีขั้วอำนาจสี่ดาวระดับสุดยอดอย่างเผ่าพันธุ์กิเลนเพลิงโลหิต เพียงแค่ผลึกเทพระดับสูงห้าสิบชิ้นก็ไม่เท่าไหร่ หลังจากจ่ายผลึกเทพไปแล้ว จ้าวเฟิงจึงเข้าไปในเวทีประลองอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้ คนที่เข้าไปในมีห้าคน ยังขาดไปอีกสามคน และมีอีกสองคนมาเข้าร่วมอย่างรวดเร็ว

พรึ่บ! สุดท้ายมีเงาพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายมรณะที่หนาวเหน็บเขย่าขวัญทุกคนในนั้น

“เทพโบราณหวังหลิง!”

คนในเผ่าใหญ่ผู้มีใบหน้าคล้ายมังกรอุทานด้วยความตกใจ

คนอื่นที่เหลือในที่แห่งนี้ต่างก็มีสีหน้าตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน

“หากรู้ก่อนนี้ ข้าคงจะไม่เข้ามาเร็วขนาดนี้หรอก!”

มีคนหนึ่งเอ่ยด้วยใบหน้าราวจะร้องไห้

ชายเกราะทองดำคนนั้นยิ่งนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าขึงขัง นัยน์ตาฉายแววเย็นชาอย่างไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น

ขอบนอกของสนามประลองเนตรเทพเจ้าปราฏสตรีร่างบางในชุดดำ แววตาใสสกาว

นางแหงนหน้าทอดสายตาไปไกลเมื่อได้รับข่าวจากป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่ง

“ให้เข้าร่วมประลองที่สนามนั่นหรือ?”

แววตาของสตรีร่างบางหยุดลงบนสถานที่ดังกล่าว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version