บทที่ 143 : วิชาเซียนวายุสวรรค์
เมื่อได้ยินเกี่ยวกับการชิงตำแหน่งหัวหน้าศิษย์และการทดสอบยอดนภา เหล่าศิษย์สายในต่างก็ตื่นเต้น
รองหัวหน้าตำหนักหลี่แย้มยิ้มและผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
ในบรรดาศิษย์สายใน จ้าวเฟิงนั้นอยู่เพียงแค่นภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ระดับต่ำของระดับต่ำสุด แต่เพราะดวงตาซ้ายและสายเลือดสีคราม เขาจึงมั่นใจอย่างมาก
ตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เด็กหนุ่มก็ไม่เคยทดสอบเลยว่าพลังที่แท้จริงของร่างกายของเขาเป็นเช่นไร
หลังจากที่รองหัวหน้าตำหนักหลี่กล่าวเกี่ยวกับทั้งสองสิ่ง เขาก็ได้เอ่ยถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเตือนศิษย์บางคนให้ทำงานของพวกเขาให้เสร็จ จ้าวเฟิงรู้ว่าศิษย์สายในนั้นมีเวลาว่างเสียเป็นส่วนมากและจะได้รับทรัพยากรจากสำนัก ทว่าตามกฎนั้น ศิษย์สายในผู้หนึ่งต้องทำงานอย่างหนึ่งทุกๆ สองเดือน
ศิษย์สายในบางคนกระทั่งอยากทำเพิ่ม เพื่อที่พวกเขาจะได้รับแต้มสนับสนุนเพิ่ม แต้มสนับสนุนเหล่านี้คล้ายกับแต้มต่อสู้ของตำหนักกว่านจวิน มันอาจใช้แลกกับอาวุธ วิชา หรือยาได้
ในสำนักจันทร์สลายนั้น ศิษย์สายในสามารถอาสาทำงานอื่นนอกจากงานที่พวกเขาได้รับได้ หากแต้มสนับสนุนของคนผู้หนึ่งมีเพียงพอ พวกเขาจะสามารถเข้าไปยังตำหนักกลวงได้
ดาบจิงเยว่ของซู่เหรินเป็นดาบชั้นมนุษย์ระดับต่ำ และได้แลกมาจากแต้มสนับสนุน ดังนั้นจะไม่มีศิษย์สายในผู้ใดเอ่ยว่าพวกเขามีแต้มสนับสนุนมากเกินไป
“หลังจากพลังฝึกตนของข้าคงที่ ข้าเองก็จะไปรับหน้าที่สักหน่อย” จ้าวเฟิงคิด
เมื่อคิดย้อนกลับไป แต้มต่อสู้ของเขายามที่อยู่ที่ตำหนักกว่านจวินก็เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์ และนั่นเป็นเพราความสามารถในการต่อสู้ของดวงตาซ้ายของเขา
ครึ่งชั่วโมงต่อมา การรวมตัวก็สิ้นสุดลง เหล่าศิษย์ได้เดินกลับไปยังทางของตน ศิษย์สายในล้วนมีกลุ่มของตนเอง เช่น กวานเฉิน เป่ยโม่ยและหยวนจื่อคือกลุ่มหนึ่ง จ้าวเฟิง เซี่ยวซุน อวิ๋นเมิงเซียง รวมทั้งหลินฟ่านก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง
หลินฟ่านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
“ขอบใจศิษย์น้องจ้าวสำหรับก่อนหน้า…”
เซี่ยวซุนและอวิ๋นเมิงเซียงรู้สึกผิดเล็กๆ อย่างไรก็ตาม หลินฟ่านนั้นได้ถูกกลั่นแกล้งทว่าพวกเขากลับไม่กล้าที่จะกระทำสิ่งใด
เซี่ยวซุนนั้นหงุดหงิดอย่างมาก ชายหนุ่มมีความคิดที่จะแยกตัวจากจ้าวเฟิงและหลินฟ่าน
อย่างแรก หลินฟ่านและจ้าวเฟิงนั้นต่างได้มีข้อพิพาทกับศิษย์ผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา โดยเฉพาะจ้าวเฟิงที่มีความขุ่นข้องกับศิษย์หลัก
อย่างที่สอง พรสวรรค์และความสามารถของจ้าวเฟิงและหลินฟ่านล้วนธรรมดา ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจได้สิ่งใดจากการเป็นเพื่อนกับทั้งสอง
เซี่ยวซุนหัวเราะเสียงเย็นและต้องการที่จะกำจัดทั้งสองออกไปเร็วๆ จ้าวเฟิงและหลินฟ่านมองไปยังร่างของเซี่ยวซุนก่อนจะมองหน้ากันแล้วส่ายศีรษะ
“พรสวรรค์ในการทำยาของจ้าวเฟิงนั้นยอดเยี่ยม แต่เขาได้เลือกฝ่ามือวายุอัสนี…” อวิ๋นเมิงเซียงถอนหายใจ
นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดยามที่นางจากไป ในฐานะขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิเมฆา นางได้ลงทุนในตัวของจ้าวเฟิง ทว่าอีกฝ่ายกลับเลือกหนทางแห่งการฝึกตนและฝ่ามือวายุอัสนี ดังนั้นเขาจึงถูกลิขิตให้ร่วงหล่น
อวิ๋นเมิงเซียงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือศิษย์ที่มีพรสวรรค์ผู้อื่น เพราะนางไม่อาจหวังในตัวของจ้าวเฟิงได้มากเท่าใดนัก
หลังจากเอ่ยลาหลินฟ่าน จ้าวเฟิงได้กลับไปยังที่พักของตน เป้าหมายในปัจจุบันของเขาคือการเพิ่มพลังฝึกตนของเขาด้วยการหลอมรวมปราณแท้ทั้งสอง
ในเสี้ยวพริบตา เวลาได้ผ่านพ้นไปครึ่งเดือน และปราณแท้ทั้งสองในร่างของจ้าวเฟิงก็ได้หลอมรวมกันในที่สุด ปราณแท้นั้นมีปราณแท้วายุเงินเป็นหลัก เพราะปราณแท้ลมหายใจหวนไม่อาจฝึกฝนเพิ่มเติมได้อีก
แน่นอนว่าปราณแท้วายุเงินใหม่นั้นได้มีคุณสมบัติของปราณแท้ลมหายใจหวนบางส่วน
“ความเร็วในการหลอมรวมนับว่าเร็วกว่าที่ข้าคาด พลังฝึกตนของข้าได้เข้าสู่ขั้นปลายของนภาที่หนึ่งแล้ว” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ
ขณะที่เขาหลอมรวมปราณนั้น เขามักจะไปยังบ่อพันบุปผาเพื่อพัฒนาร่างกายของเขาบางครั้ง เขาเข้าสู่ขั้นปลายของนภาที่หนึ่งในเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับว่าความเร็วนี้ค่อนข้างว่องไว กระทั่งศิษย์ที่มีผู้อาวุโสหนุนหลังก็อาจไม่รวดเร็วเพียงนี้
หลังจากพลังฝึกตนของเขาเข้าสู่ขั้นปลายของนภาที่หนึ่ง จ้าวเฟิงก็มีจุดมุ่งหมายอีกอย่าง เลือกเคล็ดวิชาพลังภายในอีกวิชา ทว่าเขาไม่ได้ไปยังตำหนักกลวงในทันที
ภายในมิติในดวงตาซ้าย
ค่ายกลซับซ้อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
ขณะที่จ้าวเฟิงหลอมรวมปราณนั้น เขาไม่ได้หยุดการทำความเข้าใจโครงร่างค่ายกลของตำหนักกลวง
บัดนี้เขาได้วิเคราะห์โครงร่างของค่ายกล ทว่าการควบคุมมันโดยสมบูรณ์นับว่ายากนัก อย่างไรก็ตาม กระทั่งผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่เก่งกาจที่สุดยังทำความเข้าใจมันได้เพียงแค่สองถึงสามในสิบส่วน ทว่าจ้าวเฟิงมีข้อได้เปรียบในการเห็นโครงร่างของค่ายกลและคัดลอกมันลงในสมอง
ดังนั้นแล้วเขาจึงทำความเข้าใจไปได้เจ็ดถึงแปดในสิบส่วน เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญค่ายกลทุกคน
ในเวลาไม่กี่วันต่อมา เด็กหนุ่มได้เพ่งความสนใจไปยังการวิเคราะห์ค่ายกลเพียงอย่างเดียว
นี่คือข้อสรุปที่เขาได้รับ
เขามีความมั่นใจเจ็ดส่วนในการทำลายค่ายกล ทว่ามันยากที่จะไม่ให้ผู้อาวุโสที่คุ้มกันตำหนักรับรู้ถึงมัน มีทางเดียวคือการเข้าไปในช่องว่างของค่ายกลและดูว่ามีตำราใดหรือไม่ หากเขาโชคดีเขาอาจได้รับวิชาดีๆ ทว่าหากโชคร้ายเขาก็จะไม่ได้อันใด ทว่าข้อได้เปรียบคือผู้อาวุโสจะไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
ไม่กี่วันต่อมา จ้าวเฟิงได้ออกจากที่พักและมุ่งไปยังตำหนักกลวง
เมื่อเขาไปยังตำหนักเป็นครั้งที่สอง เขาได้นำตราศิษย์สายในของเขาออกมาในครานี้ และด้วยมัน เขาจะสามารถเลือกวิชามนุษย์ระดับกลางวิชาใดก็ได้ในตำหนัก
ไม่ช้าเขาก็เข้าไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกพร้อมกับแผ่นหยกที่ล่องลอยในอากาศ
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะขยับที่ปิดตาของเขาเล็กๆ เพื่อที่จะสามารถมองลอดออกไปได้ ในสายตาของดวงตาซ้ายนั้น โครงร่างค่ายกลที่ชัดเจนขึ้นได้ปรากฏ
“เยี่ยม มันมีช่องว่างให้ข้าเห็นมากกว่าเดิมจากการที่ดวงตานี้พัฒนาขึ้น”
หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้น เขาย่อตัวลงก่อนจะก้าวถอยหลังและยื่นมือออกไป
ฟุ่บ!
แผ่นหยกสีเงินได้ปรากฏขึ้นในดวงตาซ้ายของเขาและเขาได้ใช้ช่องว่างในค่ายกลในการนำแผ่นหยกนี้ออกมา แผ่นหยกนี้ไม่ควรที่จะปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ ทว่ามันก็เกิดขึ้นแล้ว
“หืมม? สีเงิน?”
จ้าวเฟิงรู้สึกยินดีอย่างมาก
แผ่นหยกส่วนมากเป็นสีบรอนซ์ สีเงินนั้นหมายถึงวิชามนุษย์ระดับสูง
จ้าวเฟิงกวาดตามองแผ่นหยกก่อนจะพบว่ามันเป็นวิชามนุษย์ระดับสูง เขาถอนหายใจก่อนจะคัดลอกรายละเอียดของมัน
ชั่วครู่ต่อมา แผ่นหยกสีเงินอีกแผ่นก็ลอยวูบวาบ จ้าวเฟิงคว้าจับแผ่นหยกนั้นด้วยมือและหลังจากที่กวาดมองมันด้วยดวงตาซ้าย เขาก็คืนมันไปยังที่ที่เขาหยิบมา
วิชานี้เป็นวิชาเคลื่อนไหวชั้นมนุษย์ระดับสูง ทว่าเด็กหนุ่มนั้นมีภาพมัจฉามายาอยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือเคล็ดวิชาพลังภายใน
เพียงแค่เขากำลังจะขโมยเป็นครั้งที่สาม ดวงตาซ้ายของเขาก็ได้เต้นตุบและหยุดมือเขาไม่ให้ขยับ
ในตอนนั้นเอง พลังจิตที่แปลกประหลาดได้สำรวจร่างของเขา
“นี่คงเป็นประสาทสัมผัสวิญญาณของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง” จ้าวเฟิงคิด
ประสาทสัมผัสวิญญาณนั้นเป็นพลังที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่หรือสูงกว่าเว้นเสียแต่พวกเขาจะมีทักษะพิเศษ ประสาทสัมผัสวิญญาณก่อนหน้านั้นได้มาจากผู้อาวุโสที่คุ้มกันตำหนักกลวงที่ได้สำรวจไปรอบๆ ตามปกติ
หลังจากรอไปชั่วครู่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใด จ้าวเฟิงจึงนำแผ่นหยกอีกอันออกมา
“วิชาเซียนวายุสวรรค์ วิชามนุษย์ระดับสูง เป็นหนึ่งในวิชาชั้นยอดในระดับเดียวกัน วิชานี้สามารถเพิ่มความเร็วในการรวบรวมปราณแท้ได้ เมื่อฝึกจนเข้าขั้นต่ำ ปราณแท้จะกลายเป็นคล้ายคมมีดสายลมที่สามารถตัดผ่านโคลนได้ เมื่อฝึกฝนจนเข้าขั้นสูงสามารถกระทั่งตัดผ่านอาวุธชั้นมนุษย์ระดับต่ำได้…”
จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างช่วยไม่ได้เมื่ออ่านคำอธิบาย วิชานี้เหมาะสมกับเขา
อย่างแรก เขามีความเชี่ยวชาญในธาตุลมและมีพื้นฐานที่ดี อย่างที่สอง ปราณแท้จะสามารถรวบรวมได้รวดเร็วกว่าเดิม ซึ่งหมายถึงข้อได้เปรียบอย่างมาก
ทุกคนควรจะรู้ว่าศิษย์สายในทั่วไปนั้นเรียนรู้เพียงแค่วิชามนุษย์ระดับกลาง ไม่เพียงแค่วิชาเซียนวายุสวรรค์จะเป็นวิชามนุษย์ระดับสูง มันยังเป็นวิชาที่ดีที่สุดในบรรดาวิชาระดับสูงอีกด้วย
วิชาที่มีพลังของธาตุลมและไฟนั้นหายาก ทั้งพวกมันยังมุ่งเน้นไปในความเร็วและพลังโจมตี
หากเป็นเช่นนี้ ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงไม่แสดงวิชานี้ออกไปก็จะไม่มีผู้ใดรับรู้
“เป็นเจ้า”
จ้าวเฟิงตั้งใจว่าวิชาเซียนวายุสวรรค์จะกลายเป็นวิชาหลักของเขา
บัดนี้เป้าหมายของเขาประสบความสำเร็จแล้ว เด็กหนุ่มไม่ได้นำสิ่งอื่นออกมาอีก เหตุผลที่เขาไม่มองหาเพิ่มนั้นเป็นเพราะ หนึ่ง เวลานั้นมีจำกัด และสอง มีโอกาสที่จะถูกจับได้
ในเวลาที่เหลือนั้น จ้าวเฟิงได้เลือกวิชาที่มีชื่อว่าวิชาวายุโอบสวรรค์ออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า วิชาวายุโอบสวรรค์นี่เป็นฉบับง่ายของวิชาเซียนวายุสวรรค์”
เด็กหนุ่มผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ หากเป็นเช่นนี้วิชาเซียนวายุสวรรค์ของเขาก็สามารถปลอมแปลงได้ ในเวลาเดียวกัน วิชาที่เขาเลือกก็ได้ถูกบันทึกโดยตำหนักกลวง
ตำหนักกลวง ภายในห้องลับ
“จ้าวเฟิง วิชาวายุโอบสวรรค์ หืมมม… เขาเป็นผู้ที่เลือกฝ่ามือวายุอัสนีเมื่อคราที่แล้ว?” ชายชราเอ่ยพึมพำ
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงได้เดินออกจากตำหนักพร้อมด้วยวิชามนุษย์ระดับสูงสองสามวิชาและวิชาระดับกลาง วิชาวายุโอบสวรรค์ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นวิชาเซียนวายุสวรรค์
หลังจากกลับไป จ้าวเฟิงก็พบว่าวิชานี้เต็มไปด้วยความเข้าใจที่เขามีอยู่
“หืมมมม?”
เด็กหนุ่มอุทานออกมาและพบว่าเขาได้เห็นวิชาเซียนวายุสวรรค์นี่จากที่อื่นมาก่อน