Skip to content

King of Gods 142

King Of Gods

บทที่ 142 : ศิษย์หลัก

จ้าวเฟิงไร้คำพูดไปเล็กๆ ศิษย์พี่หยวนนั้นเป็นศิษย์หลักและมีพลังฝึกตนสูง เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนึกไปว่าเขาได้สร้างความขุ่นเคืองแก่ศิษย์หลักก่อนหน้าที่เขาจะกลายเป็นศิษย์สายในเสียอีก

ในตอนนี้ ศิษย์พี่หยวนได้นำหลันเสี่ยวหยวนตรงมาทางเด็กหนุ่ม

“ศิษย์พี่หยวน? นางเป็นอันใด?”

ศิษย์สายในใกล้ๆ รีบขยับร่างออกจากทางของทั้งสองเมื่อเห็นว่าหญิงสาวได้พุ่งมาราวพายุ

ตัวตนของศิษย์หลักนั้นได้ทำให้ศิษย์สายในหวาดระแวง นอกจากนั้น ศิษย์พี่หยวนยังเป็นที่เลืองลือในความพินาศที่นางก่อและกระทั่งศิษย์หลักคนอื่นยังหลบซ่อนจากนาง

สิ่งที่เขากลัวได้มาถึงแล้ว

ศิษย์ที่หยวนส่งแรงกดดันไปยังจ้าวเฟิง และภาพนั้นก็ได้สร้างความหวาดกลัวแก่เซี่ยวซุนรวมทั้งอวิ๋นเมิงเซียง พวกเขาเพิ่งจะมาเป็นศิษย์สายในและยังไม่มีความมั่นคงนัก สิ่งที่พวกเขาต้องการมีเพียงการปกป้องตนเอง

“ไอ้เด็กเหลือขอไร้ยางอาย! อย่าคิดว่าข้าจะไม่สังเกตเห็นเจ้าด้วยรูปลักษณ์เช่นนั้น” ศิษย์พี่หยวนเอ่ยเสียงเย็น

ศิษย์สายในใกล้ๆ ต่างนิ่งอึ้ง จ้าวเฟิงผู้นี้เพิ่งจะกลายเป็นศิษย์สายใน แล้วเขาจะไปสร้างความขุ่นเคืองแก่ศิษย์พี่หยวนได้เช่นไร?

ซู่เหรินและสหายพลันมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างพึงพอใจ ศิษย์พี่หยวนคือผู้ปกครองในบรรดาศิษย์สายใน

หลินฟ่าน เซี่ยวซุน และอวิ๋นเมิงเซียงเหงื่อแตกพลั่กให้จ้าวเฟิงอย่างช่วยไม่ได้

“ข้าก็คือข้า… ข้าไม่เคยปลอมแปลงตนเอง”

จ้าวเฟิงไม่ได้ล่าถอย จากนั้นเขาได้หันไปทางหลันเสี่ยวหยวนและเผยรอยยิ้มให้เช่นคำทักทาย

ใบหน้าของหลันเสี่ยวหยวนกลายเป็นแดงก่ำขณะที่นางผงกศีรษะตอบอย่างขี้อาย

“ฮึ่ม! เจ้ากล้าพยายามจีบศิษย์น้องหลัน!”

ความรู้สึกกราดเกรี้ยวไร้ที่มาได้ทะลักท่วมร่างของศิษย์พี่หยวนขณะที่นางส่งพลังจิตของนางไปยังจ้าวเฟิง ศิษย์สายในใกล้ๆ พลันถอยหลังเพราะนภาที่สี่นั้นนับเป็นการกระโดดก้าวใหญ่เมื่อเทียบกับนภาอื่น

ผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่านภาที่สี่นั้นถูกนับเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณระดับต่ำ ทว่าผู้ที่มีพลังฝึกตนในนภาที่สี่หรือสูงกว่าเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือ

จ้าวเฟิงไม่อาจหายใจได้ ทว่าเขาได้โคจรสายเลือดสีครามลึกลับในร่างอย่างช้าๆ ก่อนที่แรงกดดันจะลดลงถึงครึ่ง

“เอ๋?”

ศิษย์พี่หยวนส่งเสียงออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ภายใต้แรงกดดันของผู้ที่มีพลังฝึกตนในนภาที่สี่ เด็กหนุ่มตาเดียวได้ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา

“ศิษย์พี่หยวน อย่าได้สร้างความลำบากแก่เขา…” หลันเสี่ยวหยวนดึงมือของศิษย์พี่หยวน

“ไม่! เขาต้องขอโทษ!” ศิษย์พี่หยวนเอ่ยเสียงหยาบกระด้าง

นางรู้สึกขมขื่นทุกครั้งที่นางคิดว่านางถูกดัดหลังโดยจ้าวเฟิงเช่นไร หากอีกฝ่ายเป็นเพียงศิษย์สายนอก พวกเขาก็นับว่าอยู่ในคนล่ะส่วนกัน ดังนั้นแม้นางจะรู้สึกไม่พอใจ นางก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้

ทว่าเด็กหนุ่มนั้นได้กลายมาเป็นศิษย์สายใน และทั้งสองสามารถเจอกันได้ทีหลัง หากสถานการณ์ในวันนั้นถูกเอ่ยออกไป นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!?

“ฮี่ฮี่ อันใดกัน? จ้าวเฟิงหาเรื่องศิษย์น้องหยวนได้รวดเร็วเพียงนี้?”

น้ำเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นจากขอบของลาน คนผู้นั้นคือกวานเฉิน ทว่าเขาไม่กล้าตะโกนออกไป ข้างกายของเขาคือหยวนจื่อและเป่ยโม่ยที่กำลังนิ่งงัน

“หยวนจื่อ! ศิษย์หลักอีกคน!”

“ข้าได้ยินมาว่าเป่ยโม่ยผู้นั้นนับว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน! แน่นอนว่าเขานั้นเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในบรรดาศิษย์สายใน!”

ผู้คนเอ่ยพูดคุยกัน ศิษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้รวมตัวและเฝ้ามองสถานการณ์นี้ จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออก เขาเพิ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์สายใน และศิษย์พี่หยวนย่อมไม่รังแกเด็กใหม่ต่อหน้าผู้อื่น

“ฮะฮะ ศิษย์พี่หยวน การแกล้งศิษย์สายใหม่คนใหม่ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรทำ”

น้ำเสียงสูงส่งดังขึ้นจากอีกฟากของลาน เจ้าของเสียงกระโจนขึ้นบนอากาศ

“ศิษย์หลัก หยางก่าน!”

ฝูงชนอุทานออกมาเช่นเดียวกับที่ศิษย์สตรีหลายคนมีสีหน้าชื่นชมเผยให้เห็น

ชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่นั้นอายุ 17-18 ปี และหล่อเหลาอย่างมาก ไม่เพียงแค่มีรูปลักษณ์งดงาม ทว่ายังมีเสน่ห์อีกด้วย

ศิษย์ธรรมดาไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของศิษย์พี่หยวน ทว่าคนผู้นี้ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย

“หยางก่าน อันดับสองในสิบศิษย์หลักที่อยู่ในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และเป็นตัวเก็งผู้ชิงตำหนักหัวหน้าศิษย์คนต่อไป”

ข้อมูลเกี่ยวกับคนผู้นี้ปรากฏขึ้นในศีรษะของจ้าวเฟิง

ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ของศิษย์สายในจากอวิ๋นเมิงเซียงและคนอื่นๆ

ศิษย์สายในยอดฝีมือนั้นเป็นศิษย์หลัก ทว่ามันมีข้อจำกัดทั้งในศิษย์สายในและศิษย์หลัก คืออายุต้องไม่เกิน 30 ปี

เมื่อพวกเขาอายุเกิน 30 ปี ทั้งศิษย์หลักและหัวหน้าศิษย์ต่างต้องรับหน้าที่ในสำนัก

แน่นอนว่าหัวหน้าศิษย์คนปัจจุบันนั้นมีอายุ 31 ปี ดังนั้นแล้วทั้งศิษย์พี่หยวนและหยางก่านจึงได้แย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าศิษย์กัน ทว่าในด้านของพลังฝึกตนนั้น ศิษย์พี่หยวนได้อ่อนด้อยกว่าหยางกานเมื่อนางนั้นอยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สี่ ขณะที่หยางก่านนั้นอยู่ที่นภาที่ห้า

คนเพียงผู้เดียวที่มีศิษย์แข่งขันกับหยางก่านคือเฉินซิงรุ่ย ศิษย์หลักอันดับสามที่อยู่ในนภาที่ห้าเช่นกัน

“หยางก่าน! อย่าได้คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าเพียงเพราะเจ้าได้เข้าสู่นภาที่ห้า ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตำแหน่งศิษย์หลักจะตกเป็นของผู้ใด” ศิษย์พี่หยวนหัวเราะเสียงเย็นขณะที่หญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับหยางก่าน

เมื่อหยางก่านมาถึง แรงกดดันที่จ้าวเฟิงรู้สึกได้ก็ลดลงอย่างมากเมื่อความสนใจของกลุ่มคนนั้นได้ถูกดึงดูดไปโดยศิษย์หลักทั้งสอง

เพียงแค่ยามที่จ้าวเฟิงและสหายกำลังจะแอบหลบออกไป

“เจ้ามีนามว่าอันใด?”

หยางก่านหันไปเอ่ยถามจ้าวเฟิงโดยไร้ซึ่งการส่งสัญญาณใดๆ

“จ้าวเฟิงคารวะศิษย์พี่หยาง”

จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ หยางก่านผงกศีรษะจากนั้นจึงเอ่ยอย่างเข้มงวด

“จ้าวเฟิงใช่หรือไม่? ข้าเตือนเจ้า ชีวิตนั้นล้ำค่ากว่าฝ่ามือวายุอัสนี”

จากนั้นชายหนุ่มก็หมุนตัวและจากไปขณะที่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

ชีวิตนั้นล้ำค่ากว่าฝ่ามือวายุอัสนี

เหตุใดหยางก่านจึงได้เอ่ยเตือนเขากัน?

ศิษย์สายในหลายคนในที่นี่รับรู้ถึงความน่ากลัวของฝ่ามือวายุอัสนี

“ฝ่ามือวายุอัสนี?”

สีหน้าของศิษย์พี่หยวนเปลี่ยนไปขณะที่นางจ้องไปยังจ้าวเฟิงอย่างซับซ้อน

“หยางก่านมีสหายสนิทที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี ทว่า…”

หญิงสาวไม่จำเป็นต้องเอ่ยอีกต่อไปเพราะเด็กหนุ่มเข้าใจถึงคำพูดต่อไป

สหายของหยางก่านนั้นได้ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี ทว่าได้สิ้นชีพลงไปแล้ว ไม่แปลกใจที่ชายหนุ่มจะเอ่ยเตือนเขา

เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่หยวนจะไม่สร้างปัญหาให้เขาอีก เด็กหนุ่มจึงหมุนตัวจากไป

มันเป็นทางของเขา ไม่ใช่ของผู้อื่น

เขาได้ทำให้อันตรายทั้งหมดอยู่ในระดับต่ำที่สุดโดยดวงตาซ้ายลึกลับของเขาด้วยการควบคุมทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ไว้ในมือ

ในขณะที่ฝึกฝนวิชานี้ จ้าวเฟิงค้นพบว่าฝ่ามือวายุอัสนีนั้นถูกเขียนไว้อย่างหยาบๆ ราวกับว่ามันเพียงแค่ถูกสร้างขึ้น ทว่ายังไม่ได้ถูกทำให้สมบูรณ์

ดังนั้นแล้วเขาจึงได้สำรวจทุกแง่มุมของทุกๆ ย่างก้าวเพื่อหาช่องว่างก่อนจะพยายามทำให้มันสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับที่เขาทำกับค่ายกล ทว่าอันตรายที่เกี่ยวข้องนั้นไม่อาจเทียบได้กับการจัดค่ายกลเลยแม้แต่น้อย

“ไอ้เด็กเหลือขอสกุลจ้าว หากเจ้ายังคงฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี เจ้าจะไม่แม้แต่มีโอกาสเล็กๆ ในการไล่ตามศิษย์น้องหลัน” น้ำเสียงเย็นชาสงสารของศิษย์พี่หยวนดังขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหลันเสี่ยวหยวนพลันแดงก่ำขณะที่นางกำชายเสื้อของศิษย์พี่หยวนเอาไว้

จ้าวเฟิงไม่ได้เอ่ยตอบเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามีท่าทีเยือกเย็นขณะที่เรือนผมสีครามของเขาพลิ้วไหวไปในอากาศ

“เขาเสียสติไปแล้ว!”

หญิงสาวสกุลหยวนส่ายศีรษะ ไม่มีผู้ใดที่ฝึกฝนวิชานี้มีสติดี

ศิษย์สายในจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมตัวกันที่ลาน ศิษย์หลักจำนวนสิบคนนั้น เก้าคนได้ปรากฏตัวขึ้น มีเพียงหัวหน้าศิษย์ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่

สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองไปยังกลุ่มคนและพบกับหลิวเยว่เอ๋อร์กับซุนหยวนเฮา

หลิวเยว่เอ๋อร์และซุนหยวนเฮาต่างกลายเป็นศิษย์สายในโดยตรง

“ไอ้หมอนั่นกลายเป็นศิษย์สายในแล้ว?”

หลิวเยว่เอ๋อร์ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อนางเห็นจ้าวเฟิง

ในบรรดากลุ่มคนนั้น จ้าวเฟิงยังเห็นเป่ยโม่ยและกวานเฉิน ฝ่ายหลังนั้นได้ยิ้มเย็นให้แก่เขาเมื่อดวงตาของพวกเขาสบกัน ขณะที่เป่ยโม่ยนั้นยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนเขาได้

“ศิษย์น้องเป่ย เจ้าจะไม่ไปทักทายจ้าวเฟิงหน่อยหรือ?” หยวนจื่อเอ่ยพร้อมแย้มยิ้มบาง

เป่ยโม่ยเค้นเสียง

“ข้าได้ทำข้อตกลงกับเขาไว้แล้วว่าจะจัดการมันในสำนัก”

เขาได้เข้าสู่นภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณเมื่อไม่กี่วันก่อน และเขามั่นใจอย่างมาก

ไม่ช้าผู้คนส่วนมากก็ได้มาถึงขณะที่บางคนกำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ด้านนอกสำนักและยังไม่กลับมา

“มีสองสิ่งที่ข้าต้องพูด…” น้ำเสียงใสกระจ่างดังก้องไปทั่วลาน

คนผู้นั้นคือรองหัวหน้าตำหนักหลี่แห่งตำหนักกลาง

ทั่วทั้งลานเงียบเสียงลง กระทั่งศิษย์หลักก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงใดๆ

“สิ่งแรกนั้นเกี่ยวกับหัวหน้าศิษย์ เช่นที่พวกเจ้ารู้ หัวหน้าศิษย์จะอายุ 31 ในอีกไม่กี่เดือน และในบรรดาศิษย์หลักที่เหลืออีกเก้าคน หัวหน้าศิษย์จะถูกเลือก…”

น้ำเสียงของรองหัวหน้าตำหนักหลี่นั้นไร้ซึ่งอารมณ์ ทุกคนล้วนรู้ถึงการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ ทว่าพวกเขาไม่ได้สนใจนักเมื่อมีเพียงแค่ศิษย์หลักที่จะสามารถได้รับตำแหน่งนั้นได้

จ้าวเฟิงเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเขา

ไม่ว่าศิษย์หลักคนใดก็ล้วนแล้วแต่มีพลังฝึกตนที่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณเป็นอย่างต่ำ

“อย่างที่สองนั้นเกี่ยวกับการทดสอบยอดนภา!”

เสียงพูดคุยพลันปรากฏขึ้นในกลุ่มคนทันทีที่สิ้นเสียงของรองหัวหน้าตำหนักหลี่

เหล่าศิษย์ต่างตื่นเต้นและคาดหวัง ในขณะที่ศิษย์หลัก โดยเฉพาะที่มีอายุมากกว่าไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ

การทดสอบยอดนภานั้นจัดขึ้นในทุกๆ ห้าปี และศิษย์ที่อยู่มานานกว่าก็ได้เข้ารวมไปแล้ว

“การทดสอบยอดนภานั้นจะเริ่มขึ้นในอีกสามเดือน เช่นครั้งก่อน มีคนเพียงสิบคนที่สามารถเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาได้ จะมีการทดสอบก่อนเพื่อยืนยันผู้เข้าร่วมทั้งสิบคน” รองหัวหน้าตำหนักหลี่ประกาศ

ที่ว่างสิบที่สำหรับการทดสอบยอดนภานั้นปรากฏขึ้นทุกๆ ห้าปี

เมื่อได้ยินเช่นนั้น กระทั่งกวานเฉินก็ไม่อาจกักเก็บความตื่นเต้นของเขาไว้ได้

“คราที่แล้วข้านั้นอายุเพียง 13 ปี และมีพลังฝึกตนเพียงแค่นภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ อาจารย์บอกข้าว่าให้รอการทดสอบครั้งต่อไปและครองอันดับหนึ่ง!”

ความมั่นใจและจิตต่อสู้ลุกโชนในแววตาของหยางก่าน

ทั้งการทดสอบยอดนภาและการต่อสู้ชิงตำแหน่งหัวหน้าศิษย์จะเริ่มขึ้นในเวลาอีกไม่กี่เดือน

สามารถจินตนาการได้เลยว่าสำนักจันทร์สลายจะไม่สงบเงียบอีกต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!