Skip to content

King of Gods 141

King Of Gods

บทที่ 141 : ฝ่ามือวายุอัสนีสำแดงเดช

ในขณะที่อวิ๋นเมิงเซียงกำลังพูดกับจ้าวเฟิงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบานั้น ซู่เหรินผู้มีจมูกแหลมยาวก็เริ่มที่จะปลดปล่อยแรงกดดันไปยังหลินฟ่านด้วยสีหน้าเย็นชา

“ไอ้พวกเวร มานี่!”

คิ้วของซู่เหรินกระตุกยามที่เขากวาดตามองไปยังจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ เป้าหมายของเขาคือหลินฟ่าน แต่หากไอ้เด็กเหลือขอคนอื่นๆ ไม่สนใจแต่เรื่องของตนเอง เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะสั่งสอนพวกนั้นไปพร้อมๆ กัน

ศิษย์สายในสองคนยืนอยู่เบื้องหลังซู่เหรินด้วยสีหน้าหยอกล้อ พวกเขาต่างมีพลังฝึกตนอยู่ในนภาที่สองเช่นกัน

ทั้งสามนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณซึ่งเป็นระดับเดียวกับเจ้าเมืองกว่านจวิน

“ศิษย์น้องจ้าว ศิษย์น้องเซี่ยว ศิษย์น้องอวิ๋น… ข้าจะจัดการเรื่องของข้าเอง”

หลินฟ่านเดินออกไปเพียงลำพัง ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว

เซี่ยวซุนพ่นลมหายใจออกและพลันสร้างระยะห่างระหว่างเขากับหลินฟ่านในทันที ซู่เหรินและคนอื่นๆ ล้วนแต่อยู่ในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณและไม่ใช่ผู้ที่เขาจะสามารถสร้างความขุ่นเคืองด้วยได้

จ้าวเฟิงเองก็ถูกอวิ๋นเมิงเซียงดึงไปข้างๆ

“สำนักอนุญาตให้ประลองได้ แต่เพราะศิษย์สายในทุกคนอยู่ที่นี่ พวกเขาจะไม่ลงมือเต็มที่” อวิ๋นเมิงเซียงอธิบายแก่จ้าวเฟิง มันชัดเจนว่านางและเซี่ยวซุนนั้นไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของหลินฟ่าน

แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่เลว แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการสร้างความขุ่นเคืองให้กับศิษย์สายในรุ่นเก่าเพื่อเขา

“ฮ่าฮ่าฮ่า… หลินฟ่าน! ไม่มีผู้ใดกล้าช่วยเหลือเจ้า!” ซู่เหรินหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง

เขามีความสุขกับความรู้สึกที่จ้าวเฟิงกับคนอื่นๆ ‘รู้ตำแหน่งของตนเอง’

หัวใจของหลินฟ่านเย็นเยียบลงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวในการอยู่เพียงลำพังแล้ว

เหล่าศิษย์เริ่มสร้างพื้นที่ให้พวกเขาและไม่มีผู้ใดเข้ามาข้องเกี่ยว

“ให้ข้าดูพลังของศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งของเจ้าหน่อย”

พลังจิตที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นจากร่างของซู่เหรินพร้อมกับที่กลิ่นอายของภนาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้กดดันไปยังหลินฟ่าน

ความแตกต่างของแต่ล่ะนภานั้นราวกับสวรรค์และนรก ปราณแท้ของผู้ฝึกตนในนภาที่สองนั้นอยู่คนล่ะระดับกับนภาที่หนึ่งโดยสิ้นเชิง

เมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย หลินฟ่านพลันหายใจกระตุก ทว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็เคยเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งและแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน

เพลงดาบหยุดขนปักษา!

หลินฟ่านยื่นแขนของเขาออกพร้อมกับประกายแสงสีขาวได้ปรากฏขึ้นราวกับหิมะในฤดูหนาว ประกายดาบนั้นดูแปลกประหลาดเพราะมันรวดเร็วราวกับสายฟ้า แต่กลับมีสีขาวบริสุทธิ์ราวกับขนปักษาในเวลาเดียวกัน

เพลงดาบสามดาบคลั่ง!

ซู่เหรินพลันชักดาบออกจากฝักพร้อมกับที่มันกลายเป็นคลื่นแสงที่คล่องแคล่ว

เคร้ง เคร้ง เคร้ง

เมื่อกระบวนท่าทั้งสองปะทะกัน เสียงปะทะที่รวดเร็วก็ดังขึ้น

พลังของขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเทียบเท่ากับขอบเขตแห่งการรวบรวมได้ พลังงานที่หลงเหลือสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นเก้าในขอบเขตแห่งการรวบรวมได้ในทันที

“หลินฟ่านผู้นี้เก่งกว่าที่คาด วิชาดาบมนุษย์ระดับกลางของเขาถูกฝึกฝนอย่างชำนาญ”

“เขาควรค่าแก่ฉายาศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งเมื่อเขาสามารถต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในนภาที่สองได้โดยไม่พ่าย”

เหล่าผู้ชมต่างประหลาดใจ ความแข็งแกร่งของหลินฟ่านนั้นเหนือกว่าที่พวกเขาคาด และเขาไม่ได้พ่ายแพ้

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง”

จ้าวเฟิงได้ยินมาว่าอีกฝ่ายนั้นเคยเอาชนะผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณยามที่เขาอยู่ในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นอาจเป็นจิรง

สิบกระบวนท่า… ยี่สิบกระบวนท่า…

ซู่เหรินนั้นเคร่งเครียดอย่างมากขณะที่เขาสูดลมหายใจลึก พร้อมกับที่ปราณแท้ที่แข็งแกร่งได้กระจายออกจากร่างของเขา ซึ่งทำให้การโจมตีของเขารุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ทุกคนรู้สึกได้ว่าดาบของซู่เหรินนั้นรุนแรงและเฉียบคมยิ่งขึ้น

ชุ่บบบบ!

รอยบิ่นปรากฏขึ้นบนดาบสีขาวราวหิมะของหลินฟ่านพร้อมกับที่มันส่งประกายไฟออกมาในอาการ

“มันเป็นดาบชั้นมนุษย์”

“ถูกแล้ว! มันถูกสร้างขึ้นโดยช่างตีเหล็กของเรา ท่านหลี่จิงเยว่ และเขาสร้างขึ้นเพียงแค่ 36 เล่มเท่านั้น”

การปรากฏขึ้นของดาบระมนุษย์ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป เมื่อซู่เหรินใช้พลังของดาบ ‘จิงเยว่’ การโจมตีของเขาก็กระทั่งแข็งแกร่งขึ้น และภายในไม่กี่กระบวนท่า ดาบของหลินฟ่านก็หักพร้อมกับรอยเลือดที่ปรากฏขึ้นทั่วร่าง

“มันมีอาวุธมากมายในโลกนี้ และถูกแบ่งออกเป็นชั้นต่างๆ คือ มนุษย์ จิตวิญญาณ ดิน และฟ้า ทุกๆ ชั้นถูกแบ่งออกเป็น ต่ำ กลาง สูง และสุดยอดเช่นเดียวกับวิชา ในทวีปแห่งนี้ อาวุธในระดับจิตวิญญาณหรือสูงกว่านับได้ว่าหายสาบสูญไปหมดแล้ว…”

ข้อมูลปรากฏขึ้นในศีรษะของจ้าวเฟิง เขาได้อ่านตำราจำนวนมากและจดจำมันลงในสมองทั้งหมด

อาวุธในระดับจิตวิญญาณหรือสูงกว่าต่างมีพลังที่มากมายและสามารถทำลายสวรรค์หรือพื้นดินได้ แน่นอนว่าสำนักจันทร์สลายมีอยู่หนึ่งชิ้น และมันยังเป็นหนึ่งในไม้ตายของสำนัก

กระทั่งอาวุธชั้นมนุษย์ระดับต่ำยังมีพลังที่น่าสะพรึง

จ้าวเฟิงพบว่าพลังที่เพิ่มขึ้นสี่ถึงห้าในสิบส่วนของซู่เหรินนั้น อย่างน้อยสามส่วนมาจากดาบ และอีกสองส่วนมาจากปราณแท้ของเขา

ในเพียงเวลาไม่กี่นาที ทั่วทั้งร่างของหลินฟ่านก็เต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บ

“ชิชิชิ… ดูเหมือนว่าพลังของศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งจะเพียงแค่งั้นงั้น”

ซู่เหรินมีอาวุธชั้นมนุษย์ในมือและอาจจงใจไม่เอาชนะเพราะเขาต้องการหยอกล้อกับอีกฝ่าย การโจมตีของเขานั้นแม่นยำ หลินฟ่านไม่ได้บาดเจ็บหลายแห่ง ทว่ามันต้องเจ็บ

“เจ้าชนะแล้ว หยุดเถอะ”

จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นจากด้านข้างในที่สุด

กระทั่งบัดนี้ หลินฟ่านเองก็ได้ยอมแพ้แล้ว ทว่าซู่เหรินทำเพียงแค่หัวเราะเสียงเย็น

“เว้นเสียแต่เขาจะคุกเข่าและขออภัยเบื้องหน้าน้องชายข้า หรือไม่เช่นนั้นมันก็จะเป็นเช่นนี้อีก!”

ฟุ่บ!

ร่างของจ้าวเฟิงพลันพร่าเลือนและมุ่งตรงไปยังด้านหลังของซู่เหริน

“ไอ้เด็กเหลือขอ หยุด!”

สหายในนภาที่สองของซู่เหรินตวาด ทว่าพวกเขาลงมือไม่ทัน

ความเร็วของจ้าวเฟิงนั้นมากเกินไป ทั้งยังเต็มไปด้วยภาพมายา

ฝ่ามือวายุอัสนี!

เด็กหนุ่มผมสีครามตาเดียวปรากฏขึ้นเบื้องหลังซู่เหรินพร้อมกับส่งฝ่ามือที่ส่งเสียงคำรามของสายฟ้าออกไป

ซู่เหรินรู้สึกเพียงว่าแก้วหูของเขาสั่นสะท้านจากเสียงนั้น เขาหันกลับไปส่งฝ่ามือเพื่อป้องกันการโจมตีนั้นได้อย่างฉิวเฉียด

เปรี้ยง!

ฝ่ามือที่เหนือกว่านั้นราวกับพุ่งผ่านสายฟ้าพร้อมกับกลิ่นอายน่าสะพรึงที่ทำให้ผู้อื่นใกล้ๆ นิ่งอึ้ง

เป็นกระบวนท่าที่อันตรายอันใดเช่นนี้!

มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่สามารถมองเห็นกระบวนท่านั้นได้อย่างชัดเจน

ตูม!

ซู่เหรินกระเด็นลอยออกไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ฉีกขาดและแผลไหม้บนร่าง

“เจ้า… เจ้าลอบโจมตีข้า!” ซู่เหรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าขาวซีด

“ใช่ ข้าลอบโจมตีเจ้า!” จ้าวเฟิงกอดอกและมองลงไปยังซู่เหรินด้วยสายตาเย็นยะเยือก

พรวด!

ซู่เหรินพยายามฝืนโคจรปราณแท้ของเขา ทว่ากลับกระอักโลหิตออกมาคำโตแทน

ฝ่ามือที่โจมตีโดยจ้าวเฟิงนั้นได้สร้างอาการบาดเจ็บให้เขาอย่างหนัก และบัดนี้เขาได้โกรธเสียจนกระอักเลือด

“นั่นมันกระบวนท่าอันใดกัน?”

เหล่าศิษย์ใกล้ๆ ได้ตื่นขึ้นจากความตะลึง ทว่าก็กลับไปนิ่งอึ้ง แม้ว่าจ้าวเฟิงจะลอบโจมตีซู่เหริน พวกเขาก็ยังเห็นว่าพลังของฝ่ามือนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

“ฝ่ามือวายุอัสนี! มันต้องเป็นฝ่ามือวายุอัสนีแน่! ไอ้หมอนั่นเสียสติไปแล้ว!!!” ศิษย์ผู้หนึ่งที่มีพลังฝึกตนในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณอุทานออกมาในไม่ช้า

ฝ่ามือวายุอัสนี!

สีหน้าของเหล่าศิษย์สายในเปลี่ยนแปลงไป

“ทุกคนที่ฝึกวิชาฝ่ามือวายุอัสนีล้วนแล้วแต่เป็นผู้เสียสติ!”

“ไม่กี่ปีก่อน ไอ้เวรเสียสติคนหนึ่งที่ฝึกฝ่ามือวายุอัสนีได้ใช้วิชานี้และสามารถฆ่าผู้ที่มีพลังฝึกตนเหนือกว่าเขาสองนภาลงได้ แม้ว่าเขาจะตายเช่นกัน”

ในตอนนี้ ทุกคนต่างมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความหวาดระแวง ราวกับว่าพวกเขากำลังมองไปยังระเบิดที่อาจระเบิดออกได้ทุกเวลา

เช่นที่พวกเขาเอ่ย ทุกคนที่ฝึกฝ่ามือวายุอัสนีล้วนเสียสติ

ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ควรสร้างความขุ่นเคืองแก่คนเช่นนั้น

มันมีคำพูดเช่นนี้อยู่ คนอ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งหวาดกลัวผู้ดหดเหี้ยม และคนโหดเหี้ยมเหล่านั้นก็กลัวผู้ที่ไม่เห็นค่าในชีวิตของตนเอง

และเหล่าผู้ที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ไม่ใส่ใจในชีวิตของตนเอง เพราะวิชานี้นับว่าอันตรายเกินไป

แม้ว่าคนผู้หนึ่งจะโชคดีกระทั่งสามารถฝึกมันจนเข้าสู่ระดับสูงสุดได้ พวกเขาก็มักจะถูกฟ้าผ่าตายอยู่ดี

เมื่อพวกเขาสำรวจรูปลักษณ์ของจ้าวเฟิง ผมสีครามและดวงตาเพียงข้างเดียว พวกเขาล้วนสะอึกและความเคลือบแคลงที่ว่าจ้าวเฟิงนั้นเสียสติก็ได้รับการยืนยัน

“ไอ้เด็กนี่… ลอบโจมตีข้า!”

ซู่เหรินหมดความสามารถในการต่อสู้ แต่สหายทั้งสองของเขาอยู่ในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าโจมตี

สายลมที่พัดโชยได้พัดพาเรือนผมสีครามให้ปลิวไหวอย่างอิสระ ดวงตาข้างขวาเย็นยะเยือกจับจ้องไปยังซู่เหรินและสหายทั้งสองของเขา

เขาไม่แม้แต่จะหวาดกลัวยามที่เผชิญหน้ากับศิษย์ที่อยู่ในนภาที่สอง ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกตื่นเต้นและไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้เลียริมฝีปากได้

การกระทำนั้นทำให้ผู้อื่นรู้สึกจ้าวเฟิงนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต

“หรือว่าจ้าวเฟิง… จะเสียสติ?”

เซี่ยวซุนและอวิ๋นเมิงเซียงมองหน้ากัน

ความจริงนั้น จ้าวเฟิงกำลังตื่นเต้น

“พลังของฝ่ามือวายุอัสนีแข็งแกร่งยิ่ง!!”

ในขณะที่บรรยากาศกำลังเข้าสู่จุดเข้มข้นนั้นเอง

“ศิษย์หลักมาแล้ว!” เสียงตะโกนดังขึ้นจากที่ไกลๆ

ความตึงเครียดสลายหายไปและทุกคนต่างหันไปทางศิษย์ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณจำนวนหนึ่ง

ศิษย์หลักนั้นได้รับการดูแลเป็นพิเศษในสำนัก และมีอำนาจเทียบเท่ากับผู้คุมกฎ ศิษย์หลักทุกคนต่างมีบุคคลระดับสูงของสำนักหนุนหลัง

“ไอ้เด็กเวร! ข้าจะทำให้เจ้าอยากตายเมื่อเจอกันครั้งหน้า!” ซู่เหรินคำรามขณะที่เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก

สหายทั้งสองของเขาก็มองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่แม้แต่จะมองมาที่พวกเขา

หืม?

สายตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังศิษย์หลักผู้หนึ่ง

อาภรณ์ของศิษย์หลักนั้นแตกต่างจากศิษย์สายในผู้อื่น พวกเขาไม่แม้แต่จะต้องสวมใส่เครื่องแบบหากพวกเขาต้องการ

ศิษย์หลักที่พวกเขาเห็นนั่นสูงและแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว

ศิษย์พี่หยวน?

จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ จากนั้นจึงเห็นหลันเสี่ยวหยวนข้างๆ นาง

สาวงามร่างสูงและอีกหนึ่งที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยดึงดูดความสนใจของศิษย์จำนวนมาก

“นั่นเขา!”

หลันเสี่ยวหยวนพลันเห็นเรือนผมสีครามและดวงตาข้างเดียวของจ้าวเฟิงโดยบังเอิญ ใบหน้าของนางขาวซีดเพราะรูปลักษณ์ที่โหดร้ายของเขา

“เมื่อใดกันที่หมอนี่กลายมาเป็นศิษย์สายใน?”

ศิษย์พี่หยวนพลันจดจำได้ว่านางถูกแอบมองโดยจ้าวเฟิงและถูกดัดหลังเช่นไร

สีหน้าของนางพลันหม่นหมองลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!