Skip to content

King of Gods 140

King Of Gods

บทที่ 140 : รวมตัวศิษย์สายใน

“อันใดกัน!? ไอ้เด็กเวรนั่นกลายเป็นศิษย์สายในแล้ว?”

ปากของกวานเฉินอ้ากว้าง ความคิดที่สงบเยือกเย็นของเขาพลันพังทลายลงในทันที

ข่าวนี้เพิ่งมาจากตำหนักกลาง จ้าวเฟิงได้ผ่านการทดสอบยืนยันตนและกลายเป็นศิษย์สายในอย่างเป็นทางการ

ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป!

จ้าวเฟิงรายงานว่าเขานั้นได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณในวันต่อมา และในวันที่สาม เขาก็ได้รับการยอมรับ

เมื่อรู้ถึงข่าวนี้ กวานเฉินก็ไม่มีความรู้สึกอยากฝึกตนอีกต่อไป ทุกคนควรจะรู้ว่าจ้าวเฟิงนั้นเป็นเพียงมดขั้นแปดแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมเมื่อหนึ่งเดือนก่อน

หากเด็กหนุ่มมีพรสวรรค์สูงเช่นเป่ยโม่ย และมีผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ มันอาจเป็นไปได้ แต่ปัญหาเพียงอย่างเดียวนั้นคือพรสวรรค์ของเขาไม่สูงและอายุก็ยังน้อย

กระทั่งกวานเฉินยังอยู่ที่ขั้นสุดยอดของขั้นเก้าแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมยามที่เขาอายุ 14-15 ปี

“ไม่! ข้าต้องบอกเรื่องนี้แก่ท่านอาจารย์”

กวานเฉินไม่อาจนั่งนิ่งได้และพลันมุ่งไปยังตำหนักของไฮ่หยุนในทันที

“ผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บระหว่างการฝึกตน ดังนั้นแล้วตอนนี้จึงกำลังฟื้นตัวอยู่” ผู้คุ้มกันเอ่ย

ได้รับบาดเจ็บ?

กวานเฉินนิ่งอึ้ง จากที่เขาเห็นนั้น เมื่อวานมีผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บมากกว่าหนึ่งในสำนัก

ผู้อาวุโสหลายคนได้รับบาดเจ็บในวันเดียวกันนั้นอาจฟังดูแปลกประหลาด ทว่ามันเป็นความจริง!

สองวันก่อนที่จ้าวเฟิงจะกลายเป็นศิษย์สายใน ผู้อาวุโสหลายคนที่ปิดด่านฝึกตนต่างกระอักเลือด ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นอาจารย์กำลังฟื้นตัว กวานเฉินจึงทำได้เพียงติดต่อศิษย์ผู้อื่น

ไฮ่หยุนนั้นมีศิษย์หลักทั้งหมดสี่คนด้วยกัน และในบรรดาทั้งสี่ เป่ยโม่ยมีพรสวรรค์สูงที่สุด

กวานเฉินนั้นเป็นศิษย์คนที่สาม และอยู่ในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ

มันยังมีศิษย์อีกสองคนก่อนหน้ากวานเฉิน ศิษย์คนแรกนาม ‘อู๋หลี่’ มีอายุมากที่สุดและได้เข้าขั้นสุดยอดของนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เขามีตำแหน่งรองผู้คุมกฎเมื่อเขามีอายุเกิน 30 ปี

ศิษย์คนที่สองนามหยวนจื่อ อายุไม่ถึงยี่สิบปี ทว่าได้เข้าสู่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และเป็นหนึ่งในสิบศิษย์หลักของสำนัก

ในวันเดียวกัน ศิษย์ของไฮ่หยุนก็ได้รวมตัวกัน

ศิษย์คนแรก ‘อู๋หลี่’ ได้ไปทำภารกิจและไม่ได้อยู่ในสำนัก

ศิษย์คนที่สอง หยวนจื่อ

ศิษย์คนที่สาม กวานเฉิน

ศิษย์คนที่สี่ เป่ยโม่ย

“เจ้ากำลังพูดว่า… เขากลายเป็นศิษย์สายในแล้ว?”

เป่ยโม่ยประหลาดใจอย่างมาก เขารู้ว่าพรสวรรค์ของศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเป็นเช่นไร และหากไม่นับเขา หยางชิงชั่นมีพรสวรรค์สูงที่สุด

คราแรกเขาคิดว่าหยางชิงชั่นจะเป็นคนแรกที่กลายเป็นศิษย์สายใน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีคนหนุนหลังหรืออะไรก็ตาม ดังนั้นแล้วเขาจึงคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีหยางชิงชั่นจึงจะกลายเป็นศิษย์สายในได้

“ข้ามั่นใจที่สุด ไอ้เด็กนั่นแปลกเกินไป…”

กวานเฉินนั้นค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อเขาเอ่ยถึงจ้าวเฟิง เขาพยายามที่จะกดขี่อีกฝ่ายมาก่อน ทว่าไม่มีวิธีใดที่ได้ผล

“ศิษย์น้องเป่ย จ้าวเฟิงผู้นี้มีสิ่งใดพิเศษหรือไม่?”

ศิษย์คนที่สอง หยวนจื่อ เอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม

ในฐานะของศิษย์หลักของสำนัก หยวนจื่อไม่ได้นำผู้ที่เพิ่งจะกลายมาเป็นศิษย์สายในเข้ามาอยู่ในสายตา แต่เขาเพียงรู้สึกสนใจเล็กน้อย

“ไอ้หมอนี่…”

เมื่อเอ่ยถึงจ้าวเฟิง คิ้วของเป่ยโม่ยก็มุ่นเข้าหากัน เพราะกระทั่งเขายังพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่ายมาก่อน ตัวอย่างเช่นในด้านของความจำและแต้มต่อสู้จากกองทัพสัตว์อสูร…

แน่นอนว่าคนที่เย่อหยิ่งเช่นเป่ยโม่ยย่อมไม่ยอมเอ่ยถึงพวกมัน

“พรสวรรค์ของเขาธรรมดา แต่มีความทรงจำที่ดีมาก และดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปในการฝึกวิชาเสริมกายา พลังต่อสู้ของเขาเองก็ทรงพลังอย่างมาก…”

เป่ยโม่ยวิจารณ์จ้าวเฟิง

“ฮี่ฮี่”

หยวนจื่อหัวเราะ

“เมื่อไอ้เด็กเหลือขอนั่นเป็นศิษย์สายนอก เราไม่อาจทำอันใด แต่บัดนี้เขาเป็นศิษย์สายใน มันย่อมง่ายกว่าที่จะดูแลเขา”

ถูกแล้ว!

ดวงตาของกวานเฉินส่องประกายวาบ

ศิษย์สายนอกและศิษย์สายในนั้นราวกับวงกลมสองวงที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกัน และบัดนี้จ้าวเฟิงก็ได้เข้ามาในวงกลมของพวกเขาแล้ว

“เหตุใดต้องไปรบกวนอาจารย์ในสิ่งที่เล็กน้อยเช่นนี้ด้วยเล่า? เราสามารถหยอกล้อกับเขาได้เอง”

รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยวนจื่อ

“เจ้ามีแผนแล้วหรือ?”

กวานเฉินรู้สึกยินดีมากอย่างช่วยไม่ได้ หยวนจื่อนั้นเป็นศิษย์หลักของสำนักที่มักจะทำลายผู้ที่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่เขาอยู่เสมอ

ตำหนักกลาง

จ้าวเฟิง เซี่ยวซุน อวิ๋นเมิงเซียง และหลินฟ่านต่างอยู่ในห้องเดียวกัน จนกระทั่งบัดนี้ ทั้งสามก็ยังไม่หายจากอาการตื่นตะลึง

ความสามารถของจ้าวเฟิงได้ทำให้พวกเขานิ่งอึ้ง ด้วยวัยเพียง 14 ขวบปีกลับกลายเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง และกลายเป็นศิษย์สายในในหนึ่งเดือน

กระทั่งหลินฟ่านที่เป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งก่อนหน้าจ้าวเฟิงยังไม่อาจทำใจให้เชื่อได้

คราแรกเขาแย้มยิ้มและเอ่ยว่า

“ข้าเชื่อว่าเราจะพบกันในอีกสองสามปี”

สองสามปี…

ในตอนนั้น หลินฟ่านคิดว่าด้วยกายจิตวิญญาณระดับต่ำของจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี แต่ในตอนนี้…

เซี่ยวซุนและอวิ๋นเมิงเซียงต่างรู้สึกพ่ายแพ้หลังจากที่สามารถยอมรับความจริงได้

“เมื่อทุกคนต่างกลายเป็นศิษย์สายในแล้ว เราก็สามารถดูแลกันได้”

หลินฟ่านหัวเราะพร้อมกับที่บรรยากาศภายในห้องกลับไปสู้ภาวะปกติ

เพราะจ้าวเฟิงได้มาเป็นศิษย์สายในหลังจากพวกเขา เขาจึงมีสิ่งที่ต้องถามทั้งสาม และทั้งสามก็ได้เอ่ยตอบ

“เราเพิ่งจะกลายมาเป็นศิษย์สายในและมีพลังฝึกตนต่ำ ดังนั้นแล้วเราต้องระมัดระวังในทุกสิ่งที่เราทำ รวมทั้งเราไม่สามารถสร้างความขุ่นเคืองแก่ศิษย์สายในผู้อื่นได้ โดยเฉพาะศิษย์หลัก…” หลินฟ่านถอดถอนใจ

เมื่อเขาเอ่ยถึงศิษย์หลัก ทุกคนต่างถอนหายใจ ศิษย์หลักนั้นมีพลังฝึกตนอยู่ที่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณหรือสูงกว่าเป็นอย่างน้อย และล้วนแล้วแต่มีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่ง

“สำนักนั้นค่อนข้างสงบเงียบในช่วงนี้ ศิษย์ส่วนมากต่างเตรียมตัวในการเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาในอีกสามเดือนนับแต่ตอนนี้” อวิ๋นเมิงเซียงถอนหายใจด้วยความเศร้าและไม่ยินยอม

การทดสอบยอดนภานั้นจะมีขึ้นในทุกๆ ห้าปี และศิษย์สายในจำนวนมากได้ต่อสู้กันเพื่อที่จะเข้าร่วม ทว่าทั้งสามนั้นไม่มีความหวังมากนัก

“มันยากเกินไปที่จะเข้าร่วม” เซี่ยวซุนส่ายศีรษะเช่นกัน

ตามอดีตนั้น คนผู้หนึ่งจำต้องมีพลังฝึกตนในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณเป็นอย่างน้อยเพื่อที่จะมีโอกาสเข้าร่วม แต่โชคดีที่ศิษย์ที่เคยเข้าร่วมเมื่อห้าปีก่อนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในคราวนี้ กฎของการทดสอบยอดนภานั้นเขียนไว้ว่าผู้ที่จะเข้าร่วมนั้นต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปีและสามารถเข้าร่วมได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นแล้วศิษย์สายในที่แข็งแกร่งกว่าก็ไม่อาจเข้าร่วมได้ แต่แม้กระนั้นการแข่งขันก็ยังรุนแรง

เซี่ยวซุนและคนอื่นๆ เพิ่งจะกลายเป็นศิษย์สายในและไม่มีความมั่นใจ บางทีอาจมีเพียงอัจฉริยะเช่นเป่ยโม่ยและซุนหยวนเฮาที่มีผู้อาวุโสหนุนหลังที่อาจมีโอกาสในการเข้าร่วม

เมื่อพูดคุยกันจนจบ หลินฟ่านก็ได้เอ่ยเตือนจ้าวเฟิง

“จำไว้ว่าเจ้ายังคงมีโอกาสอีกครั้งในการเข้าไปยังตำหนักกลวงหลังจากที่กลายเป็นศิษย์สายในแล้ว”

ทั้งสองล้วนแล้วแต่เคยเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง และพวกเขารู้ถึงข้อได้เปรียบที่พวกเขาได้รับ

ตำหนักกลวง?

ดวงตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกายระยับเมื่อเขานึกถึงโครงร่างของค่ายกลในตำหนักกลวง

แผ่นหยกที่ต่างล่องลอยอยู่ใจกลางม่านหมอกที่ถูกครอบคลุมด้วยค่ายกล

หากคนผู้หนึ่งสามารถแก้ค่ายกลได้ พวกเขาย่อมสามารถได้รับวิชาเพิ่มขึ้นจากตำหนักกลวง

มันแค่น่าดึงดูดมากเกินไป!

ทุกคนควรรู้ว่าวิชาในตำหนักกลวงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นวิชาชั้นยอดและรวมทั้งวิชามนุษย์ระดับสูงและระดับสุดยอดด้วย

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงไม่มีความมั่นใจในการแก้ค่ายกลเพราะว่ามันซับซ้อนจนเกินไป และแม้เด็กหนุ่มจะสามารถทำได้ ผู้อาวุโสที่คุ้มกันตำหนักนั้นอยู่ก็อาจรับรู้ได้

แต่ยิ่งค่ายกลนั้นซับซ้อนเท่าใดก็ยิ่งปรากฏช่องว่างและจุดอ่อนมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ค่ายกลนั้น แค่เพียงเขาพบช่องว่างในค่ายกลนั้น มันก็ยังมีโอกาสสูง…

คืนนั้น จ้าวเฟิงเริ่มที่จะย่อยโครงร่างของค่ายกลในมิติในดวงตาซ้ายของเขา ค่ายกลนั้นซับซ้อนอย่างมาก และแม้ว่าดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มจะพัฒนาขึ้นแล้ว เขาก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความยากลำบากแม้ว่าจะมีความพัฒนาขึ้นบ้าง

หากผู้เฒ่าจางแห่งตำหนักภารกิจสำนักอยู่ที่นี่ เขาอาจกลายเป็นไร้คำพูดไป ทุกคนควรจะรู้ว่าค่ายกลของตำหนักกลวงนั้นเก่าแก่ และกระทั่งผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่เก่งกาจที่สุดของสำนักก็ยังสามารถทำความเข้าใจได้เพียงสองถึงสามในสิบส่วนของมัน

มือใหม่เช่นจ้าวเฟิงสามารถวิเคราะห์และย่อยค่ายกลได้เพียงแค่การมองเพียงแค่ครั้งเดียวนั้นนับว่าน่าเหลือเชื่อจนเกินไป

“มีปราณแท้สองอย่างในร่างของข้าซึ่งต้องหลอมรวมเข้าด้วยกัน เพียงเมื่อข้าเข้าสู่ขั้นปลายของนภาที่หนึ่งข้าจึงต้องเข้าไปในตำหนักกลวงเพื่อหาเคล็ดวิชาปราณใหม่”

จ้าวเฟิงวางแผน ในเวลาไม่กี่วันต่อมา เขาก็ยังคงหลอมรวมปราณแท้ของเขาและพยายามที่จะทำความเข้าใจค่ายกลของตำหนักกลวง

เมื่อเขาเพิ่งจะกลายเป็นศิษย์สายใน เขาจึงไม่รู้ว่ากวานเฉิน ไฮ่หยุนและพวกของอีกฝ่ายจะคุกคามเขาอย่างไร ดังนั้นแล้วมันเป็นการดีกว่าที่จะทำตัวเงียบๆ ทว่าเขาไม่อาจมุดอยู่ที่นี่ได้ตลอด

วันที่เจ็ด

หง่างงง

เสียงของระฆังดังก้องไปทั่วตำหนักกลาง

“รวมตัวศิษย์สายใน!”

เหล่าศิษย์สายในต่างลุกจากเตียงนอนหรือเปิดดวงตาออกจากการฝึกตน

การรวมตัวศิษย์สายในนั้นจัดโดยจ้าวตำหนักกลางและมีขึ้นเดือนล่ะครั้ง

“นี่คือหนึ่งในการรวมตัวกันที่ใหญ่ที่สุด!”

เซี่ยวซุนตื่นเต้นอย่างมาก

อวิ๋นเมิงเซียงและหลินฟ่านเองก็ได้เดินออกจากสวนของพวกเขาก่อนที่ทั้งสี่จะเดินไปยังตำหนักกลางด้วยกัน

เหล่าศิษย์เริ่มรวมตัวกันรอบตำหนักกลางอย่างช้าๆ พลังฝึกตนของพวกเขาส่วนมากอยู่ในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณหรือสูงกว่า

จ้าวเฟิงและศิษย์สายในหน้าใหม่คนอื่นๆ นั้นเตะตา เหล่าศิษย์สายในเก่าได้มองไปยังพวกเขาด้วยความเหยียดหยาม

หึ!

ชายหนุ่มที่มีจมูกยาวกวาดตาสำรวจจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ

“ดูเหมือนว่าคราวนี้ข้าจะซ่อนไม่ได้แล้ว” หลินฟ่านเอ่ยอย่างจนใจ

จ้าวเฟิงมองไปยังชายหนุ่มจมูกยาวอย่างช่วยไม่ได้ อวิ๋นเมิงเซียงเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่าชายจมูกยาวนั้นนามซู่เหริน มีพลังฝึกตนที่นภาที่สอง เขามีน้องชายที่เป็นศิษย์สายนอก ทว่าถูกเอาชนะโดยหลินฟ่านเพราะได้อวดดีจองหองจนเกินไป

ดังนั้นแล้ว วินาทีที่หลินฟ่านกลายมาเป็นศิษย์สายใน ซู่เหรินก็ได้มายังที่พักของเขาและพยายามเอาคืนให้น้องชาย ทว่าหลินฟ่านใช้สมองของเขาในการหลบซ่อน

ทว่าวันนี้เป็นการรวมตัวศิษย์สายใน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะพยายามซ่อน เขาก็ทำไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!