Skip to content

King of Gods 196

King Of Gods

บทที่ 196 : มรดกอัสนี (2)

วันที่สี่สิบแปด

การทดสอบยอดนภาในรุ่นนี้ก็ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ และนามของจ้าวเฟิงก็ได้สั่นสะท้านทั่วทั้งสำนัก เขาอาจมิใช่ศิษย์หลัก ทว่าเขานั้นเป็นผู้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดอย่างแน่นอน

ในเวลาเดียวกัน ข่าวเกี่ยวกับความ ‘จองหอง’ ‘เจ้าเล่ห์’ และ ‘เห็นแก่ตัว’ ของเขาก็ได้แพร่กระจายออกไป มีข่าวลือว่าศิษย์หลักหลายคนได้ถูกหลอกโดยเด็กหนุ่ม ทว่ามันมิได้จบลงเพียงเท่านั้น

ในวันที่สอง

ผู้อาวุโสหนึ่งประกาศว่าเขาได้รับจ้าวเฟิงเข้าเป็นศิษย์หลักของเขา ข่าวนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้ทั้งสำนักอีกครั้ง โดยเฉพาะกับเหล่าระดับสูง

ผู้อาวุโสหนึ่งนั้นคือผู้อาวุโสที่มีความรู้มากและแข็งแกร่งที่สุดอย่างมิต้องสงสัย การที่เลื่อนให้จ้าวเฟิงกลายเป็นศิษย์หลักของเขานั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเป็นหนึ่งในศิษย์สำนักจันทร์สลายที่ไม่ควรสร้างความขุ่นเคืองให้มากที่สุด ดังนั้นแล้วเหล่าศัตรูของเด็กหนุ่มจึงทั้งหวาดระแวงและหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน

วันที่สองหลังจากการทดสอบสิ้นสุดลง

จ้าวเฟิงไปยังตำหนักภารกิจสำนักและคืนผลึกเริ่มต้นที่เขาได้ติดค้างไว้พร้อมกับซื้อ ‘ศรหลัวโหว’ มาทั้งสามดอก

ยามที่ผู้เฒ่าจางเห็นจ้าวเฟิง ชายชราก็ถอดถอนใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาทั้งสองได้พนันกันไว้ว่าเด็กหนุ่มจะสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้หรือไม่

มิเพียงแค่จ้าวเฟิงได้เข้าร่วมเท่านั้น เขายังครองอันดับหนึ่งและทำลายสถิติหมื่นปี เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้หลังจากที่ซื้อศรหลัวโหว ศรทั้งสามนั้นมีคุณภาพสูงและเทียบเท่าได้กับอาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลาง

มีเพียงการใช้มันกับคันศรหลัวโหวจึงจะเป็นการปลดปล่อยพลังทั้งหมดของมันออกมา

ผึง ฟุ่บ

จ้าวเฟิงรั้งสายคันศรเบาๆ ศรสีเขียวดำพุ่งแหวกฝ่าอากาศอย่างรวดเร็วจนกระทั่งตาเปล่ามิอาจมองเห็นได้

“หืมม? เมื่อใดกันที่คันศรหลัวโหวมีธาตุน้ำแข็งแข็งแกร่งเพียงนี้?” ผู้เฒ่าจางรู้สึกมึนงงเล็กๆ

ศรที่เพิ่งยิงออกไป มีความเย็นมหาศาลอย่างเห็นได้ชัด

ฟุ่บ!

ศรหลัวโหวย้อนกลับมาโดยอัตโนมัติ

จ้าวเฟิงผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ นำเสนอความแปรผันของคันศรหลัวโหวแก่รองหัวหน้าตำหนักจาง

บนคันศรนั้นปรากฏดอกบัวสีน้ำเงิน ผู้เฒ่าจางพุ่งออกไปและคว้าคันศรนั้นไว้ มันเย็นเยียบและวัสดุที่ใช้สร้างคันศรก็กระทั่งเปลี่ยนแปลงไป

“มิแปลกใจที่เจ้าได้ครองอันดับหนึ่งในการทดสอบยอดนภา พลังของคันศรหลัวโหวบัดนี้มิด้อยกว่าอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสูงนัก ธาตุน้ำแข็งนี้กระทั่งล้ำค่ากว่าอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสูงบางชิ้น” รองหัวหน้าตำหนักจางเอ่ย

จ้าวเฟิงรู้สึกเสียใจเล็กๆ ศรน้ำแข็งที่ได้ในการทดสอบนั้นได้ถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกมันมีความสามารถในการผนึกเป้าหมายไว้ในน้ำแข็งยามที่ใช้ร่วมกับคันศรหลัวโหว

แน่นอนว่าในด้านของพลังเพียงอย่างเดียว คันศรหลัวโหวย่อมดีกว่ายามใช้ร่วมกับศรหลัวโหว เด็กหนุ่มประมาณว่าหากเขาพยายามใช้คันศรหลัวโหวด้วยพลังทั้งหมดของเขา มันจะสามารถคุกคามผู้ที่อยู่ในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้อย่างรุนแรง

“มันใช้ปราณแท้มากกว่าเดิมสองเท่ายามที่ใช้คันศรหลัวโหวร่วมกับศรหลัวโหว”

คิ้วของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวมุ่นเข้าหากัน ทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อนและจุดแข็งในตัวเอง

จากนั้น

จ้าวเฟิงได้เอ่ยถามผู้เฒ่าจางเกี่ยวกับวิธีการซ่อมผ้าคลุมเงาหยิน ผ้าคลุมเงาหยินนั้นคือของที่ล้ำค่าที่สุดของเด็กหนุ่ม มูลค่าของมันนั้นกระทั่งมากกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณนับสิบเท่า

อาวุธชั้นจิตวิญญาณนั้นมีข้อกำหนดในด้านของระดับพลังฝึกตน และผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นไม่อาจแม้แต่จะควบคุมมันได้ ทว่าสมบัติชั้นมรดกนั้นสามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้ครอบครองได้ มันล่ำคุณค่าเพียงใดกัน?

ในตำหนักยอดนภา จ้าวเฟิงได้รวบรวมวัสดุส่วนมากที่เขาต้องการในการซ่อมแซมผ้าคลุมเงาหยินแล้ว ทว่ามันยังคงมีบางอย่างที่ขาดแคลน

นอกจากนั้น มันยังมีข้อกำหนดที่สำคัญอีกอย่าง

“เจ้าหมายถึงช่างเหล็กที่เป็นนายช่างใหญ่และอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง?” ผู้เฒ่าจางเอ่ยถาม

“ถูกแล้ว!” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ

“นั่นนับว่าลำบากแล้ว ในทั้งสิบสามสำนักไม่มีแม้กระทั่งนายช่างใหญ่สักคน” ชายชรายิ้มอย่างขมขื่น

ไม่มีเลย?

จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก สิบสามแคว้นไม่แม้กระทั่งมีนายช่างใหญ่สักคนหรือ?

“หากเจ้าต้องการจริงๆ มีนายช่างใหญ่นาม ‘เหยียนเย่’ ที่แคว้นมังกรโลหะ ทว่าในแดนเหนือนั้น นายช่างใหญ่มีตำแหน่งที่สูงส่ง กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังมิอาจที่จะจ้างเขาได้ ดังนั้นแล้วสำนักเล็กๆ อย่างจันทร์สลายจะทำได้เยี่ยงไรกัน?” ผู้เฒ่าจางส่ายหน้า

ดูเหมือนว่านี่จะมิใช้ปัญหาธรรมดา จ้าวเฟิงเดาะลิ้น เขามิคิดว่านายช่างใหญ่นั้นจะหายากยิ่งและมีตำแหน่งสูงส่งเพียงนั้น

รองหัวหน้าตำหนักจางต้องการสื่อว่าแม้กระทั่งคนผู้หนึ่งจะใช้ชื่อของ ‘สำนักจันทร์สลาย’ ในการพยายามจ้างเขา อีกฝ่ายก็อาจไม่แม้แต่จะนำมาใส่ใจ

สิบสามแคว้นเมฆานั้นอยู่ระหว่างแคว้นสมบัตินภาและแคว้นมังกรโลหะ สองแคว้นนี้คือแคว้นที่ทรงพลัง ทั้งกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังก็มีพลังมหาศาล

ทั้งสองได้ทำสงครามกันมาอย่างต่อเนื่อง และการต่อสู้จะสิ้นสุดลงด้วยพลังของผู้หนุนหลังของทั้งสองแคว้น

ยามที่หนึ่งในนั้นได้ชัยชนะ พวกเขาย่อมสามารถกวาดล้างสิบสามแคว้นได้อย่างง่ายดาย

“นายช่างใหญ่เหยียนเย่ได้มาจากผู้ที่หนุนหลังแคว้น ทั้งเขายังมีความสัมพันธ์กับพรรคเอกะสวรรค์ หนึ่งในสิบขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ อีกฝ่ายนั้นคือหนึ่งในกองกำลังทรงอำนาจที่สามารถตัดสินความเป็นตายของสำนักเล็กๆ จำนวนมากได้ด้วยหนึ่งความคิด”

สีหน้าของผู้เฒ่าจางเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามที่จะเอ่ยเตือนจ้าวเฟิง

แคว้นใหญ่ กองกำลัง สิบขั้วอำนาจ…

จ้าวเฟิงกดความตื่นเต้นไว้ภายในใจ ดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้นัก ในทวีปบุปผาคราม ขั้วอำนาจทั้งสิบนี้มีความสามารถในการตัดสินเป็นตายผู้อื่นได้ กระทั่งลัทธิมารจันทราชาดก็ยังพ่ายให้แก่สิบขั้วอำนาจนี้

“วางใจเถิดท่านผู้สั่งสอน เรายังมิถึงจุดนั้น ศิษย์เชื่อว่าตราบเท่าที่มีผลประโยชน์เพียงพอ กระทั่งนายช่างใหญ่ก็จะยินยอมลดความทนงตน” จ้าวเฟิงมั่นใจอย่างมาก

หลังจากเอ่ยล่าต่อผู้เฒ่าจาง จ้าวเฟิงจึงไปพบผู้เฒ่ากวน ทั้งสองให้ความใส่ใจเขา และมันคือสิ่งที่จ้าวเฟิงจะไม่มีวันลืม หลังออกจากการทดสอบ เด็กหนุ่มก็มีสมุนไพรและสมบัติจำนวนมากให้แก่ผู้สั่งสอนเขาทั้งสองท่าน

ในที่สุด

จ้าวเฟิงก็ได้ไปยังที่พักของศิษย์สายนอก ทุกคนนอบน้อม มิมีผู้ใดที่กล้าหายใจแรงยามที่พวกเขาเห็นเด็กหนุ่ม

มันเพียงเพราะแค่นามของจ้าวเฟิงนั้นโด่งดังเสียจนเกินไปในตอนนี้ บัดนี้ กระทั่งศิษย์หลักก็ยังได้ถูกบดขยี้ลงใต้ฝ่าเท้าของเขา

จ้าวเฟิงได้มาที่นี่เพื่อพบหยางชิงซานและหนานกงฟั่น

“ศิษย์น้องจ้าว ข้ามิอยากเชื่อว่าเจ้าจะขึ้นไปได้สูงเพียงนั้น อันดับหนึ่งในการทดสอบ และศิษย์แห่งผู้อาวุโสหนึ่ง”

เมื่อเห็นจ้าวเฟิง หยางชิงซานและหนานกงฟั่นต่างก็ตื่นเต้น มันชัดเจนว่าพวกเขาได้ยินถึงการกระทำของอีกฝ่ายแล้ว

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวแย้มยิ้มก่อนเอ่ยถาม

“ศิษย์พี่ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง? มีผู้ใดกลั่นแกล้งพวกท่านหรือไม่?”

“ไม่มี! พวกเขาจะกล้าได้เช่นไร?”

“กระทั่งศิษย์สายในยังหวาดกลัวนามของเจ้า ผู้ใดเล่าจะกล้าสร้างความวุ่นวายต่อพวกข้า?”

จ้าวเฟิงเข้าใจว่าทั้งสองนั้นมีชีวิตที่เรียกได้ว่าดีในฐานะของศิษย์สายนอก และได้เข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกของศิษย์สายนอก โดยที่หยางชิงซานนั้นใกล้ที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะจากไป

จ้าวเฟิงได้ให้ยาจิตวิญญาณแก่ทั้งสองจำนวนมากซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้อย่างง่ายดาย

ราวๆ หนึ่งถึงสองวันต่อมา

จ้าวเฟิงจัดการปัญหาจุกจิกจนหมดสิ้น

“ค่าตอบแทน” ที่สำนักมอบให้กับเขา ส่วนมากได้ถูกนำไปแลกเปลี่ยนแล้ว

หนึ่ง ตอบแทนด้วยผลึกเริ่มต้น สิ่งนี้ส่งผลตรงไปตรงมาที่สุด

จ้าวเฟิงมีผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ 8,000 ผลึก ซึ่งเทียบเท่าได้กับผลึกเริ่มต้นจำลอง 8 แสนผลึก

แม้ว่ามันจะเป็นจำนวนที่มาก มันก็ไม่แม้แต่จะใกล้เคียงคำว่าพอ ยามเทียบกับอาวุธชั้นจิตวิญญาณและวิชาชั้นจิตวิญญาณ

สอง ตอบแทนด้วยทรัพยากร

จ้าวเฟิงได้รับสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรได้เทียบเท่ากับรองหัวหน้าตำหนัก เบี้ยเลี้ยงประจำเดือนของนั้นมากกว่าเงินเก็บสองสามปีของศิษย์ทั่วไป

สาม สิทธิที่จะเข้าไปยังตำหนักกลวงทุกเมื่อที่ต้องการ และสามารถเรียกดูวิชาชั้นมนุษย์ระดับสุดยอดวิชาใดก็ได้

สี่…

มันมีค่าตอบแทนทั้งหมดสิบอย่าง หนึ่งในนั้นกระทั่งมอบตำหนักส่วนตัวให้แก่จ้าวเฟิง

เด็กหนุ่มกลายเป็นไร้คำพูดไป บัดนี้มิใช่เวลาที่จะดื่มด่ำกับความสูงส่ง

เขายังคงพักอยู่ในห้องเดิมในช่วงเวลาถัดมา จ้าวเฟิงทำตัวจืดจางอย่างมากและไม่ออกไปพบผู้ใด

ในส่วนลึกแห่งห้วงความคิด ตำหนักสามชั้นที่เป็นตัวแทนของมรดกอัสนีได้ปรากฏขึ้น จ้าวเฟิงเริ่มพยายามทำความเข้าใจชั้นหนึ่งของมรดกอัสนีอย่างเต็มที่ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยว ด้วยมรดกที่ทรงพลังเยี่ยงนี้ เขามิต้องการสิ่งใดอีก

อย่างแรก เขาต้องทำให้ฝ่ามือวายุอัสนีสมบูรณ์ เป็นการประกบคู่กับมรดกอัสนี

ฝ่ามือวายุอัสนีสมบูรณ์ เท่ากับเป็นขั้นเริ่มต้นของมรดกอัสนี

เป็นเวลาหลายวันติดกัน ภาพของสายฟ้าได้ปรากฏขึ้นในความคิดของจ้าวเฟิง จากประกายสายฟ้าเล็กๆ สู่พายุสายฟ้า

มรดกอัสนีได้มี ‘สายฟ้า’ อยู่บนมัน และด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจของจ้าวเฟิง ในระยะนี้เขากลับสามารถเรียนรู้ได้เพียงชายขอบของมัน

โชคดีที่เป้าหมายในปัจจุบันของเขาคือการทำให้ฝ่ามือวายุอัสนีสมบูรณ์แบบ และทำให้มันเป็นหนทางในการทำความเข้าใจ ‘มรดกอัสนี’

หลายวันต่อมา

ฝ่ามือวายุอัสนีของเด็กหนุ่มได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสี่ มันยังอยู่ในระดับสี่ ทว่าพลังของมันนั้นมากขึ้นกว่าก่อนหน้าเป็นเท่าตัว!

“มรดกอัสนีนับว่าเป็นมรดกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตำหนักยอดนภาโดยแท้ หลังจากฝ่ามือวายุอัสนีถูกเปลี่ยนแปลงโดยข้า ความเสี่ยงของมันได้ลดลง ขณะที่พลังของมันได้เพิ่มขึ้น มันกระทั่งดีกว่าวิชาชั้นมนุษย์ระดับสูงหลายวิชา”

จ้าวเฟิงยินดีอย่างมาก ด้วย ‘มรดกอัสนี’ ของเขา วิชาใดที่ด้อยกว่าชั้นจิตวิญญาณล้วนไร้ประโยชน์ อย่างมากพวกมันก็ทำได้เพียงสนับสนุนและใช้ศึกษา

รวมระยะเวลาสิบวัน

เด็กหนุ่มสามารถทำความเข้าใจความมหัศจรรย์แห่งสายฟ้าได้เล็กน้อย และสามารถหลอมรวมมันเข้ากับวิชาเคลื่อนไหวของเขาได้

หลังจากหลอมรวมมันเข้าไป ความเร็วของจ้าวเฟิงก็กลายเป็นราวกับสายฟ้า ทั้งยังเต็มไปด้วยความคล่องแคล่วยามใช้รวมกับภาพมัจฉามายา

“ความเร็วเคลื่อนไหวของข้าสามารถเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ” เด็กหนุ่มรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก

จากนั้นจ้าวเฟิงก็กระทั่งหลอมรวมสายฟ้าเข้าไปในปราณแท้วายุสวรรค์ของเขา ซึ่งทำให้ปราณแท้นั้นมีประกายกระแสไฟฟ้าอยู่ เพิ่มความเร็วและพลังโจมตีของมันขึ้น

โดยมีสายฟ้าเป็นพื้นฐาน วิชาของเด็กหนุ่มล้วนถูกพัฒนาขึ้น สำเร็จลุล่วงก้าวที่หนึ่ง

ต่อจากนั้น

จ้าวเฟิงเริ่มปิดด่านฝึกตน เขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สามแล้วในการทดสอบ และเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นศิษย์สายในระดับกลางค่อนไปทางสูง ทว่าเด็กหนุ่มรู้ว่ามันไม่อาจนับเป็นอันใดได้ ในงานสามสำนัก

บัดนี้จ้าวเฟิงมีสิทธิในสมุนไพร ยา และผลึกเริ่มต้นจำนวนมาก… มันมิมีสิ่งใดที่เขาไม่มี!

ห้าวันต่อมา

จ้าวเฟิงได้ทะลวงเข้าสู่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ กลิ่นอายของเขาได้ทำให้พลังงานรอบข้างปั่นป่วน

หลินฝาน อวิ๋นเมิ่งเซียง และคนอื่นๆ สัมผัสได้ถึงพลัง ต่างล้วนอึ้งงัน

“สมกับเป็นศิษย์น้องจ้าว เร็วกว่าข้าก้าวหนึ่งเสมอ”

หลินฝานที่กำลังพยายามเข้าสู่นภาที่สี่เช่นกันแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ขณะสั่นศีรษะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!