บทที่ 195 : มรดกอัสนี (1)
“คนเหล่านี้หากมิใช่ไร้ประโยชน์ก็เบาปัญญา เมื่อคิดถึงภาพรวมของการทดสอบแล้ว ข้าจึงตัดสินใจที่จะเตะพวกเขาออก ศิษย์ยินยอมที่จะรับโทษฐานที่ ‘จองหอง’!”
ข้ายอมรับ… ความผิดบาปนี้!
ทั้วทั่งโถงกลายเป็นเงียบงันเสียจนกระทั่งเสียงเข็มหล่นลงบนพื้นยังสามารถได้ยิน
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสหลากหลายนัก แต่ละคนปากอ้าตาค้าง คณะที่มีผู้อาวุโสคุมกฎเป็นแกนนำ รวมทั้งผู้ที่เป็น ‘เหยื่อ’ ฉวนเฉิน ข่งหยวนอู๋ เป่ยม่อ และลู่หู่ล้วนมีใบหน้าเขียวคล้ำ สั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว
นี่จะนับเป็นการ ‘สารภาพ’ บาปได้เยี่ยงไร? อีกฝ่ายกำลังเหยียดหยามพวกเขาต่างหาก!
คำของจ้าวเฟิงได้ทิ่มแทงเข้าไปที่จุดที่อ่อนแอที่สุดในหัวใจของพวกเขา
หากพวกเขามิไร้ประโยชน์ พวกเขาจะถูกควบคุมโดยจิ้งจอกมายาได้อย่างไร?
หากพวกเขามิเบาปัญญา แล้วพวกเขาจะเชื่อถือแมวตัวหนึ่งได้อย่างไร?
นี่คือความอัปยศในใจของพวกเขา จ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะลำบากอธิบายสิ่งใดและทำเพียงตบหน้าของพวกเขาดังๆ แทน แม้ว่าฉวนเฉินและคนอื่นๆ จะชนะการโต้เถียงนี้ คำที่ว่า ‘ไร้ประโยชน์’ ‘เบาปัญญา’ และ ‘ถ่วงรั้งผู้อื่น’ จะติดตัวพวกเขาไป
คนแรกที่มีปฏิกิริยาคือผู้อาวุโสคุมกฎ
“เจ้าเด็กเหลือขอจองหอง! รู้ผิดแต่ไม่แก้ไข ดื้อรั้นไร้จิตสำนึก ไร้กฎวินัยในสายตา เจ้ามิได้เห็นกฎอยู่ในสายตา… เจ้าทำร้ายผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง! เจ้า…” ผู้อาวุโสคุมกฎพลันหยุดพูดลง
เขาพลันตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดพลาด
“ศิษย์ผู้นี้ยินยอมที่จะรับโทษในฐานะที่จองหอง เห็นแก่ตัว มิเห็นกฎอยู่ในสายตา และทำร้ายผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวข้า”
เรือนผมสีครามของจ้าวเฟิงพลิ้วไหวหยอกล้อกับสายลม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเยาะหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เพียงแค่ยามที่ผู้อาวุโสคุมกฎจะเอ่ยสิ่งอื่นใด ผู้อาวุโสหนึ่งก็ได้เอ่ยแทรกขึ้น
“เอาล่ะ ความจริงได้ปรากฏออกมา และจ้าวเฟิงได้ยอมรับการกระทำผิดของเขาแล้ว”
“แต่…”
ใบหน้าของผู้อาวุโสคุมกฎเขียวคล้ำ
“ท่านผู้อาวุโสคุมกฎ ท่านได้เอ่ยมันด้วยตัวของท่านเองแล้ว จ้าวเฟิงนั้นจองหองและเห็นแก่ตัว ทว่าเขามิได้มีความตั้งใจในการทำร้ายศิษย์ผู้อื่น นอกจากนั้นคำของเขาก็มิใช่ว่าไร้ซึ่งเหตุผล” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย
ผู้อาวุโสเสวี่ยและผู้อาวุโสหยุนไห่ต่างมึนงงและไร้ซึ่งคำพูดใด ตัวจ้าวเฟิงได้เอ่ยยอมรับด้วยตนเองแล้ว มีสิ่งอื่นใดที่พวกเขาจะทำได้อีก?
จนท้ายที่สุด อีกฝ่ายมีความผิดโทษฐาน ‘เห็นแก่ตัว’ และ ‘จองหอง’ เท่านั้น ซึ่งข้อหานี้ ไม้แม้แต่จะเป็นความผิดบาป พวกมันคือลักษณะนิสัยของคนผู้หนึ่ง คนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้ มีอยู่มากมาย
สิ่งเดียวที่เอาผิดได้ มีเพียงการทำให้ผู้อื่นต้องเสียผลประโยชน์ จากความเห็นแก่ตัวของตนเองเท่านั้น
“เอาอย่างนี้ไหม จ้าวเฟิงได้สร้างความสูญเสียแก่ศิษย์คนอื่นจริงๆ เราจะยึดแต้มสนับสนุนคืนจากจ้าวเฟิงสี่แสนแต้มและมอบพวกมันให้กับศิษย์สี่คนสำหรับสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปดีหรือไม่?” ผู้อาวุโสหนึ่งแนะนำ
“นั่นนับว่าเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม สี่แสนแต้มนั้นคือเงินเดือนของรองหัวหน้าตำหนักที่ทำงานให้กับสำนักหนึ่งร้อยปี มันพอเสียยิ่งกว่าพอสำหรับไถ่โทษ และยังเป็นการชดเชยให้กับเหล่าศิษย์ผู้เสียหายได้อีกด้วย” เจ้าสำนักผงกศีรษะของนางอย่างเห็นด้วย
“สี่แสนแต้มนับว่ามากมายโดยแท้ ในอดีตก็เคยมีตัวอย่างเรื่องใช้แต้มสนับสนุนเพื่อลดโทษมาก่อนเช่นกัน” แม่เฒ่าหลิวเยว่ที่เคยเป็นกลางเอ่ยขึ้น
“นี่…” ผู้อาวุโสคุมกฎมองไปยังผู้อาวุโสเสวี่ยและผู้อาวุโสหยุนไห่อย่างไร้ซึ่งหนทาง
พวกเขาทั้งสามมิอาจทำสิ่งใดได้
จากฉากหน้า มันดูเหมือนว่าสำนักได้พยายามลงโทษจ้าวเฟิงจนถึงที่สุดแล้ว แต้มสี่แสนแต้มนั้นเป็นแต้มจำนวนมาก หากคนผู้หนึ่งสงสัยในการลงโทษนี้ มันก็คือการสงสัยในสำนักเอง
ทว่าสำหรับจ้าวเฟิงนั้น เขายังคงมีแต้มสนับสนุนเหลือหนึ่งแสนแต้ม เมื่อแต้มสนับสนุนมากถึงจุดหนึ่ง มันก็มิได้มีความหมายอันใดมากมายอีกต่อไป
ทั้งเด็กหนุ่มยังได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังตำหนักกลวงได้ทุกเวลาที่ต้องการ เขาได้มีมรดกที่ดีที่สุดของตำหนักยอดนภา ‘มรดกอัสนี’ ที่มีสำนึกรู้มหาศาลอยู่ภายใน
เขาไม่ได้ต้องการเงินตรา วิชา หรือสมบัติใด
แต้มสี่แสนแต้มไม่เจ็บไม่คันสำหรับจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่?” เจ้าสำนักเอ่ยถาม
“ศิษย์ผู้นี้ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ทว่าข้าคิดว่ามันคงดีกว่าในการคืนแต้มให้แก่สำนักแทนที่จะให้พวกมันกับศิษย์ที่เบาปัญญาและไร้ประโยชน์” จ้าวเฟิงเสนอแนะ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉวนเฉินและคนอื่นๆ ก็เริ่มสบถสาปแช่ง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับแต้มสนับสนุนในวันนี้ พวกเขาก็จะไม่มีวันลืมความอัปยศและกระทั่งยังเกิดเป็นปม เว้นเสียแต่จะได้เอาคืน จึงจะสร่างซา
โดยเฉพาะสำหรับเป่ยม่อ เขาคืออัจฉริยะที่มาพร้อมกับพรสวรรค์และโชคที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังครองอันดับสองในการทดสอบ ซึ่งได้สร้างแต้มให้กับเขาสองแสนแต้มแล้ว
การบดขยี้ศักดิ์ศรีคือจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของเขา
“พอแล้ว หยุดเพียงเท่านี้” ผู้อาวุโสหนึ่งมองไปยังจ้าวเฟิงและส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มจงอย่าได้คืบเอาศอก
อีกฝ่ายนั้นได้กลายเป็นผู้ชนะแล้ว ไม่เพียงแค่ไม่ถูกลงโทษ ยังได้สร้างความอัปยศให้กับเป่ยม่อและคนอื่นๆ
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มและกลับไปยังข้างกายของผู้เป็นอาจารย์ จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสจึงเอ่ยเตือนเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยประกาศบทลงโทษและคำตักเตือน
ในที่สุด การคาดโทษที่วางแผนมานาน… มันก็จบลง
ความขัดแย้งในการทดสอบยังคงอยู่ เป่ยม่อ ฉวนเฉินและคนอื่นๆ มีสีหน้าเคืองแค้นและอับอายยามที่เดินออกจากโถง
หลังจากที่ฝูงชนสลายตัวหายไป
“มากับข้า” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยกับจ้าวเฟิง
ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็ได้มาถึงที่พักของผู้อาวุโสหนึ่ง มันเป็นห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่งโดยไร้ซึ่งผู้ใดรอบๆ เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ นี่คือสถานที่ส่วนตัวของอาจารย์ของเขา มีคนเพียงไม่มากที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา
“พูด เจ้าได้รับมรดกอันใดจากตำหนักยอดนภา?” ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มรอยยิ้ม
จ้าวเฟิงชะงักไป ผู้อาวุโสหนึ่งรู้ได้เยี่ยงไร?
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเข้าใจตำหนักยอดนภายิ่งกว่าผู้ใด มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่ได้รับมรดกใด ส่วนที่สำคัญที่สุดคือเจ้าเองก็มีพรสวรรค์ในมุมอื่นนอกจากพลังจิตเช่นกัน มันมิยากเลย ที่จะได้รับมรดกทั่วไป” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ดวงตาของท่านอาจารย์เฉียบแหลมโดยแท้ ใช่ ข้าได้รับมรดก”
จ้าวเฟิงเปิดมือของเขาออกอย่างเชื่องช้า กระแสไฟฟ้าเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา และมันแนบสนิทไปกับมือของเขาอย่างสมบูรณ์
“นี่… คือมรดกแห่งอัสนี!” ผู้อาวุโสหนึ่งสูดลมหายใจเย็นเยียบพร้อมกับที่ความตื่นตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาคือผู้อาวุโสที่มีความรู้และแข็งแกร่งที่สุดในสำนัก เพียงแค่มอง ชายชราก็สามารถเอ่ยบอกถึงความเป็นมาของมรดกของจ้าวเฟิงได้
“ด้วยมรดกนี่ ฝ่ามือวายุอัสนีของข้าก็จะสมบูรณ์แบบ ท่านอาจารย์ ท่านยังคงต่อต้านมิให้ข้าฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีอยู่อีกหรือไม่?” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบางเบา
ผู้เป็นอาจารย์ชะงักไปก่อนที่จะมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกซับซ้อน
จ้าวเฟิง ผู้ที่ได้รับ ‘มรดกอัสนี’ ย่อมมีสิทธิที่จะฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี
“หากมันมิเป็นเพราะข้าได้เรียนรู้ฝ่ามือวายุอัสนีไปแล้ว ศิษย์อาจมิได้รับมรดกนี้ นี่นับว่าเป็น ‘วาสนา’ นอกจากนั้น มรดกของเป่ยม่อยังอาจเป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับวิชาธาราเหนือสวรรค์ทมิฬของเขา” จ้าวเฟิงเอ่ยต่อ
“วาสนา กฎแห่งกรรม คือสิ่งที่ยากจะเข้าใจที่สุดในโลกใบนี้โดยแท้” ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มยิ้มขมขื่นก่อนส่ายศีรษะ
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าฝ่ามือวายุอัสนีที่จ้าวเฟิงฝึกฝนคือกุญแจที่ทำให้เขาได้รับ ‘มรดกอัสนี’ ที่ยอดเยี่ยมที่สุด?
จ้าวเฟิงได้บอกให้หลินฝานไปยังหุบเขาเช่นกัน ทว่าอีกฝ่ายนั้นได้รับเพียงผนึกยอดนภาธรรมดา ไม่ใช่ผนึกสายฟ้ายอดนภา
นี่ก็คือวาสนา
“เฟิงเอ๋อร์ มันมิมีสิ่งใดที่ข้าสามารถสั่งสอนเจ้าได้อีกเมื่อเจ้าได้รับมรดกอัสนีไปแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าเข้าร่วม ‘งานสามสำนัก’ ในอีกหนึ่งเดือน ทว่าก่อนหน้านั้น เจ้าต้องได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของศิษย์หลักเสียก่อน”
สีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เขาแม้จะมีความรู้มาก ทว่ามันไม่อาจนับเป็นอันใดได้เมื่ออยู่ต่อหน้ามรดกอัสนี
สิ่งที่ทำให้เขาวางใจมากขึ้นนั่นคือ การที่ศิษย์ของเขาผู้นี้อาจดูจองหอง ทว่าในความเป็นจริงนั้นเด็กหนุ่มทั้งเยือกเย็นและรอบคอบ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เขาไม่มีความสงสารใดๆ และตัดสินใจได้โดยไร้ซึ่งความลังเล
ท่าทีของเขานั้นเหมาะสมต่อโลกใบนี้ จากมุมมองของผู้อาวุโสหนึ่ง ศิษย์ผู้อื่นเช่นหยางก่าน เป่ยม่อ ข่งหยวนอู๋และคนอื่นๆ นั้นยังไม่เติบโต และไม่มากเล่ห์เช่นจ้าวเฟิง
“อันใดคือ ‘งานสามสำนัก’ หรือขอรับ?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
ผู้อาวุโสหนึ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะนำ ‘ได้เป็นศิษย์หลักหนึ่งในห้าอันดับแรก’ มาใส่ใจ จากสิ่งนี้ ความมั่นใจของอีกฝ่ายนั้นสามารถเห็นได้ชัด
“งานสามสำนักนั้นคือการรวมตัวกันของสำนักวิญญาณจันทร์ สำนักจันทร์เงิน และสำนักจันทร์สลาย มันจะจัดขึ้นทุกๆ ห้าปี และสำนักจันทร์สลายมักจะมาเป็นอันดับสุดท้ายเพราะสำนักวิญญาณจันทร์และสำนักจันทร์เงินครองอันดับที่สูงกว่าในสิบสามสำนัก”
หลังจากที่จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็ถอดถอนใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ข้ามิอยากเชื่อว่าสำนักจันทร์สลายจะอ่อนแอยิ่งในบรรดาสิบสามสำนัก”
“ไร้สาระ! สิบสามสำนักล้วนเป็นเพียงสำนักเล็กๆ พวกเราทั้งหมดล้วนมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกัน หากต้องสู้กันจริงๆ สำนักจันทร์สลายก็มิเคยต้องหวาดกลัวผู้ใด” ผู้อาวุโสหนึ่งสบถ
“นี่… สำนักเหล่านี้ จัดแบ่งลำดับความแข็งแกร่งกันเยี่ยงไร?”
จ้าวเฟิงพลันสนใจในวิธีการวัดความแข็งแกร่งของสำนัก เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า สำนักจันทร์สลายที่เขาอยู่ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง
“จากบันทึกโบราณ สำนักได้ถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับ จากหนึ่งดาราสู่ห้าดารา หนึ่งดาราคืออ่อนแอที่สุด และห้าดาราคือแข็งแกร่งที่สุด ความต่างกันระหว่างดาราอาจหมายถึงความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันนับสิบนับร้อยเท่า”
“สำนึกจันทร์สลายมีกี่ดารากันหรือ?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
กี่ดารา?
ใบหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งแดงก่ำก่อนที่ชายชราจะหัวเราะออกมา
“เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นเถอะ”
จ้าวเฟิงมีสีหน้าแปลกประหลาด ทว่าไม่ได้เอ่ยถามต่อ งานสามสำนักนั้นคือโอกาสอันดี ให้ก้าวออกจากสำนักจันทร์สลาย ได้เห็นผู้แข็งแกร่งและอัจฉริยะในสำนักอื่น
“แม้ว่างานสามสำนักจะเป็นเพียงการแข่งขันระหว่างสามสำนัก จำนวนของอัจฉริยะก็ยังคงสูงมาก ตัวอย่างเช่นสำนักวิญญาณจันทร์ ข้าได้ยินมาว่าพวกเขามีคนผู้หนึ่งที่มีกายผันแปรที่พรสวรรค์เทียบเท่าได้กับกายจิตวิญญาณดิน นั่นหมายความว่าพรสวรรค์ของเขาหรือนางนั้นกระทั่งเหนือกว่าของเป่ยม่อ” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย
กายจิตวิญญาณดิน!
จ้าวเฟิงตื่นเต้น นี่คือพรสวรรค์ในตำนาน กระทั่งเป่ยม่อผู้มีพรสวรรค์สูงสุดในสำนักนี้ ก็เพียงใกล้เคียงกับกายจิตวิญญาณดินเท่านั้น แต่อัจฉริยะแห่งสำนักวิญญาณจันทร์ผู้นี้ ยังมีกายผันแปร แต่เทียบกับข่งหยวนอู๋ ยังแข็งแกร่งกว่าอีกหนึ่งชั้น เทียบได้กับกายจิตวิญญาณดินในตำนาน
“โอ้ ใช่ ในการทดสอบครั้งนี้ เจ้าทำคุณประโยชน์แก่สำนักใหญ่หลวง หากเจ้าความต้องการใด เจ้าสามารถเอ่ยขอจากสำนักได้” ชายชราแย้มยิ้ม
จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“หลังจากที่ข้าจัดการเรื่องราวต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว ศิษย์ต้องการที่จะกลับบ้านก่อนที่จะเข้าร่วมงานสามสำนัก”
เพียงชั่วพริบตา เขาก็ได้จากตระกูลจ้าวมาเป็นเวลาค่อนข้างนานแล้ว