บทที่ 209 : โอวเยว่เทียน
จากเหนือพื้นดินหลายร้อยหลา แดนดินแห่งธรรมชาติพร้อมด้วยหญ้าสีเขียวสดและเสียงบรรเลงจากปักษาได้ปรากฏขึ้นเบื้องล่าง
สำนักวิญญาณจันทร์นั้นไม่ได้อยู่ลึกในเทือกเขา มันอยู่เคียงข้างแม่น้ำ จากด้านบน แม่น้ำนั้นมีลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยว พลังแห่งสวรรค์เหนือกว่าสำนักจันทร์สลาย น้ำตกจำนวนมากได้สร้างสรรค์ให้พื้นที่แห่งนั้นดูมหัศจรรย์มากยิ่งขึ้น
สายตาของจ้าวเฟิงนั้นกว้างไกลและชัดเจนกว่า มันทำให้ข้าต้องถอดถอนใจ อาณาเขตของสำนักวิญญาณจันทร์นั้นงดงามยิ่งกว่าของสำนักจันทร์สลายมากนัก
นี่เป็นเพียงความแตกต่างที่ฉากหน้า ความแตกต่างที่แท้จริงคือพลังแห่งสวรรค์ที่นี่
สำนักทั้งหมดจะถูกตั้งขึ้นในสถานที่ที่มีพลังแห่งสวรรค์อยู่หนาแน่น มันคือสิ่งที่ช่วยเกื้อกูลในพลังฝึกตนและเพิ่มโอกาสในการทะลวงขั้นของคนของสำนัก
หากเป่ยม่อได้อยู่ที่ตระกูลจ้าว แม้ว่าจะมีพรสวรรค์เพียงนั้น เขาก็ไม่อาจที่จะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ก่อนอายุยี่สิบขวบปี
ในบรรดาสิบสามสำนัก สำนักวิญญาณจันทร์นับเป็นอันดับสี่ ในขณะที่สำนักจันทร์สลายครองอันดับสองจากท้าย หากมิใช่ที่สุดท้าย
หลังจากเข้าไปยังอาณาเขตของสำนักวิญญาณจันทร์ สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสก็เคร่งเครียดขึ้น
ในยามนี้ แสงสีเงินยวงได้ปรากฏขึ้นจากด้านล่าง
“ฮ่าฮ่า ยินดีต้อนรับ สหายจากสำนักจันทร์สลาย”
ผู้มาใหม่คือผู้อาวุโสในชุดเสื้อแขนยาวสีเงินเทา มีกลิ่นอายด้อยกว่าเพียงผู้อาวุโสหนึ่ง
“คารวะ ผู้อาวุโสคุน”
ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มยิ้มและทักทายผู้มาใหม่ ทว่าแม่เฒ่าหลิวเยว่และผู้อาวุโสหยุนไห่มีสีหน้าน่าเกลียดเล็กๆ
ผู้อาวุโสคุนเป็นเพียงผู้อาวุโสทั่วไปของสำนักวิญญาณจันทร์ ผู้อาวุโสหนึ่งได้นำคนของสำนักจันทร์สลายมาด้วยตนเอง ทว่าสำนักวิญญาณจันทร์ทำเพียงส่งผู้อาวุโสธรรมดาผู้หนึ่งมา
โดยปกติแล้ว สำนักวิญญาณจันทร์ควรจะส่งจ้าวสำนักหรือผู้อาวุโสหนึ่งมารับพวกเขา
“ฮ่าฮ่า จ้าวสำนักและผู้อาวุโสหนึ่งได้ต้อนรับสำนักจันทร์เงินอยู่”
ผู้อาวุโสคุนดูราวกับรู้ว่าผู้อาวุโสแห่งสำนักจันทร์สลายคิดสิ่งใดอยู่ และหัวเราะออกมา ทว่าความเหยียดหยามได้แล่นผ่านแววตา
จากทั้งสามสำนัก สำนักจันทร์สลายนั้นนับว่าอยู่จุดต่ำสุด และมักจะครองอันดับท้ายที่สุดในงานสามสำนัก เมื่อเทียบกับพวกเขา สำนักจันทร์เงินได้ครองอันดับที่เจ็ดในสิบสามสำนัก และสำคัญกว่านัก
แม้ว่าผู้อาวุโสของสำนักจันทร์สลายจะโกรธเคือง ก็มิมีสิ่งใดที่พวกเขาจะกระทำได้ เพราะสำนักจันทร์สลายได้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครั้งในงานสามสำนัก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหล่าผู้อาวุโสก็ได้มองไปยังศิษย์ที่เข้าร่วม ศิษย์รุ่นนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้ามากนัก
อินทรียักษ์ทองหม่นร่อนลงเบื้องหน้าตำหนักหลังหนึ่ง
ผู้อาวุโสคุนแย้มยิ้ม
“ให้คนเฒ่าคนแก่เช่นเราไปยังห้องโถงและพูดคุยเรื่องของเราเถอะ เราจะปล่อยให้คนรุ่นใหม่ดูแลเรื่องของคนรุ่นใหม่กันเอง”
ผู้อาวุโสแห่งสำนักจันทร์สลายผงกศีรษะ พวกเขาไม่ได้แปลกใจอันใด
มันเป็นเรื่องปกติในงานสามสำนัก
งานนี้มีเป้าหมายสองอย่าง
หนึ่งเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการร่วมมือกันระหว่างสำนัก ลัทธิมารจันทราชาดนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องราวในระยะหลัง และมันอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่พวกเขาจะพูดคุยกัน
เด็กรุ่นใหม่นั้นย่อมไม่ได้เข้าร่วมในสิ่งนี้
อีกเหตุผลหนึ่งคือการให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสามสำนักประลองกัน
จะอย่างไรก็ตาม อนาคตของคนรุ่นใหม่นั้นได้กำหนดปลายทางของอนาคตแห่งสำนัก ทั้งมันยังบ่งบอกความแตกต่างของความแข็งแกร่งของแต่ละสำนักได้
โดยปกติแล้ว สำนักที่แข็งแกร่งกว่าจะมีทรัพยากรมากกว่า และศิษย์ของพวกเขาจะทรงพลังกว่า
ตัวอย่างเช่น ‘สี่ดารา’ นั้นคือเด็กหนุ่มสาวที่ครองสี่อันดับแรกของสิบสามสำนัก ซึ่งสำนักวิญญาณจันทร์เองก็มีหนึ่งในสี่ดารานั้น
ไม่ช้า
สำนักจันทร์สลายได้เข้าไปในห้องโถง
“สหาย ให้ข้าแนะนำพวกเจ้าสู่สำนักวิญญาณจันทร์เถอะ” น้ำเสียงไร้อารมณ์ดังขึ้น
คนที่ทักทายทั้งสามนั้นคือเด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีท่าทีไร้อารมณ์ผู้หนึ่ง สิ่งที่เขาทำมีเพียงการมองไปยังทั้งสามเล็กน้อย
เป่ยม่อและจ้าวเฟิงนั้นขี้เกียจเกินกว่าจะเอ่ยสิ่งใด มีเพียงหยางก่านที่แย้มยิ้มและเอ่ยแนะนำพวกเขา
เมื่อได้ยินชื่อของจ้าวเฟิงและเป่ยม่อ เมิ่งหยุน เด็กหนุ่มชุดขาวก็ได้เอ่ยเสียงแผ่ว
“เช่นนั้นคือเด็กใหม่สองคน”
เมิ่งหยุนและหยางก่านดูเหมือนจะรู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว ทว่าพวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันนัก
“ศิษย์พี่เมิ่ง เจ้าคือศิษย์หลักอันดับที่เท่าไหร่ในสำนักวิญญาณจันทร์หรือ?” หยางก่านเอ่ยถาม
คำถามนี้ได้สร้างความสนใจอย่างมากแก่จ้าวเฟิงและเป่ยม่อ กลิ่นอายของเมิ่งหยุนนั้นใกล้เคียงกับหยางก่าน อยู่ที่ขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า
“สาม” เมิ่งหยุนเอ่ยตอบ
ระหว่างทาง เขาได้นำทางศิษย์ของสำนักจันทร์สลายไปอย่างสบายๆ มันราวกับว่าเขาจะไม่ลำบากพูดคุยกับคนทั้งสาม เกียจคร้านเกินกว่าจะทำเช่นนั้น
เหล่าระดับสูงของสำนักวิญญาณจันทร์ทำเพียงส่งผู้อาวุโสธรรมดาผู้หนึ่งออกมาต้อนรับสำนักจันทร์สลาย จากนั้นพวกเขายังทำเพียงส่งศิษย์หลักลำดับที่สามออกมาเพื่อต้อนรับจ้าวเฟิงและอีกสองคน
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักเจ้าได้กลายเป็นหนึ่งใน ‘สี่ดารา’ อัจฉริยะเช่นนั้นนับว่าน่านับถือนัก…” หยางก่านเอ่ยและเริ่มสอบถามถึงสถานการณ์ในสำนักวิญญาณจันทร์
ท่าทีของเมิ่งหยุนต่อเขานั้นเป็นเพียงเรื่องปกติ หยางก่านรู้สึกจนใจเพราะสองคนข้างเขานั้นไม่ชมชอบการพูดคุยใดๆ
เป่ยม่อมักจะไร้อารมณ์อยู่เสมอ ในขณะที่จ้าวเฟิงเกียจคร้านเกินกว่าจะเอ่ยปาก
อ่า สองคนนี้ล้วนเป็นตัวโง่งมที่เอาแต่ใจและจองหอง
“ในฐานะของหนึ่งในสี่ดารา ศิษย์น้องโอวเยว่เทียนอาจจะปรากฏตัวขึ้นที่งานสามสำนักครั้งนี้หรือไม่ก็ได้ เขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่หกเมื่อหลายเดือนก่อน และกระทั่งฝึกฝนวิชาที่ยากที่สุดของสำนักวิญญาณจันทร์ ‘เทพสงครามจันทรา’ เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำได้มานับร้อยปี”
ยามเมื่อเมิ่งหยุนเอ่ยถึงโอวเยว่เทียน รอยยิ้มเยาะหยันก็ได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา พวกเจ้าคิดหรือว่าตัวตลกเช่นพวกเจ้าจะมีสิทธิท้าประลองเขา?
โอวเยว่เทียนคือหนึ่งในสี่ดาราแห่งสิบสามสำนัก ความแข็งแกร่งนับว่าเป็นแนวหน้า
กระทั่งในสิบสามสำนัก มีคนจำนวนเพียงไม่มากที่นับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แล้วเพียงแค่คนของสามสำนักนี้จะนับเป็นอันใดได้?
“เป็นไปไม่ได้… โอวเยว่เทียนได้ฝึกฝน ‘เทพสงครามจันทรา’ จริงๆ” หยางก่านอุทานออกมา
เทพสงครามจันทราคือเคล็ดวิชาต้องห้ามในสำนักวิญญาณจันทร์ เช่นเดียวกับฝ่ามือวายุอัสนีในสำนักจันทร์สลาย ทว่าเทพสงครามจันทรานั้นนับว่าชั้นเชิงสูงกว่า และเป็นวิชาที่สมบูรณ์ ดังนั้นพลังของมันจึงน่าพรั่นพรึง
“ข้าได้ยินมาว่าคนผู้หนึ่งนำสำนักเจ้าได้รับมรดกชิ้นหนึ่ง ดีกว่าที่ข้าคิด” เมิ่งหยุนเอ่ยล้อเลียน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางก่านก็เกิดกราดเกรี้ยวและแทบจะระเบิดออก
“เอาล่ะ ที่นี่ล่ะ”
คำของเมิ่งหยุนพลันแปรเปลี่ยนไปเมื่อเขานำทั้งสามเข้าไปยังสวนงดงามแห่งหนึ่ง
ใจกลางสวนนั้นได้ปรากฏศาลาเล็กๆ พร้อมด้วยของทานเล่นภายใน ศิษย์จากสำนักวิญญาณจันทร์และสำนักจันทร์เงินล้วนนั่งอยู่ภายใน
“ศิษย์น้องโอว และสหายผู้ฝึกตนจากสำนักจันทร์เงิน ศิษย์ผู้เข้าร่วมจากสำนักจันทร์สลายได้มาถึงแล้ว” เมิ่งหยุนจงใจเอ่ยเสียงดัง ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ในกลางได้ปรากฏร่างของ ‘โอวเยว่เทียน’ สวมใส่ชุดสีน้ำเงิน ในด้านของเสน่ห์และความดึงดูดนั้น เขานับว่าเทียบเท่าได้กับหยางก่าน บุรุษในฝันของเหล่าสตรี ทว่ามันกลับมีความจองหองที่ครอบคลุมโอวเยว่เทียนอยู่ เพียงแค่ดวงตาของเขาก็สร้างแรงกดดันอย่างหนักหน่วงแล้ว
“อืม”
สิ่งที่โอวเยว่เทียนทำมีเพียงแค่การผงกศีรษะเล็กๆ ไม่มีความตั้งใจใดๆ ในการลุกขึ้นและทักทายผู้อื่น
เมิ่งหยุนเริ่มที่จะแนะนำตัวทุกคน
“นี่คือหัวหน้าศิษย์จากสำนักจันทร์เงิน เหมาเฟย…”
ท่าทีของเมิ่งหยุนนั้นค่อนข้างเคารพมากขึ้นยามเมื่อเขาแนะนำสำนักจันทร์เงิน
หัวหน้าศิษย์ของสำนักจันทร์เงินนั้นมีพลังฝึกตนในระดับเดียวกับหยางก่าน ด้านซ้ายและขวาของเหมาเฟยปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผมแดงเพลิงและผู้ใช้ดาบในชุดสีเงินยวง
หืมมม?
สายตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังร่างของเด็กหนุ่มผมแดง ไม่ใช่ว่านั่นคือเด็กหนุ่มที่เขาเห็นในวันนั้นในวิหารโบราณหรือ?
“นี่คือหลี่ฮง ศิษย์หลักอันดับสองแห่งสำนักจันทร์เงิน” เมิ่งหยุนเอ่ยถึงอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย
ไม่ช้า คนของแต่สำนักก็ได้ถูกประกาศออกมา
สำนักวิญญาณจันทร์นำโดยโอวเยว่เทียน สำนักจันทร์เงินนำโดยเหมาเฟย สำนักจันทร์สลายนำโดยหยางก่าน
ทั้งสามหัวหน้าศิษย์ล้วนอยู่ในนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทว่าชัดเจนว่าโอวเยว่เทียนแข็งแกร่งกว่าอีกสองคน
จะอย่างไรโอวเยว่เทียนก็คือหนึ่งในสี่ดารา จุดยืนของเขาอยู่เหนือกว่าทั้งสอง
“สำนักจันทร์สลายกระทั่งส่งศิษย์ที่อยู่ในนภาที่สี่มา” ศิษย์หลักหลายคนเอ่ยพูดคุยกันภายในสำนักวิญญาณจันทร์
จริง
ในบรรดาของผู้ที่เข้าร่วมเหล่านี้ พลังฝึกตนในนภาที่สี่ของจ้าวเฟิงโดดเด่นออกมา
ศิษย์หลักบางคนของสำนักวิญญาณจันทร์กระทั่งเอ่ยด้วยความเหยียดหยาม
“แม้ว่าพวกเขาจะส่งศิษย์หลักที่อ่อนแอกว่านี้มา เราก็ยังคงสามารถทำลายหมอนั่นได้ ดูเหมือนว่าสำนักจันทร์สลายจะถึงคราวตกต่ำโดยแท้”
“เงียบ” โอวเยว่เทียนส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา ทั่วทั้งศาลาเงียบงันลง
เขาไม่ได้อยากต่อว่าคนเหล่านี้ในการกระทำหยาบคาย เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันน่าอับอาย นับแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เขาไม่แม้แต่จะมองไปยังศิษย์ของสำนักจันทร์สลายให้ชัดเจน แล้วเหตุบัดซบอันใดเขาจึงต้องมองขยะในนภาที่สี่กัน?
ทว่า ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักเขาทำเพียงเอ่ย ‘เทียบ’ ตนเองกับหมอนั่น มิใช่ว่ามันน่าอับอายหรือ?
“อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เทียบเท่าร่างจิตวิญญาณดินปรากฏตัวขึ้นรึยัง?” เหมาเฟยแห่งสำนักจันทร์เงินพลันเอ่ยถามขึ้น
ร่างจิตวิญญาณดิน!
สีหน้าของเหล่าอัจฉริยะจากทั้งสองสำนักเปลี่ยนแปลงไป ประกายแสงวาววับปรากฏขึ้นในดวงตาของเป่ยม่อเล็กๆ
“ศิษย์น้องจ้าวจะมาถึงในไม่ช้า”
รอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโอวเยว่เทียน
“ศิษย์น้องจ้าวมาถึงแล้ว”
ศิษย์หลักหลายคนอุทานออกมา
ดรุณีเงียบงันที่งดงามราวกับเทพเซียนได้เดินเข้ามาจากด้านนอก ความงดงามของนางนั้นมิมีสิ่งใดเทียบเทียมได้ นางดูราวกับงานแกะสลักที่ถูกสวรรค์สร้างขึ้นอย่างประณีตชิ้นหนึ่ง
นางสวมใส่อาภรณ์ยาวสีม่วง ประดับด้วยสีเขียว ดวงตาของนางนั้นใสกระจ่างราวกับคริสตัล ผิวเนียนนุ่มราวหยก
วินาทีที่นางเดินเข้ามาภายในศาลา ศิษย์หลายคนได้ตกลงสู่ห้วงความงามนั้น
นอกไปจากเหมาเฟย ศิษย์อีกสองคนจากสำนักจันทร์เงิน คนผมแดงหลี่ฮง และผู้ใช้ดาบชุดเงิน ล้วนอึ้งงันไป
“นั่นคือสตรีในคำเล่าลือ ‘เทพธิดาหมอกม่วง’ ใช่หรือไม่? สาวงามที่มีพรสวรรค์เทียบเท่ากับร่างจิตวิญญาณดิน และผู้ที่ได้รับมรดก? ข่าวลือนั้นห่างไกลจากความจริงนัก”
เหมาเฟยไม่อาจปกปิดความหลงใหลและอึ้งตะลึงในแววตาได้
“ศิษย์น้องจ้าว”
โอวเยว่เทียนแย้มยิ้มและลุกขึ้นยืน ทักทายเทพธิดาหมอกม่วง ท่าทีของเขาต่อนางนั้นเต็มใจกว่าการทักทายศิษย์ผู้อื่นมากนัก
คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกริษยาเล็กๆ ทว่าเป็นเพราะพลังที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิงของโอวเยว่เทียน มันจึงไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถกระทำได้
“หยูเฟยสายแล้ว” เทพธิดาหมอกม่วงแย้มยิ้มบาง ราวกับดอกบัวที่ผลิบาน
ทว่าคนสองคนในกลุ่มคนนั้นรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“เป็นนาง…”
จ้าวเฟิงและเป่ยม่อนิ่งอึ้ง