บทที่ 210 : ประลองชี้แนะ (1)
“เป็นนาง…”
จ้าวเฟิงและเป่ยม่อสบตากัน ยืนยันว่าเทพธิดาหมอกม่วงนั้นคือจ้าวหยูเฟยที่ได้จากไปยามที่พวกเขายังคงอยู่ที่เมืองกว่างจวิ้นจริงๆ
ในเวลาครึ่งปี ความงดงามแต่เดิมของนางนั้นกระทั่งทรงเสน่ห์กว่าเดิม ทุกการกระทำและรอยยิ้มเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล ยามเมื่อจ้าวเฟิงกลับไปยังตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวได้บอกเล่าเกี่ยวกับความน่าตื่นตะลึงของจ้าวหยูเฟย
“ยามเมื่อศิษย์น้องน้องหยูเฟยกลับมา นางนั้นราวกับเทพเซียน กระทั่งชิวเมิ่งอวี๋ สตรีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ ก็นับว่าด้อยกว่าในด้านของรูปลักษณ์”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตระกูลจ้าวได้เอ่ย จ้าวเฟิงก็ไม่อาจหาคำใดมาหักล้างได้แม้แต่น้อย
จ้าวหยูเฟยคืออัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เทียบเท่าได้กับร่างจิตวิญญาณดิน ทั้งนางยังได้รับมรดก
กระทั่งเป่ยม่อที่ไร้อารมณ์ยังอุทานออกมา ไม่อาจที่จะยอมรับความจริงได้
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายแวววับ จากนั้นเขาจึงจดจำถึงยามที่จ้าวหยูเฟยทดสอบพรสวรรค์ขึ้น
ในยามนั้น สีของลูกแก้วนั้นแตกต่างกัน
ตอนนั้นจ้าวเฟิงรู้สึกแปลกใจ ในขณะที่กว่างจวินโหวได้คิดว่าพรสวรรค์ของจ้าวหยูเฟยนั้นพิเศษ
ดูเหมือนว่าเด็กสาวเองก็จะมีกายผันแปร และกระทั่งแข็งแกร่งกว่าของข่งหยวนอู๋อีกขั้น
“หยูเฟย คนเหล่านี้คือสหายจากสำนักจันทร์เงิน…”
เหมิงหยุนเริ่มที่จะแนะนำทุกคน
ในด้านของสถานะแล้ว สำนักจันทร์เงินนับว่าสูงส่งกว่าสำนักจันทร์สลาย ดังนั้นเขาจึงเริ่มแนะนำจาก ‘เหมาเฟย’ หัวหน้าศิษย์แห่งสำนักวิญญาณเงิน
เหล่าผู้ที่ถูกแนะนำตัวล้วนรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเต้นรัวขึ้น
ดรุณีเบื้องหน้าพวกเขานั้นได้รับมรดก ทั้งยังมีพรสวรรค์สูงที่สุดในบรรดาพวกเขา
หลังจากแนะนำคนจากสำนักจันทร์เงินแล้ว
ดวงตาของเมิ่งหยุนจึงมองไปยังคนสามคนจากสำนักจันทร์สลาย และเอ่ยอย่างเฉยเมย “คนเหล่านี้คือผู้เข้าร่วมจากสำนักจันทร์สลาย นำโดยหัวหน้าศิษย์หยางกาน”
เขาเอ่ยถึงเพียงหยางกาน
“เป็นเกียรติของข้าแล้วที่ได้พบกับ ‘เทพธิดาหมอกม่วง’ สตรีที่มีพรสวรรค์และงดงามที่สุดแห่งสามสำนัก”
หยางกานเอ่ยชม
ทว่า
ยามเมื่อสายตาของจ้าวหยูเฟยจับจ้องไปยังเหล่าคนจากสำนักจันทร์สลาย นางก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ด้วยความตะลึงและยินดี “ศิษย์พี่จ้าวเฟิง… ท่านเองก็อยู่ที่นี่หรือ?”
จ้าวหยูเฟยสังเกตเห็นจ้าวเฟิงและเป่ยม่อ
ทว่านางก็อุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนางเห็นใบหน้าของจ้าวเฟิง “ศิษย์พี่จ้าว… ตาของท่าน?”
ฟุ่บ!
ประกายแสงสีม่วงพุ่งวาบ ร่างของจ้าวหยูเฟยปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง นำพากลิ่นหอมไปพร้อมกัน
“หยูเฟย ไม่พบกันเสียนาน”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มและเอ่ย เรือนผมสีเขียวครามของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม ทำให้ภาพลักษณ์ดูแปลกประหลาดเล็กๆ
ใจของจ้าวหยูเฟยเหม่อลอยไปชั่วขณะ
จ้าวเฟิงในยามนี้เป็นเช่นยามที่อยู่ตระกูลจ้าวและตำหนักกว่างจวิ้น สงบและเยือกเย็น ความมั่นใจของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกไว้วางใจและเคารพเลื่อมใส
อีกทั้งจ้าวเฟิงยังได้ให้ความรู้สึกลึกลับกว่าเก่า
นางมั่นใจว่าจ้าวเฟิงไม่เพียงแต่จะสบายดี ทว่าอีกฝ่ายยังแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก
“ข้าตื่นเต้นเกินไป”
จ้าวหยูเฟยสีหน้าเปลี่ยนเป็นดีใจก่อนที่จะหมุนตัวไปทักทายเป่ยม่อ
“เช่นนั้นคือพวกเจ้ารู้จักกันมาก่อน?”
หยางกานรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
อ้าวเยว่เทียนและเหมิงหยุนจากสำนักวิญญาณจันทร์มีสีหน้าน่าเกลียด
โดยเฉพาะเหมิงหยุน เขาจงใจไม่แนะนำตัวจ้าวเฟิงและเป่ยม่อ มิคาดว่าทั้งสองจะรู้จักกับเทพธิดาอยู่แล้ว
อ้าวเยว่เทียนเองก็รู้สึกโกรธเคืองเล็กๆ ขยะที่เขาไม่เสียสายตามองดูเหมือนจะมีความสนิมสนมกับจ้าวหยูเฟยมาก
จ้าวหยูเฟยแย้มยิ้มและแนะนำทั้งสองอย่างง่ายๆ
ทุกคนเข้าใจ จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยนั้นต่างมาจากตระกูลจ้าว และพวกเขาล้วนเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับเป่ยม่อ
ภายในศาลา
บรรยากาศกระอักกระอ่วนเริ่มลดลง ทุกคนค้นหาสหายและเริ่มพูดคุยกัน
จ้าวเฟิงเคยเห็นเด็กหนุ่มผมแดงหลี่ฮงแห่งสำนักจันทร์เงินไม่กี่วันก่อน และเขาสามารถเรียกได้ว่ารู้จักอีกฝ่าย
ทว่าเด็กหนุ่มกลับรู้สึกหวาดระแวงมิน้อย ระหว่างหลี่ฮงและลัทธิมารจันทรามีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน?
ไม่ช้า หัวข้อของการพูดคุยได้แปรเปลี่ยนไปเป็นเรื่องพลังฝึกตน
‘เทพสงครามจันทรา’ ของ อ้าวเยว่เทียนและมรดกของจ้าวหยูเฟยกับเป่ยม่อได้รับความสนใจอย่างมาก
แน่นอนว่าทุกคนทำเพียงกล่าวถึง มิได้ขุดคุ้ยลงไปลึกนัก
“ศิษย์น้องจ้าวผู้นี้ได้มีพลังฝึกตนในนภาที่สี่ ทั้งยังเป็นตัวแทนจากสำนักทีมีชื่อเสียง มาร่วมงานชุมนุมเล็กๆ ของเราแบบนี้ย่อมต้องมีเหตุสำคัญเป็นแน่”
อ้าวเยว่เทียนค่อนแคะจ้าวเฟิง
ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาย่อมดูแคลนอีกฝ่ายเกินกว่าจะทำเช่นนั้น ทว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกับจ้าวหยูเฟยที่สร้างความสนใจให้แก่อ้าวเยว่เทียน
“ความแข็งแกร่งของศิษย์น้องจ้าวนับว่าไม่เลว”
หยางกานทำได้เพียงช่วยตอบ
จ้าวเฟิงนั้นเกียจคร้านเกินกว่าจะเอ่ยตอบ และเป่ยม่อย่อมไม่ช่วยเหลือเขา สู้เขาไม่ตอบโต้จะดีกว่า
สำหรับสถานการณ์ของจ้าวเฟิงนั้น หยางกานทำได้เพียงช่วยเหลือเล็กน้อย
ศิษย์จากสำนักวิญญาณจันทร์และสำนักจันทร์เงินมีความเหยียดหยามและริษยาอยู่ในดวงตา บางทีอาจเป็นเพราะจ้าวเฟิงดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับจ้าวหยูเฟย และต้องการให้เด็กหนุ่มเสียหน้า
แต่ทว่าเป็นเพราะจ้าวเฟิงไม่สนใจที่จะเอ่ยตอบ และเป่ยม่อไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าพวกเขาก็หมดความสนใจลง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลาล่วงเลยจนมืดค่ำ งานพบปะระหว่างเหล่าระดับสูงจึงได้สิ้นสุดลง
จากนั้นจึงเป็นการประลองที่ทุกคนเฝ้ารอมานาน
เหล่าระดับสูงของแต่ล่ะสำนักรวมตัวกันที่ลานของสำนักวิญญาณจันทร์
ศิษย์ของแต่ละสำนักก็แยกอยู่ตามมุมของตัวเอง
มุมของสำนักจันทร์สลาย
“ศิษย์ในรุ่นนี้ของสำนักวิญญาณจันทร์นับว่าแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาด”
แม่เฒ่าหลิวเยว่มีความกังวลในแววตา
ผู้อาวุโสหยุนไห่ผงกศีรษะ “ความแตกต่างระหว่างเรากับสำนักวิญญาณจันทร์นั้นมากมายเกินไป มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะชนะ ทว่าหากเราสามารถประลองกับสำนักจันทร์เงินจนเสมอได้ อีกสองสำนักย่อมมองเราใหม่”
“มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราทำได้”
ผู้อาวุโสหนึ่งถอนหายใจ
อย่างแรก
สำนักวิญญาณจันทร์นั้นแข็งแกร่งอย่างมาก อ้าวเยว่เทียนได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่หก ทั้งเขายังเป็นหนึ่งในสี่ดารา
ต่อมา จ้าวหยูเฟยและเหมิงหยุนล้วนถึงขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า โดยที่เด็กสาวนั้นยังได้รับมรดกชิ้นหนึ่งอีกด้วย
ในด้านของพลังของแต่ล่ะบุคคลและโดยรวมนั้น สำนักวิญญาณจันทร์เหนือกว่าอีกสองสำนักอย่างเห็นได้ชัด
สำนักจันทร์สลายไม่อาจจินตนาการถึงการเอาชนะสำนักวิญญาณจันทร์ได้ ทั้งหมดที่พวกเขาหวังมีเพียงการประลองกับสำนักจันทร์เงินจนเสมอเท่านั้น
ทว่าสำนักจันทร์เงินได้มีผู้เข้าร่วมคนหนึ่งในนภาที่หก และอีกสองคนอยู่ในนภาที่ห้า จากฉากหน้า พวกเขาดูแข็งแกร่งกว่าสำนักจันทร์สลาย
สายตาของผู้อาวุโสหนึ่งจับจ้องไปยังจ้าวเฟิงที่ยังคงสงบเยือกเย็น
เขามีความหวังเล็กๆ อยู่ในใจว่าศิษย์ผู้นี้ของเขาจะนำพาความประหลาดใจมาให้
มีเพียงผู้อาวุโสหนึ่งที่รับรู้ว่าจ้าวเฟิงได้รับมรดกอัสนี ทั้งพลังต่อสู้ของเด็กหนุ่มยังแข็งแกร่งจนน่าสะพรึง
ในยามนี้
อ้าวเยว่เทียนจากสำนักวิญญาณจันทร์ได้ประกาศเริ่มการประลอง
การประลองทั้งหมดนั้นได้ถูกดูแลโดยคนรุ่นใหม่ เหล่าคนรุ่นเก่าทำเพียงเฝ้ามองและเอ่ยแนะบางครั้ง ทว่าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
“ในฐานะของสำนักผู้จัดงาน ข้าขอประลองก่อน สหายคนใดต้องการ ที่จะประลองกับข้าบ้าง?”
เหมิงหยุนยืนอยู่ใจกลางลานและเอ่ยถามสำนักจันทร์เงินและวิญญาณจันทร์
“ข้า”
เด็กหนุ่มผมแดง หลี่ฮง แห่งสำนักจันทร์เงินลุกขึ้น กลิ่นอายรุนแรงได้ปรากฏขึ้นจากร่างของเขา
เคล็ดจันทร์เพลิง!
การโจมตีของหลี่ฮงนั้นกราดเกรี้ยว เต็มไปด้วยเปลวไฟ มันสามารถเปลี่ยนห้องทั้งห้องให้กลายเป็นฝุ่นผงได้ภายในเสี้ยววินาที
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ในด้านของพลังโจมตี เคล็ดจันทร์เพลิงนั้นคล้ายคลึงกับกระบวนท่าตัดวายุเพลิงของเขา ทว่าทรงพลังกว่า
เคล็ดเมฆวายุทะลวงจันทร์
เหมิงหยุนกำพัดไว้ในมือ ส่งเส้นสายปราณแท้เฉียบคมออกไป กลายเป็นกระแสลมสีเงินที่กลืนกินทุกสิ่งที่อยู่ในเส้นทางของมัน
ในด้านของพลังโจมตีเพียงอย่างเดียว เหมิงหยุนนับว่าเหนือกว่าหลี่ฮงเล็กน้อย ทว่านี่เป็นเพียงเพราะความแตกต่างทางด้านพลังฝึกตน ทว่าความคล่องแคล่วและการเคลื่อนที่ของการโจมตีของเขานั้นเหนือกว่า การเคลื่อนไหวสบายๆ ที่เขากระทำนับว่าน่าชื่นชม
กระบวนท่าวายุทะลวงจันทร์
เหมิงหยุนพลันโบกพัดของเขาและส่งคลื่นสายลมสีเงินไปยังหลี่ฮง ทำให้ฝ่ายหลังต้องล่าถอยและบาดเจ็บเล็กๆ
“ออมมือให้ข้าแล้ว”
เมิ่งหยุนไม่ได้โจมตีต่อ หรือมิเช่นนั้นเขาคงบีบบังคับให้คู่ต่อสู้ถอยร่นออกไปจากเขตประลอง
หลี่ฮงพ่ายแพ้และกลับไปยังสำนักจันทร์เงิน ผู้อาวุโสชุดแดงข้างกายเขาสั่นศีรษะและถอนหายใจ “ฮงเอ๋อร์ ที่เจ้าแพ้นั้นเป็นเพราะสองสาเหตุ หนึ่ง สิ่งที่เจ้าต้องการมีเพียงชนะ สอง คู่ต่อสู้ฉลาดกว่าเจ้า”
เมิ่งหยุนชนะการประลองแรกภายในสิบกระบวนท่า
เขาเป็นเพียงอันดับสาม ทว่ากลับแข็งแกร่งเพียงนั้น มันได้สร้างความกดดันแก่คนรุ่นเก่าอีกสองสำนักนัก
“สหายคนใดจากสำนักจันทร์สลายต้องการที่จะประลองกับข้า?”
สายตาของเหมิงหยุนกวาดมองไปยังหยางกานและคนอื่นๆ ก่อนจะหยุดลงที่เป่ยม่อ
เขาไม่มีความมั่นใจมากนักในการเอาชนะหยางกาน แต่หากเขาท้าประลองจ้าวเฟิง มันย่อมกลายเป็นการ ‘รังแก’ คนอ่อนแอ
เป่ยม่อนับว่าเหมาะที่สุด สำหรับเขา เขาได้รับมรดก และเหมิงหยุนจะรู้สึกประสบความสำเร็จหากเขาเอาชนะอีกฝ่ายได้
เป่ยม่อเดินขึ้นไปยังลานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนเอ่ย “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“เหอะ เหอะ เด็กเหลือขอ เจ้าจองหองนัก”
ไม่เพียงเหมิงหยุนจะประหลาดใจ ศิษย์คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
‘สี่คลื่นวารีสวรรค์เหนือ’
เป่ยม่อคิดก่อนที่ทะเลน้ำเงินเข้มจะปรากฏขึ้น สร้างแรงกดดันมหาศาล ราวกับสร้างการโจมตีไม่หยุดหย่อน
ในตอนนั้นเหมิงหยุนรู้สึกว่าโลหิตจับตัวแข็ง ยากที่จะหายใจ
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มไร้อารมณ์ผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
กระบวนท่าวายุทะลวงจันทร์
เมิ่งหยุนใช้กระบวนท่าเดิมอีกครั้ง
ตูม!
สายน้ำสีน้ำเงินเข้มถาโถมไปยังร่างของเหมิงหยุน จนกระทั่งอีกฝ่ายแทบกระอักเลือด
“แข็งแกร่งยิ่ง”
“เขาคือคนที่ได้รับมรดกของสำนักจันทร์สลาย?”
เหล่าผู้ชมอุทานออกมา
พรึบ
สองหรือสามกระบวนท่าต่อมา เหมิงหยุนก็กระเด็นลอยออกไปก่อนจะร่วงลงบนพื้น
ทุกคนพูดคุยกันในทันที
ตุบ
เหมิงหยุนเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและตื่นตะลึง ศิษย์ที่ได้รับมรดกนั้นน่าสะพรึง หากเขารู้มาก่อนหน้า เขาคงจะท้าประลองจ้าวเฟิงที่อยู่ในนภาที่สี่แทน แม้มันจะนับเป็นการกลั่นแกล้งคนอ่อนแอ มันย่อมดีกว่าการพ่ายแพ้
ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ
—————————————-
หมายเหตุ: ชื่อตัวละครที่เปลี่ยนไป
เจ้าเมืองกว่านจวิน = กว่างจวินโหว
โอวเยว่เทียน = อ้าวเยว่เทียน
เมิ่งหยุน = เหมิงหยุน