บทที่ 211 : ประลองชี้แนะ (2)
การประลองระหว่างเหมิงหยุนและเป่ยม่อนั้นนับว่าเป็นการต่อสู้เพียงฝ่ายเดียว เหมิงหยุนที่อยู่ที่ขั้นสุดยอดของนภาที่ห้าได้พ่ายแพ้ในไม่กี่กระบวนท่า
ในเวลานี้ ศิษย์จากทั้งสามสำนักล้วนนิ่งอึ้ง
เหตุผลที่พวกเขาตะลึงนั้นไม่เพียงเพราะความแข็งแกร่งของเป่ยม่อ แต่ทว่าเป็นเพราะตัวสำนักจันทร์สลายด้วย
ทุกครั้งที่งานสามสำนักจัดขึ้น สำนักจันทร์สลายนั้นมักจะครองอันดับสุดท้าย ทั้งนับแต่รุ่นของผู้อาวุโสหยุนไห่ก็ไม่มีอัจฉริยะที่โดดเด่นใดๆ อีก
“มรดกที่เขาได้รับนั้นมิใช่ธรรมดา”
จ้าวสำนักและผู้อาวุโสแห่งสำนักจันทร์สลายสบตากัน
ทั้งสามสำนักล้วนมีการทดสอบเป็นของตนเอง และมันหายากยิ่งที่จะมีคนผู้หนึ่งได้รับมรดก โดยปกติแล้ว มีเพียงคนเดียวต่อหนึ่งร้อยปีที่จะได้รับ ทว่าในรุ่นนี้ แต่ละสำนักล้วนมีผู้ได้รับมรดก
ทว่าแม้กระนั้น มันก็มีความแตกต่างในตัวมรดก
ชัดเจนว่ามรดกธาราทมิฬของเป่ยม่อนั้นเป็นมรดกที่ทรงพลัง และในคำพูดของผู้อาวุโสหยุนไห่ มันคือหนึ่งในมรดกที่ดีที่สุดในตำหนักยอดนภา
“สำนักจันทร์สลายได้ตัวอันตรายเช่นนี้ในรุ่นนี้” สีหน้าของเหมาเฟยแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
ความแข็งแกร่งที่เป่ยม่อแสดงออกมานั้นมากมายเสียจนกระทั่งตัวเขาก็ไม่มั่นใจอย่างเต็มที่ว่าจะชนะ
“ให้ข้าเอง”
ผู้ใช้ดาบชุดเงินข้างกายเหมาเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ช่างกวานหยู่ ระวังตัวด้วย”
เหมาเฟยพยักหน้าพร้อมทั้งเอ่ยเตือน
แม้ว่าช่างกวานหยู่จะครองอันดับสามของศิษย์หลักแห่งสำนักจันทร์เงิน แต่เขาก็ได้รับมรดก ทั้งในด้านของพลังต่อสู้เขายังเหนือกว่าหลี่ฮง
“ศิษย์พี่เป่ย ระวังด้วย”
สายตาของช่างกวานหยู่แหลมคมราวใบดาบ ความคมที่ไม่อาจมองเห็นได้ปรากฏขึ้นจากร่างของเขา
เช้ง!
ประกายเย็นเยียบได้พุ่งแหวกอากาศตรงไปยังเป่ยม่อ
ดาบเดียวนั้นเห็นเป็นราวกับสายฟ้าในยามราตรี
สีหน้าของเป่ยม่อเคร่งเครียด เขามิคาดว่าจะพบผู้ที่มีจุดแข็งในการใช้ดาบ
ทั้งสามสำนักไม่ได้เชี่ยวชาญในเพลงดาบนัก ทว่าในอีกฝากหนึ่งของทวีปกลับได้รับความนิยมอย่างมาก กระทั่งบัดนี้ มันยังมีสืบทอดมรดกเกี่ยวกับดาบจำนวนมาก
จุดแข็งของดาบคือพลังโจมตี พวกเขาเชื่อว่าดาบหนึ่งสามารถทำลายวิชาได้นับหมื่น
จากกลิ่นอายที่แพร่กระจายออกจากดาบที่วาดมาของช่างกวานหยู่ คนผู้หนึ่งสามารถบอกได้ว่ามันเป็นบางอย่างที่ผู้ฝึกตนในนภาที่ห้าไม่อาจป้องกันได้
ภูผาธาราทมิฬ!
เป่ยม่อสูดลมหายใจ ของเหลวสีน้ำเงินเข้มรอบกายยกขึ้นสูง ราวกับว่ามันคือภูเขาหนักนับหมื่นตัน หากผู้ที่มีพลังฝึกตนในระดับเดียวกับเด็กหนุ่มสกุลเป่ยอาจถูกทำให้กระอักเลือด
ร่างของชางกวานหยู่ชะงักไปเพียงเล็กน้อย ก่อนที่คมดาบเย็นเยียบจะฟันไปยังภูผาธาราทมิฬของอีกฝ่ายจนกลายเป็นสองส่วน แต่แม้กระนั้น ตัวเขาเองก็ถูกบังคับให้ล่าถอยออกไปสองสามก้าว
“เป็นพลังโจมตีที่รุนแรงอันใดเช่นนี้!”
คนของทั้งสามสำนักอุทานออกมา
จุดเด่นของมรดกของเป่ยม่อนั้นถนัดในการป้องกัน ในขณะที่มรดกดาบของช่างกวานหยู่ถนัดในการโจมตี
บนลานประลอง ร่างทั้งสองเข้าปะทะกัน เพลงดาบของช่างกวานหยู่ได้กระหน่ำฟาดฟันออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“ผู้ฝึกดาบนั้นนับว่าเป็นปัญหาโดยแท้”
อ้าวเยว่เทียนพึมพำขณะที่เขาจดจำได้ถึงบางอย่าง
ด้วยพลังของเขา เขาย่อมไม่นำช่างกวานหยู่ไปอยู่ในสายตา
ทว่ามันมีอัจฉริยะผู้หนึ่งในสิบสามสำนักที่ถือครองดาบยาวสามฟุตและได้รับการเรียกขานว่า ‘หนึ่งดาบผ่าสวรรค์’
มันหมายความว่าเพียงหนึ่งเพลงดาบนั้นได้เอาชนะอัจฉริยะทุกคนในรุ่นนี้
คนผู้นั้นเป็นสตรี ทว่าด้วยดาบที่ฟาดฟันออกไปเพียงครั้งเดียวนั้น นางได้บดขยี้บุรุษทุกคนไว้ใต้เท้า
กระทั่งอ้าวเยว่เทียนก็ยังเคยพ่ายแพ้ต่อนางเช่นกัน
นางคือซางหยูเยว่ หัวหน้าของสี่ดารา และมาจากสำนักดาบเมฆา ที่ครองอันดับหนึ่งในสิบสามสำนัก
ช่างกวานหยู่นั้นคล้ายคลึงกับชางหยูเยว่ในการที่ทั้งสองล้วนฝึกฝนดาบจนเก่งกาจ
การโจมตีของช่างกวานหยู่นั้นสามารถทำร้ายผู้ที่อยู่ในนภาที่หกได้ และเป่ยม่อไม่อาจได้เปรียบในระยะเวลาสั้นๆ
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าคิดว่าโอกาสที่เป่ยม่อจะชนะมีเท่าใด?”
หยางกานเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่เป่ยจะชนะ มรดกธาราทมิฬของเขาโดดเด่นในด้านการป้องกัน ในขณะที่ผู้ฝึกฝนดาบนั้นมุ่งเน้นไปในความแหลมคม หากพวกเขาไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว พลังโจมตีของพวกเขาก็จะลดลง”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสหนึ่งและหยางกานก็ผงกศีรษะ มันไม่ใช่เพียงแค่จ้าวเฟิงที่คาดเดาเช่นนั้น
“ธาราทมิฬคลื่นหวน”
น้ำสีเข้มรอบกายเป่ยม่อพลันควบรวมกันและระเบิดออก ทำลายการโจมตีของช่างกวานหยู่
ช่างกวานหยู่กระเด็นถอยหลังออกไปสิบหลา หอบหายใจ
“เจ้าปล่อยให้ข้าชนะแล้ว”
เป่ยม่อเอ่ยโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ราวกับว่ามันเป็นเพียงเรื่องปกติ
หลังจากเอาชนะทั้งสองได้ สายตาของเขาก็ไปหยุดลงที่เหมาเฟย
ท้าประลองหัวหน้าศิษย์
สีหน้าของศิษย์ทุกคนแปรเปลี่ยนไป
หากเป่ยม่อท้าประลองเหมาเฟยและชนะ นั่นย่อมหมายความว่าสำนักจันทร์เงินทั้งสำนักถูกบดขยี้โดยเด็กหนุ่ม
“ได้”
เหมาเฟ่ยยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“ศิษย์น้องเป่ย เจ้าได้ใช้พลังไปมากระหว่างการประลองสองครั้งก่อนหน้า ให้ข้าเองเถอะ”
หยางกานพุ่งวูบไปที่ใจกลางลานประลอง
เป่ยม่อไม่ได้โต้แย้ง เด็กหนุ่มเดินกลับไปยังมุมของสำนักจันทร์สลายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ผู้อาวุโสหยุนไห่ผงกศีรษะ ความสามารถของเป่ยม่อได้เป็นหน้าเป็นตาเขาแล้ว
ในเวลานี้ บนลานประลอง
หยางกานและเหมาเฟย ศิษย์หลักทั้งสองได้ยืนอยู่บนลานประลองแล้ว
การปะทะกันระหว่างสองหัวหน้าศิษย์ได้สร้างเสียงพึมพำขึ้น
หยางกานถือดาบยาวโบราณสีทอง เต็มไปด้วยอำนาจ ราวกับเป็นหนึ่งในชนชั้นปกครองที่ยอมลดตัวลงมา ขณะที่ต่อสู้ ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มได้สร้างความตื่นตะลึงให้ศิษย์คนอื่นๆ
จ้าวเฟิงเองก็ประหลาดใจ เขาและหยางกานไม่เคยได้ประลองฝีมือกันมาก่อน เขาไม่ได้คาดว่าความแข็งแกร่งของหยางก่านจะเพิ่มมากขึ้นเพียงนี้หลังจากการทดสอบ
รอยยิ้มพึงพอใจได้ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่ง
หยางกานนั้นมีความสามารถในการทำความเข้าใจและพรสวรรค์ที่ดีอยู่แล้ว เมื่อผ่านการทดสอบ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากนั้น แรงกดดันที่มาจากจ้าวเฟิงและเป่ยม่อได้ผลักดันความสามารถของชายหนุ่มให้ออกมาอีก
ในเพียงแค่ สิบกระบวนท่า หยางก่านก็เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบ ดาบของเขานั้นเต็มไปด้วยความซื่อตรงและทรงอำนาจ
หลังจากผ่านไปยี่สิบกระบวนท่า เหมาเฟยก็เหนื่อยหอบเล็กน้อย เต็มไปด้วยความตะลึงงัน “เกิดบัดซบอันใดกับสำนักจันทร์สลายในครานี้? เป่ยม่อนับว่าเก่งกาจเพียงพอ แต่เป็นเพราะเขาได้รับสืบทอดมรดก แต่กระทั่งหัวหน้าศิษย์ก็มีพลังแข็งแกร่งจนแทบไม่น่าเชื่อ”
“แข็งแกร่งยิ่ง”
เป่ยม่อพึมพำกับตนเอง หลังจากเลื่อนเข้าสู่นภาที่ห้า เขาก็ต้องการที่ท้าประลองหยางกาน แต่เมื่อดูจากตอนนี้ โอกาสที่เขาจะชนะย่อมไม่เกินยี่สิบในร้อยส่วน ทั้งเสมอก็มากสุดเพียงสี่สิบในร้อยส่วน
จ้าวเฟิงต้องยอมรับว่าหยางกานนั้นเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าศิษย์จริงๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากไม่ใช่พลังแห่งสายเลือดของเขา หรือใช้มรดกอัสนีอย่างจริงจัง เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ผู้นี้ จะอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นเป่ยม่อ และพลังฝึกตนก็ยังขาดนัก
สามสิบกระบวนท่าต่อมา หยางกานได้กระแทกเหมาเฟยออกไปด้วยดาบของเขา ทิ้งรอยเลือดไว้บนใบหน้าของอีกฝ่าย
“ศิษย์พี่หยางแข็งแกร่งโดยแท้ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านจริงๆ”
เหมาเฟยไม่ได้ผิดหวังหรือหดหู่แต่อย่างใด เพราะเขาทำดีที่สุดแล้ว ทว่าความแตกต่างระหว่างพลังของเขากับหยางกานนั้นมากเกินไป
หลังจากหยางกานชนะการประลอง เขาได้ใช้พลังไปมากจากการต่อสู้ เขาจึงตัดสินใจไม่ประลองต่อและกลับเข้าไปพักผ่อนด้วยท่าทางสุขุม
ในระดับของเขา คนที่เขาสามารถท้าประลองได้มีเพียงอ้าวเยว่เทียน และร่างกายของเขาต้องอยู่ในสถานะที่พร้อมที่สุดเพื่อที่จะทำเช่นนั้น
“ความแข็งแกร่งของพวกเขานับว่าใช้ได้ ข้าคิดว่าข้าคงไม่มีโอกาสได้ประลองในครานี้”
อ้าวเยว่เทียนไม่ได้ปกปิดความเย่อหยิ่งในน้ำเสียงของเขา
เขาไม่กระทั่งนำงานสามสำนักมาอยู่ในสายตา เป้าหมายของเขาคือ “งานสิบสามสำนักพันธมิตร” คู่ต่อสู้ของเขาคือชางหยูเยว่ หลินทง สวี๋จึเสวี๋ยน อีกสี่ดารา
หลังจากหยางก่านออกไป บรรยากาศก็กลายเป็นแปลกประหลาดประการหนึ่ง
ความแข็งแกร่งที่สำนักจันทร์สลายแสดงออกมานั้นน่าพรั่นพรึงจนเกินไป ทั้งพวกเขายังได้บดขยี้สำนักจันทร์เงิน
สำนักจันทร์เงินไม่มีความคิดที่จะประลองอีกต่อไป
สีหน้าของเหมิงหยุนเองก็กลายเป็นน่าเกลียดเล็กๆ
เขาไม่กระทั่งนำศิษย์จากสำนักจันทร์สลายมาอยู่ในสายตา กระทั่งทักทายก็ไม่เต็มใจ ทว่าทั้งเป่ยม่อและหยางกานล้วนเอาชนะเขาได้โดยง่าย
ในยามนี้
พลังของสำนักจันทร์สลายได้ทำให้อีกสองสำนักกังวลแล้ว
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ขึ้นไปหน่อยหรือ?”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย
คำพูดของเขาได้ทำให้คนของสำนักจันทร์สลายมองไปยังผู้พูดอย่างแปลกประหลาด
ในบรรดาคนทั้งสาม จ้าวเฟิงคือผู้ที่ลึกลับที่สุด และกระทั่งผู้อาวุโสหนึ่งก็ไม่รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับศิษย์ผู้นี้
หืมมม?
ดวงตาของเหมิงหยุนและศิษย์สำนักจันทร์เงินเปล่งประกาย
ถูกแล้ว
สำนักจันทร์สลายอาจแข็งแกร่งในครานี้ ทั้งหยางกานและเป่ยม่อล้วนไม่ง่ายที่จะต่อกร
ทว่าสำนักจันทร์สลายก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่
ศิษย์ในนภาที่สี่ผู้นี้อาจครองอันดับสูงในสำนัก ทว่ามันไม่เพียงพอในงานสามสำนัก
“หึ ข้าควรจะเลือกคนที่ง่ายที่สุดและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าสำนักวิญญาณจันทร์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด”
เหมิงหยุนตัดสินใจ และด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยยังได้ทำให้เขาริษยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อีกด้านหนึ่ง
“พวกเจ้าทั้งสอง ไปท้าประลองคนที่อ่อนด้อยที่สุดนามจ้าวเฟิงและต้องเอาชนะอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อที่จะทำให้ชื่อเสียงสำนักจันทร์เงินไม่โดนเหยียบย่ำจนหมดสิ้น”
เหมาเฟยกำชับ
ช่างกวานหยู่และหลี่ฮงผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ในครั้งนี้สำนักจันทร์เงินได้พ่ายแพ้หมดสิ้นต่อสำนักจันทร์สลาย
โชคดีที่ครั้งนี้
จ้าวเฟิงเดินออกไปยังลานภายใต้การ ‘ให้กำลังใจ’ ของผู้อาวุโสหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยสิ่งใด เหมิงหยุนและหลี่ฮงล้วนเดินออกมาในเวลาเดียวกัน
เกิดบัดซบอันใดขึ้น?
จ้าวเฟิงชะงัก ไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับเช่นนี้
“อันใดกัน หรือศิษย์พี่หลี่ฮงเองก็ต้องการประลองกับเขาเช่นกัน?”
เหมิงหยุนหัวเราะ
ทั้งสองสบตากัน และพลันรู้ว่าต่างฝ่ายต่างคิดสิ่งใด
คนของทั้งสามสำนักชะงักก่อนที่จะเข้าใจ
พวกเขามิใช่โง่เง่า งานสามสำนักนั้นนับเป็นตัวแทนและเป็นหน้าเป็นตาของทั้งสามสำนัก ผู้เข้าร่วมทุกคนล้วนต้องการที่จะชนะกันทั้งสิ้น
หากคนผู้หนึ่งไม่อาจเอาชนะได้แม้สักครั้ง มันจะเป็นการเสียหน้าและอับอายเป็นอย่างมาก
“ถูกแล้ว ข้าสงสัยเกี่ยวกับศิษย์น้องจ้าวนัก”
ใบหน้าของหลี่ฮงแดงก่ำขึ้นเล็กๆ
“ข้าก็เช่นกัน” เหมิงหยุนกระแอมเล็กน้อย
ทั้งสองดูไม่มีความตั้งใจที่จะผละจากไป ใบหน้าหนานัก
แม้กระทั่งสำนักที่อยู่ด้านหลังพวกเขายังรู้สึกอับอายแทน
มีเพียงหยางกานและเป่ยม่อที่มีสีหน้าพึงพอใจ