บทที่ 212 : การประลองชี้แนะ (3)
เมื่อเห็นว่าทั้งเหมิงหยุนและหลี่ฮงล้วนไม่ต้องการถอย
“เอาเป็นว่าพวกเจ้าทั้งสองเข้ามาพร้อมกันเป็นอย่างไร? จะได้ไม่เสียเวลา”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างสบายๆ
“อย่าได้มั่นใจเกินไปนัก!”
“ไอ้หนู เจ้ามิรู้หรือว่าสวรรค์สูงแผ่นดินต่ำเพียงใด?”
หลี่ฮงและเหมิงหยุนหงุดหงิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
คำของจ้าวเฟิงได้สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้ชม พวกเขาเคยเห็นผู้คนที่เย่อหยิ่ง ทว่าไม่เคยเห็นผู้ที่จองหองเพียงนี้
ผู้ฝึกตนนภาที่สี่กระจอกๆ ผู้หนึ่งกล้าท้าประลองกับศิษย์ในนภาที่ห้าสองคน
แน่นอน
ไม่ว่าใบหน้าของพวกเขาจะหนาเพียงใด เหมิงหยุนและหลี่ฮงย่อมไม่เข้าไปพร้อมกัน แม้ว่าจ้าวเฟิงจะเต็มใจก็ตาม
พวกเขาคิดว่าจ้าวเฟิงรู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสชนะจึงได้เอ่ยเช่นนั้น
“ไอหย๋า ข้าเพียงเอ่ยตรงๆ”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ
เหมิงหยุนและหลี่ฮงแทบกระอักเลือดเด็กเหลือขอนี่นับว่ามิรู้ว่าสิ่งใดดีต่อตนแล้ว
“เหมิงหยุน กลับมา เจ้ายังเสียหน้าไม่พอหรือ?”
อ้าวเยว่เทียนเค้นเสียงเย็นด้วยสีหน้ามืดทะมึน
เขารู้สึกว่าเหมิงหยุนกำลังสร้างความอับอายให้กับสำนักด้วยการร่วมมือกับผู้ฝึกตนในนภาที่ห้าอีกคนรังแกศิษย์ในนภาที่สี่ผู้หนึ่ง
“ได้ ศิษย์พี่อ้าว”
เหมิงหยุนไม่กล้าที่จะโต้เถียงและถอยกลับไป
อ้าวเยว่เทียนพูดคำไหนคำนั้นชื่อเสียงของเขานั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งสิบสามสำนัก
บนลานประลองเหลือเพียงหลี่ฮงและจ้าวเฟิง
หลี่ฮงกดความตื่นเต้นเอาไว้ในใจ นี่อาจเป็นการประลองเดียวที่เขาจะชนะ
เรือนผมของจ้าวเฟิงพลิ้วไหวไปกับสายลม ส่งกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมา
หลี่ฮงรู้สึกราวกับวิญญาณสั่นสะท้านยามที่อีกฝ่ายจับจ้องมายังเขา
“ศิษย์พี่หลี่ ยอมรับความพ่ายแพ้เสียท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
จ้าวเฟิงใช้คลื่นพลังจิตที่มองไม่เห็นพุ่งตรงไปยังหัวใจของหลี่ฮง
“เจ้า…”
ร่างของหลี่ฮงแข็งค้าง
เสี้ยววินาทีต่อมา
เขาก็รู้สึกได้ถึงสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงจากท้องฟ้า พื้นดินแตกแยกกลับกลายเป็นนรก
ยามเมื่อจ้าวเฟิงกลับไปยังสำนักเขาได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับมรดกอัสนีและมีความพัฒนามากขึ้น
บัดนี้เขาสามารถหลอมรวมมรดกอัสนีบางส่วนเข้าไปยังพลังจิตของเขาได้ และมันได้สร้างพลังที่น่าเหลือเชื่อขึ้น
ไม่ดีแล้ว!
วินาทีที่หลี่ฮงตกลงสู่ภาพมายา เขาก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดกระโชกแรง
เปรี้ยง!
จ้าวเฟิงส่งร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไปด้วยการเตะครั้งหนึ่ง
หือ!
เหล่าศิษย์ล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย เกิดบัดซบอันใดขึ้น?
“นั่นคือวิชาพลังจิต เด็กเหลือขอนั่นรู้จักวิชาเช่นนั้นด้วย”
“แม้ว่ามันจะแปลกประหลาด คนก็ไม่อาจป้องกันมันได้ วิหารโบราณ อันดับสองในสิบสามสำนักคือตัวอย่าง”
เหล่าระดับสูงของทั้งสามสำนักสบตากัน
ในยามนี้หลี่ฮงสิ้นสติ นั่งกองอยู่บนพื้น
“เจ้าปล่อยให้ข้าชนะแล้ว”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเฉยเมย
เหล่าผู้ที่มาจากสำนักจันทร์เงินล้วนมีสีหน้าน่าเกลียดกระทั่งจ้าวเฟิงผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำสุด ยังแข็งแกร่งอย่างมาก
หลี่ฮงพ่ายแพ้โดยไร้โอกาสดิ้นรนใดๆ
“วิชาพลังจิต…”
อ้าวเยว่เทียนเงียบงันลง
เขาพลันจดจำถึง ‘หลินทง’ ผู้ที่ครองอันดับสองในสี่ดารา
ในบรรดาทั้งสี่นั้น ผู้ที่ลึกลับที่สุดย่อมเป็นหลินทงโดยไม่ต้องสงสัยเขามาจากวิหารโบราณ ทั้งยังมีสายเลือดที่หายาก ทำให้เขาสามารถฝึกฝนวิชาที่ล้ำค่าที่สุดของวิหารโบราณ ‘เนตรลบสวรรค์’ ได้
ยามเมื่อหลินทงใช้ ‘เนตรลบสวรรค์’ ของเขา คู่ต่อสู้ของเขามักจะตายในกระบวนท่าเดียว
อัจฉริยะบางคนที่หลินทงเอาชนะได้จิตใจแหลกสลาย และมักจะเสียสติไป เหล่าผู้ที่ไม่ได้เสียสติก็จะมีภาพของหลินทงฝังลึกอยู่ในจิตใจ
กระทั่งอ้าวเยว่เทียนที่กล้าท้าประลองกับชางหยูเยว่ ก็ไม่กล้าที่จะท้าประลองหลินทงอย่างง่ายๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นแปลกประหลาดเกินไป ทั้งการโจมตียังยากที่จะป้องกัน
จ้าวเฟิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาเองก็เชี่ยวชาญในพลังจิตเช่นกัน
แน่นอน อ้าวเยว่เทียนย่อมไม่นำจ้าวเฟิงมาอยู่ในสายตา เพราะมันเป็นเช่นการละเล่นของเด็กจากมุมมองของเขา
สี่ดารานั้นคือผู้ที่อยู่บนยอดหอคอย และเหนือกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆ
“ผู้ใดอีกที่ต้องการประลองกับข้า?”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มและมองไปยังเหมิงหยุน
อีกฝ่ายแข็งค้าง ทว่ายังคงลุกขึ้นยืน
เขาเชื่อว่าหัวใจและสติของเขาแข็งแกร่ง ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่หวาดกลัวจ้าวเฟิง
ตราบเท่าที่เขาไม่หวาดกลัวพลังจิตของคู่ต่อสู้ ชัยชนะย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย
“ศิษย์น้องจ้าว ข้ายอมรับว่าข้าดูแคลนเจ้าไป ทว่าอย่าได้คิดว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้ด้วยวิธีการเดียวกัน”
เหมิงหยุนหัวเราะเย็น
“เหอะ เหอะ เช่นนั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อ”
จ้าวเฟิงหัวเราะแผ่วเบา กลิ่นอายแปลกประหลาดรอบกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น
เหมิงหยุนป้องกันจิตใจของเขาอย่างหวาดระแวง จากนั้นจึงทิ้งภาพติดตาไว้ในอากาศ โจนทะยานไปยังทางจ้าวเฟิง
ในขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า พลังต่อสู้ของเหมิงหยุนก็ไม่อาจดูแคลนได้
ย่าห์!
จ้าวเฟิงตวาดก่อนจะส่งคลื่นพลังจิตที่เสียงดังราวฟ้าผ่าไปยังเหมิงหยุน
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเร็ว มันก็ไม่ได้เร็วไปกว่าการจู่โจมจากทางความคิด
ตูม!
ร่างของเหมิงหยุนสั่นสะท้าน โลหิตเดือดพล่านราวกับอวัยวะภายในสะท้านสะเทือน
ใบหน้าพลันขาวซีด ปรากฏโลหิตขึ้นที่มุมปาก
ศิษย์จากทั้งสามสำนักตื่นตะลึง
กระทั่งคนรุ่นเก่าของทั้งสามสำนักยังประหลาดใจ พวกเขามิคาดว่าวิชาพลังจิตของจ้าวเฟิงจะมีพลังร้ายกาจเพียงนี้
วิชาพลังจิตของจ้าวเฟิงนั้น การฝึกหนึ่งวันพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับการฝึกลมปราณแล้วมีประสิทธิภาพมากกว่านับสิบเท่าร้อยเท่า
หลี่ฟูหลวนนั้นถูกต้อง พลังจิตคือพรสวรรค์ที่แท้จริงของจ้าวเฟิง
นอกจากนั้น การโจมตีพลังจิตของจ้าวเฟิงยังมีสำนึกรู้ที่ได้รับจากมรดกอัสนี
บัดนี้เด็กหนุ่มได้เข้าไปยังชั้นแรกของมรดกอัสนีอย่างเต็มตัวแล้ว
มันเป็นไปได้อย่างไร?
เหมิงหยุนเช็ดเลือดออกแต่ยังไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ครั้งนี้จ้าวเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
วายุทะลวงสวรรค์
เหมิงหยุนวาดพัดของเขาอย่างฉุนเฉียว ส่งคลื่นลมสีเงินไปยังคู่ต่อสู้
จ้าวเฟิงยืนนิ่ง ไม่มีความตั้งใจที่จะหลบหรือล่าถอย กลับกัน เสียงหัวเราะเย็นเยียบกลับดังขึ้นจากลำคอของเขา
ฝ่ามือวายุอัสนี!
เด็กหนุ่มพลันดันฝ่ามือของเขาออกไป สร้างเสียงระเบิดราวฟ้าผ่า และสายฟ้าที่แพร่กระจายราวใยแมงมุม
วินาทีที่เขาเคลื่อนไหว สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสามสำนักก็แปรเปลี่ยนไป
“เขาอาจฝึกฝนถึงระดับห้าของฝ่ามือวายุอัสนี ที่เทียบเท่าได้กับระดับสูงสุดของวิชานี้”
ผู้อาวุโสหนึ่งอุทานออกมา
ในเสี้ยววินาที กระบวนท่าวายุทะลวงสวรรค์ของเหมิงหยุนก็ถูกทำลาย กระแสไฟฟ้าครอบคลุมร่างกายของเขา
จากนั้นเขาก็สิ้นสติไป
ตุบ
ทุกคนเพียงเห็นโลหิตไหลออกจากใบหู จมูก และตาของเหมิงหยุนก่อนที่เขาจะหมดสติ
“ศิษย์พี่เหมิง”
ศิษย์จากสำนักวิญญาณจันทร์จำนวนมากออกไปช่วยเหลือ
จ้าวเฟิงยืนนิ่งท่ามกลางท้องนภาสีหมึก เรือนผมสีเขียวครามที่พลิ้วไหวและดวงตาข้างเดียวส่องประกายเย็นเยียบได้สั่นสะท้านหัวใจของทุกคน
บางคนกระทั่งขนทั่วร่างลุกชัน
ไอ้เด็กเหลือขอนี่น่าหวาดกลัวนัก
ศิษย์จากทั้งสามสำนักตัวสั่นสะท้าน
พวกเขามิคาดว่าผู้ที่น่ากลัวที่สุดของสำนักจันทร์สลายไม่ใช่หยางกานและเป่ยม่อ ทว่าเป็นจ้าวเฟิงที่มีพลังฝึกตนต้อยต่ำที่สุด
ไม่เพียงจ้าวเฟิงมีพลังจิต เขายังมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม นี่สามารถเห็นได้จากฝ่ามือที่ส่งร่างของเหมิงหยุนกระเด็นออกไป
หลี่ฮงและเหมิงหยุนคิดอีกฝ่ายเป็นหมูในอวย หารู้ไม่กลับเจอตอ
“ผู้ใดอีก?”
จ้าวเฟิงกวาดตามองฝูงชน
ศิษย์หลักทั้งสามของสำนักจันทร์เงินล้วนเงียบงัน ช่างกวานหยู่ไม่มีโอกาสชนะมากนัก และเหมาเฟยเพิ่งจะประลองมาก่อนหน้า ใช้พลังไปมิน้อย หากเขาพ่ายแพ้ต่อตัวโง่งมในนภาที่สี่ผู้หนึ่งสำนักจันทร์เงินย่อมเสียหน้าหมดแน่
“เพื่อความเท่าเทียม ทุกคนจะสามารถประลองได้เพียงสองรอบติดกัน”
อ้าวเยว่เทียนพลันเอ่ยขึ้น
ตามกฎแล้วผู้ที่ชนะสามารถต่อสู้ได้เพียงสองรอบเพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดความเหนื่อยล้าเกินไป
“ได้”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะและเดินออกไป
เมื่อจ้าวเฟิงเดินออกไป ศิษย์หลักทั้งสามของสำนักจันทร์สลายล้วนแสดงความสามารถของตนออกมา
ครานี้สำนักจันทร์สลายนับว่าได้ลบล้างความอับอายก่อนหน้าไปแล้ว
“จ้าวเฟิง ฝ่ามือวายุอัสนีของเจ้าดูเหมือนจะเข้าสู่ระดับที่ห้า ต่ำกว่าระดับสูงสุดเพียงหนึ่งระดับ?”
ดวงตาของผู้อาวุโสหยุนไห่ส่องประกายระริกราวกับสงสัย
จ้าวเฟิงนั้นรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่ออย่างชัดแจ้ง
เหล่าผู้ที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีจนกระทั่งเข้าสู่ระดับสูงสุดล้วนตายตก
“ใช้เวลาอีกหนึ่งหรือสองปีเพื่อที่จะเข้าสู่ระดับหก”
จ้าวเฟิงเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาได้ถูกทำให้สมบูรณ์จนถึงระดับที่เจ็ด
ในเวลาเดียวกัน ระดับห้านั้นก็แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมากนักเมื่อเด็กหนุ่มได้หลอมรวมสำนึกรู้จากมรดกอัสนีเข้าไป ไม่เพียงเท่านั้น การเคลื่อนไหวยังลื่นไหลกว่ามากนัก
ผู้อาวุโสหยุนไห่ย่อมไม่รู้เรื่องนี้และคิดว่า“จ้าวเฟิงผู้นี้ดูเหมือนจะทำให้ฝ่ามือวายุอัสนีสมบูรณ์แล้ว ข้าเพียงไม่รู้ว่าเขาจะอยู่หรือตายหลังจากฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับหก”
หากจ้าวเฟิงตายเพราะฝ่ามือวายุอัสนี เขาย่อมรู้สึกดีกว่าอย่างแน่นอน
การประลองดำเนินต่อไป
หลังจากนั้น สำนักวิญญาณจันทร์และสำนักจันทร์เงินก็ได้ปะทะกัน
ช่างกวานหยู่ท้าประลองจ้าวหยูเฟยที่มีมรดกเช่นกัน
จ้าวหยูเฟยได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า และนางได้รับมรดกจากในการทดสอบ
หลังจากปะทะกันราวๆ ยี่สิบกระบวนท่า เด็กสาวก็ใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกับเป่ยม่อในการเอาชนะช่างกวานหยู่
“มรดกที่หยูเฟยได้รับคืออันใดกัน?”
จ้าวเฟิงลองสังเกตอย่างละเอียดแต่ดูไม่เหมือนว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดแจ้ง
วิชาเคลื่อนไหวของจ้าวหยูเฟยนั้นเป็นเช่นแต่ก่อน คล่องแคล่วและแผ่วเบา เช่นเดียวกับวิชามัจฉามายาของจ้าวเฟิง
ในด้านของพลังโจมตี มันแหลมคมและคล่องแคล่ว
ในด้านของการป้องกัน มันก็นับได้ว่าแข็งแกร่งเช่นกัน หรือมิเช่นนั้นมันคงมิอาจป้องกันการโจมตีอย่างต่อเนื่องของช่างกวานหยู่ได้
ทว่าโดยรวม จ้าวเฟิงยังไม่อาจหาสิ่งใดที่พิเศษได้
หลังจากชนะ จ้าวหยูเฟยจึงท้าประลองเป่ยม่อต่อ
มรดก ปะทะกับ มรดก
ความเร็วและการโจมตีของจ้าวหยูเฟยนั้นยังคงงดงาม ดูสวยงามเมื่อมอง
จ้าวเฟิงใช้พลังของดวงตาข้างซ้าย และพบว่าปราณแท้ภายในร่างของจ้าวหยูเฟยนั้นโปร่งใสและบริสุทธิ์ มันกระทั่งหลอมรวมกับโลหิตของนางเมื่อใช้ ทุกสิ่งเคลื่อนไหวไปอย่างอิสระ
จ้าวหยูเฟยและเป่ยม่อปะทะกันนับร้อยกระบวนท่าก็ยังไม่ได้ผลแพ้ชนะ
เป่ยม่อถูกบีบบังคับให้ป้องกันเป็นส่วนมาก แต่จะอย่างไรจุดเด่นของเขาก็คือการป้องกัน เขาจึงไม่พ่ายแพ้
ทั้งสองจบลงด้วยผลเสมอหลังจากหนึ่งร้อยกระบวนท่า
จ้าวเฟิงดูราวกับรับรู้บางอย่างได้ มรดกที่จ้าวหยูเฟยได้รับนั้นคงจะเป็นประเภทสนับสนุน ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าสายเลือดที่จ้าวหยูเฟยมีนั้นไม่ธรรมดาเช่นกัน
หรือมิเช่นนั้นปราณแท้ของนางจะโปร่งใสและบริสุทธิ์เช่นนั้นได้อย่างไร?
นอกจากนั้น หลังจากการประลองร้อยกระบวนท่า เป่ยม่อยังมีอาการเหนื่อยหอบ ทว่าจ้าวหยูเฟยยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานทั้งนี่ยังเป็นการประลองสอบรอบติดกันด้วย
จ้าวหยูเฟยรู้สึกเศร้าเล็กๆ นางต้องการที่จะท้าประลองจ้าวเฟิงหรือหยางกานหลังจากนั้น ทว่านางตระหนักได้ว่านางได้ต่อสู้ครบสองครั้งติดต่อกันแล้วจึงทำได้แค่รอรอบต่อไป