Skip to content

King of Gods 213

King Of Gods

บทที่ 213 : การประลองชี้แนะ (4)

การประลองระหว่างเป่ยม่อและจ้าวหยูเฟยได้ออกมาอย่างยอดเยี่ยม ทำให้บรรยากาศภายในงานสนุกสนาน

การประลองได้ดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้าย

และมันมักจะเป็นเวลาที่หัวหน้าศิษย์ประลองกัน

ทันใดนั้น

อ้าวเยว่เทียนกลับลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พร้อมกับกำมือคารวะและเอ่ย“งานสามสำนักในรุ่นนี้นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจกว่าปกติ หากไม่มีผู้ใดคัดค้าน การประลองจะสิ้นสุดลงตรงนี้”

อันใดนะ!?

คนจากทั้งสามสำนักนิ่งอึ้ง

หรือเป็นว่าโอวเยว่เทียนอยากจะสิ้นสุดงานประลองเพียงเท่านี้

ในฐานะของผู้จัดงาน เขาจะไม่ออกมาประลองเลยหรือ?

หัวหน้าศิษย์แห่งสำนักจันทร์สลายและสำนักวิญญาณจันทร์มีสีหน้าน่าเกลียดเล็กๆ

“หรืออ้าวเยว่เทียนจะดูแคลนเราเกินกว่าที่จะประลอง?”

คิ้วของหยางก่านมุ่นเข้าหากัน

“อ้าวเยว่เทียน… ต่อให้เจ้าเป็นหนึ่งในสี่ดารา เจ้าก็ยังคงไม่อาจฉีกหน้าสำนักจันทร์เงินได้”

คลื่นความโกรธเกรี้ยวได้พลุ่งพล่านออกจากร่างของเหมาเฟย

การกระทำของอ้าวเยว่เทียนนั้นทำสร้างความไม่พอใจให้แก่อีกสองสำนักมันราวกับเป็นการตบใบหน้าของพวกเขา

“อ้าวเยว่เทียนแน่นอนว่าเราย่อมคัดค้าน! หากเจ้า หัวหน้าศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดในสามสำนักไม่ออกมาประลองงานสามสำนักนี่จะนับว่าสมบูรณ์แบบได้อย่างไร?”

เหมาเฟยเดินออกไปช้าๆ พร้อมกับจิตต่อสู้ที่พลุ่งพล่าน

“งานสิบสามสำนักพันธมิตรคือสถานที่ต่อสู้ที่แท้จริงของข้า ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่เพียงพอ แต่หากเจ้าต้องการที่จะสู้จริงๆ เจ้าเหมาเฟยและหยางกานสามารถเข้ามาพร้อมกันได้ มีเพียงแค่วิธีนี้ที่มันจะน่าสนใจขึ้นมาหน่อย”

อ้าวเยว่เทียนเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝูงชนก็พลันสบถด่าผู้พูดในทันที

“อ้าวเยว่เทียนเจ้าอย่าได้มั่นใจเกินไปนัก!”

“อ้าวเยว่เทียน ข้าพนันเลยว่าเจ้าคงขลาดกลัวราวมุสิกจนไม่อาจต่อสู้ได้กระมัง?”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำด่าที่ถาโถมเข้ามา อ้าวเยว่เทียนกลับมิได้โกรธเคือง“ข้าแค่ไม่อยากเสียเวลา”

“อ้าวเยว่เทียน มันเป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะประลองกับเจ้าพร้อมกัน ทว่าหากเจ้าแข็งแกร่งเพียงนั้นจริงๆ ก็ค่อยมาต่อสู้กับข้าต่อ”

หยางกานเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก

ท่าทีของอ้าวเยว่เทียนได้สร้างความขุ่นเคืองแก่ศิษย์อีกสองสำนัก

“ได้”

หลังจากที่เผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างหนักหน่วง อ้าวเยว่เทียนก็ยอมออกมาประลองกับพวกเขา

ในความเป็นจริงนั้นเขาตั้งใจที่จะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นทว่าหยางกานมิได้ตกลงในกับดักนั้น ไม่ยินยอมต่อสู้แบบสองรุมหนึ่ง

หรือมิเช่นนั้น หากเขาสามารถเอาชนะศิษย์จากทั้งสองสำนักได้ ชื่อเสียงที่เขาได้ย่อมมากมาย

สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือการที่เขาสามารถแสดงความสามารถออกมาต่อหน้าสตรีในฝันของเขาได้

เมื่อคิดถึงยามนี้ อ้าวเยว่เทียนก็เหลือบมองไปยังจ้าวหยูเฟยด้วยหางตา ทว่าเขาพบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งความสนใจไปยังศิษย์ทั้งสามจากสำนักจันทร์สลาย

ในกลางลาน

สองอัจฉริยะเผชิญหน้ากัน

อ้าวเยว่เทียนยืนมือไขว้หลัง และแม้ว่าจะไม่ได้เคลื่อนไหว แรงกดดันก็ได้เริ่มแผ่ซ่านออกจากร่างของเขา

เหมาเฟยสูดลมหายใจลึก มีเพียงยามที่เขาเผชิญหน้ากับอ้าวเยว่เทียน เขาจึงตระหนักถึงความน่าหวาดกลัวของคู่ต่อสู้ได้ในที่สุด

แรงกดดันที่อ้าวเยว่เทียนส่งมาทางเขานั้นไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดเลยแม้แต่น้อย

เหมาเฟยไม่กล้าที่จะดูแคลนคู่ต่อสู้ และควบรวมปราณแท้ของเขาอย่างรวดเร็ว สร้างชั้นแสงสีเงินขึ้น

ร่างเลียนแบบเมฆเคลื่อนคล้อย!

ในท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี ภาพติดตาสีเงินของเหมาเฟยได้ปรากฏล้อมรอบร่างของอ้าวเยว่เทียน

ในด้านของความเร็ว เหมาเฟยย่อมเป็นหนึ่งในสุดยอดจากทั้งสามสำนัก

ในเพียงระยะเวลาสั้นๆ เขาได้ล้อมรอบร่างของอ้าวเยว่เทียนไว้ พายุแสงสีเงินได้กลืนร่างของหัวหน้าศิษย์สำนักวิญญาณจันทร์ไป

เชือดพันดาบ!

เหมาเฟยได้สร้างท่าไม้ตายนี้ขึ้นได้ในที่สุดด้วยการควบรวมวิชาความเร็วอันบ้าคลั่งของเขาเข้ากับมัน

วิชานี้อันตรายอย่างมาก และในทฤษฎี มันสามารถหั่นร่างของคนผู้หนึ่งให้กลายเป็น ‘เค้กพันชั้น’ ได้

หัวใจของผู้ชมหลายคนเย็นเยียบยามที่เห็นเส้นแสงสีเงินพุ่งไปยังร่างของอ้าวเยว่เทียนที่กำลังถูกหั่นเป็นชั้นๆทว่าเป้าหมายกลับไม่มีการเคลื่อนไหว เขายืนนิ่งโดยที่มือยังคงอยู่เบื้องหลัง

“ร่างเทพสงครามจันทรา”

แสงสีเงินส่องประกายออกจากร่างของอ้าวเยว่เทียนใสกระจ่างราวกับแก้ว

“เขาฝึกฝนเทพสงครามจันทราสำเร็จแล้วจริงๆ”

“ร่างเทพสงครามจันทราคือหนึ่งในท่าไม้ตายของวิชานี้”

เสียงอุทานดังขึ้นจากอีกสองสำนัก

เทพสงครามจันทรานั้นคือวิชาต้องห้าม และมันคล้ายคลึงกับมรดกเพราะมันได้รวบรวมทุกอย่างเอาไว้

ความเร็ว พลัง ป้องกัน การมีมรดกไม่ได้หมายความว่าคนผู้หนึ่งจะแข็งแกร่ง วิชาที่สั่นสะเทือนโลกาบางวิชาได้ทำให้คนผู้หนึ่งสามารถครอบครองโลกได้

ร่างเทพสงครามจันทรา!

ประกายแสงสีเงินฟาดฟันลงไปยังร่างของอ้าวเยว่เทียนแสงสีเงินที่สามารถตัดผ่าอาวุธชั้นมนุษย์ระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย ทำได้เพียงสร้างแรงกระเพื่อมเล็กๆ ได้ก่อนจะจางหายไป

แสงจันทร์ได้ส่องสว่างล้อมรอบร่างของอ้าวเยว่เทียนทำให้เขาเป็นราวกับเทพเจ้าที่เยื้องย่างลงมา

“เป็นวิชาที่พิเศษอันใดเช่นนี้ มันมีสำนึกรู้ของแสงจันทร์ รวมทั้งการป้องกันที่ยืดหยุ่น คล้ายคลึงกับ ‘มรดกธาราทมิฬ’ ของเป่ยม่อ”

จ้าวเฟิงถอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้

ภายใต้ความสามารถของตาข้างซ้าย ทำให้เขามองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน

นอกจากนั้น เด็กหนุ่มยังเห็นว่าอ้าวเยว่เทียนนั้นมีบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็นนั่นคือพลังแห่งสายเลือด

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถฝึกฝนวิชาต้องห้าม เทพสงครามจันทรา ได้

การเคลื่อนไหวของเหมาเฟยไม่อาจทำอันตรายต่ออ้าวเยว่เทียนได้แม้แต่น้อย

“ยอมแพ้เสียเถอะ”

อ้าวเยว่เทียนวาดมือของเขา ก่อนที่แสงจันทร์สีเงินยวงจะพุ่งออกจากฝ่ามือ แม้ว่ามันจะงดงามและสง่า แต่ความเสียหายที่มันสร้างนั้นกลับไม่อาจดูแคลนได้

ตูมมม

เหมาเฟยพลันกระเด็นออกไปด้วยแรงระเบิดนั้นพร้อมกระอักเลือดคำโต

ทุกคนเงียบงัน นิ่งอึ้ง

เขาแข็งแกร่งเกินไป

อ้าวเยว่เทียนนั้นราวกับร่างอวตารของเทพจันทราพลังโจมตีและพลังป้องกันของเขาอยู่ในจุดสูงสุด

“ใช้พลังสายเลือดของเขาในการใช้วิชาต้องห้าม ไม่แปลกใจเลยที่เขาจองหองได้เพียงนั้น”

ด้วยดวงตาซ้ายจ้าวเฟิงมองเห็นพลังในร่างของอ้าวเยว่เทียนที่เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ

โชคร้ายนักวิชาที่ต้องใช้พลังแห่งสายเลือดนั้น ถึงเขาจะสามารถใช้มันได้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะพัฒนาต่อไปอีกได้

นั่นเป็นเพราะพลังแห่งสายเลือดของโอวเยว่เทียนนั้นเป็นชนิดที่แตกต่างออกไปจากของเขา

เพียงกระบวนท่าเดียว เหมาเฟยก็พ่ายแพ้

เหล่าผู้ชมใช้เวลาชั่วครู่จึงจะได้สติจากความตื่นตะลึง และล้วนสูดลมหายใจเย็นเยียบ

ทันใดนั้น

หยางกานเดินขึ้นไปบนลาน ความกลัวไม่ปรากฏในแววตา แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ เขาก็จะใช้พลังทั้งหมดของเขา มีเพียงด้วยวิธีนี้เขาจึงจะสามารถพัฒนาได้

ดาบสวรรค์จันทร์เด่น

หยางกานวาดดาบโบราณสีทองของเขาที่ส่งกลิ่นอายทรงอำนาจออกมา สร้างชั้นคมดาบขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อเทียบกับยามที่ประลองกับเหมาเฟยหยางกานนั้นแข็งแกร่งกว่า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาได้ปกปิดความแข็งแกร่งของเขาก่อนหน้า หรือเป็นว่าความสามารถของเขาเพิ่งจะถูกรีดเค้นออกมา

ธารสวรรค์จันทร์เด่นพิโรธ!

การโจมตีของหยางกานลื่นไหลต่อเนื่อง กระทั่งทำให้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างบนร่างของอ้าวเยว่เทียนจืดจางลง

สีหน้าของฝ่ายหลังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ขณะที่เขาผายมือออก และโยนแสงที่มีลักษณะคล้ายดวงจันทร์ครึ่งดวงไปยังร่างของหยางกาน

เคร้งเคร้งเคร้ง

ประกายไฟปรากฏขึ้นจากดาบยาวของหยางกาน บีบบังคับให้ร่างของเขาล่าถอย

สามกระบวนท่าต่อมา

รอยเลือดจำนวนมากปรากฏขึ้นบนร่างของเขา

“ร่างเลียนแบบเทพจันทรา”

ร่างของอ้าวเยว่เทียนพร่าเลือน ก่อนที่ร่างสามร่างจะโจมตีหยางกานพร้อมกัน

พรวด!

หยางกานพลันกระอักโลหิตออกมาดาบตกลงบนพื้น

ฟุ่บ

ร่างทั้งสามกลับไปเป็นหนึ่งเดียว

“ที่แท้ร่างทั้งสามล้วนเป็นของจริง… เทพสงครามจันทรานับว่าทรงพลังโดยแท้”

หยางกานปาดเลือดออกจากริมฝีปากและยอมรับความพ่ายแพ้

หลังจากอ้าวเยว่เทียนชนะ เขาก็กวาดตามองศิษย์ที่เหลือ

ในยามนั้น เขาได้พิสูจน์แล้วว่าคำที่เขาเอ่ยก่อนหน้านั้นไม่ใช่คำโอ้อวด

ทุกคนต้องยอมรับว่าแม้ทั้งสองจะโจมตีพร้อมกัน อ้าวเยว่เทียนก็จะยังคงชนะ

“เขาที่ได้รับการเรียกขานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งในสามสำนักนับว่าถูกต้องโดยแท้”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ อ้าวเยว่เทียนมีสิทธิ์ที่จะเย่อหยิ่ง

ยามเมื่อคนผู้หนึ่งอยู่ในระดับของเขา งานสามสำนักย่อมไม่อยู่ในสายตา

จ้าวเฟิงวิเคราะห์ได้ว่าแม้ว่าเขาจะใช้พลังแห่งสายเลือดและมรดกอัสนี อย่างมากเขาก็ประลองกับอีกฝ่ายได้เพียงเสมอ

จะอย่างไรก็ตาม อ้าวเยว่เทียนเองก็มีพลังแห่งสายเลือด และได้ฝึกฝนวิชาต้องห้ามที่ทรงพลัง

ทว่าหากเพียงพลังฝึกตนของเด็กหนุ่มสูงขึ้นอีกเล็กน้อย และเข้าใจมรดกอัสนีกับเคล็ดพลังจิตมากขึ้น เขาอาจมีโอกาสชนะได้

“เหอะ เหอะหากไม่มีผู้ใดคัดค้าน เช่นนั้นการประลองก็สิ้นสุดแล้ว”

อ้าวเยว่เทียนกวาดตามองทั่วทั้งลาน

เป่ยม่อรู้สึกไม่เต็มใจ และตัดสินใจที่จะท้าประลองอีกฝ่าย เด็กหนุ่มหยิบ”เสื้อสีเขียวทอง”ที่เขาได้รับจากในการทดสอบออกมา

“หากมีผู้ใดต้องการที่จะสู้ ต่อไปเจอกันในงานสิบสามสำนักพันธมิตร”

อ้าวเยว่เทียนปฏิเสธที่จะสู้อีก

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาและการเอาชนะหยางกานและเหมาเฟยเขามีสิทธิที่จะปฏิเสธการประลองจริงๆ

“ข้าหยูเฟยขอคัดค้าน”

น้ำเสียงนุ่มนิ่มใสกระจ่างของเด็กสาวผู้หนึ่งดังขึ้น

ทุกคนจับจ้องไปยังต้นเสียง ก่อนจะพบว่าผู้พูดคือ ‘เทพธิดาหมอกม่วง’ จ้าวหยูเฟย

“โอ้? หยูเฟยเจ้ามีข้อคัดค้านอันใดหรือ?”

อ้าวเยว่เทียนเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ศิษย์พี่อ้าวจบการประลองเร็วเกินไป ข้ายังมิได้ต่อสู้อย่างจริงจังเลยสักครั้ง” จ้าวหยูเฟยเอ่ย

จ้าวหยูเฟยพูดอย่างใจกว้าง เสียงสั่นสะท้าน

“หรือหยูเฟยต้องการจะประลองกับข้า?”

หัวใจของอ้าวเยว่เทียนกระตุกก่อนที่เขาจะแย้มรอยยิ้มออกมา

เขาดูแคลนเกินกว่าจะประลองกับผู้อื่น แต่หากศิษย์น้องผู้นี้ต้องการจะประลองกับเขา เขาก็จะทำ

ในด้านของความงาม พรสวรรค์ และกลิ่นอาย จ้าวหยูเฟยคือสตรีในฝันของเขา

“ไม่ ข้าต้องการจะท้าประลองศิษย์พี่จ้าวเฟิง”

จ้าวหยูเฟยเอ่ยอย่างเยือกเย็นและเดินไปยังลาน

ท้าประลองจ้าวเฟิง?

เหล่าศิษย์ล้วนเบนสายตาไปมองเด็กหนุ่มผมครามตาเดียว

เด็กหนุ่มผู้นั้นลึกลับยิ่งนัก /เขามีอะไรที่พิเศษจนทำให้สาวงามแห่งสำนักวิญญาณจันทร์ต้องการท้าประลองกับเขา?

สีหน้าของอ้าวเยว่เทียนแข็งค้าง ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด สิ่งที่เขาทำมีเพียงการมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยดวงตาที่หรี่ลงเท่านั้น

“เหตุใดหยูเฟยจึงมีความคิดเช่นนี้?”

จ้าวเฟิงเดินออกมาพร้อมด้วยความสงสัยที่ระบายอยู่บนใบหน้า

ก่อนหน้ายามอยู่ที่ตระกูลจ้าวและตำหนักกว่างจวิ้น เขาได้ประลองกับนางหลายครั้งครา

“เป็นเวลานานนัก ศิษย์พี่จ้าวเฟิงทั้งทรงพลังและลึบลับ ฝังลึกอยู่ในใจของข้า หนึ่งปีก่อน ข้ามีเพียงความนับถือ ชื่นชม และจนใจ”

จ้าวหยูเฟยถอดถอนใจ ทว่าดวงตากลับส่องประกายไปด้วยจิตต่อสู้

จ้าวเฟิงชะงัก

เขารู้สึกได้ถึงจิตต่อสู้ที่เข้มข้นจากร่างของอีกฝ่าย

จิตใจของจ้าวหยูเฟยมีความรู้สึกซับซ้อน

หนึ่งปีก่อน หรือกระทั่งครึ่งปีก่อนก็ตามเด็กหนุ่มเบื้องหน้านางได้เอาชนะนางครั้งแล้วครั้งเล่า เขาได้บดขยี้ศักดิ์ศรีของนางมากเสีย

จนกระทั่งนางนับถือเขาชื่นชมเขาไม่เคยคิดอยากจะเอาชนะเลยสักครั้ง

“ในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้าเชื่อว่าข้ามีความกล้าที่จะท้าประลองทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ในวินาทีที่ข้าเห็นศิษย์พี่จ้าวเฟิง ข้าก็ตระหนักได้ว่าความรู้สึกอับจนนั้นยังคงอยู่ที่นั่น”

น้ำเสียงของจ้าวหยูเฟยพลันแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่นเล็กๆทว่าจิตต่อสู้ในแววตากลับรุนแรงขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้นอ้าวเยว่เทียนและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าครุ่นคิด

“เช่นนั้นดูเหมือนว่าข้าจะเป็นหนามแทงใจของเจ้าจนทำให้เจ้ามีความคิดที่อยากจะมีพลังเหนือข้า เพื่อที่จะนำหนามนั้นออก เจ้าต้องเอาชนะข้าให้ได้”

จ้าวเฟิงพูดอย่างเรียบง่ายทว่านับเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!