บทที่ 237 : อันดับหนึ่งในงานพันธมิตร (1)
สีหน้าของเหล่าคนจากวิหารโบราณพลันแปรเปลี่ยนไปในวินาทีที่หลินทงพ่ายแพ้
การปะทะกันระหว่างจ้าวเฟิงและหลินทงนั้นใช้เวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ และไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“วิชาเนตรลบสวรรค์” ของหลินทงมักจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยเพียง ‘หนึ่งการมอง’
แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับชางหยูเยว่ เขาก็ลำบากเพียงหนึ่งการมอง และแม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ การประลองก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยหนึ่งความคิด
ครานี้
หลินทงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และที่แย่ไปกว่านั้นคือถูกคู่ต่อสู้ทำให้พ่ายแพ้ในสิ่งที่ตัวเองถนัดเสียอีก
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังใช้เพียง ‘หนึ่งการมอง’ ในการเอาชนะเขา
“มันจะมีดวงตาที่มีพลังสายเลือดเช่นนั้นได้อย่างไร… เป็นแหล่งกำเนิดพลังจิตที่แข็งแกร่งอันใดเช่นนี้… เคล็ดวิชาลับได้ถูกลอกเลียนไปโดยคู่ต่อสู้…”
สติของหลินทงไม่ชัดเจน ราวกับว่าเขาไม่อาจยอมรับผลลัพธ์นั้นได้
ดวงตาจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสร้างความตื่นตะลึงให้แก่เขามากเสียเหลือเกิน
เพียงแค่หนึ่งการมองก็ได้ทำลายภาพลวงตาเนตรลบสวรรค์ของเขาลงจนหมดสิ้น และในเวลาไม่กี่ลมหายใจ อีกฝ่ายก็ได้ ‘ลอกเลียนแบบ’ เคล็ดวิชาของเขาไป
นอกจากนั้น คู่ต่อสู้ของเขายังมีความสามารถในการต่อต้านพลังจิตโจมตีได้เกือบสมบูรณ์ ทั้งสายเลือดที่เขาเคยภาคภูมิใจยังไม่อาจนับเป็นอันใดได้ต่อหน้ามัน
“จ้าวเฟิงชนะ!”
เมื่อได้ยินเสียงประกาศของผู้ตัดสิน หลินทงก็ราวกับฟื้นคืนสติ เขามองตรงไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาลึกล้ำ
ในรอบคัดเลือกที่เขาพบกับจ้าวเฟิง พลังสายเลือดจากดวงตาของเขารู้สึกเป็นกังวล คล้ายกับโดนสิ่งที่มองไม่เห็นกดทับอยู่
หลินทงนิ่งอึ้งไปในตอนนั้น และมันได้กระตุ้นความต้องการต่อสู้ในร่างของเขา
มีเพียงบัดนี้ที่หลินทงได้เข้าใจ ว่าความรู้สึกจากสายเลือดของเขานั้นไม่ผิดพลาด
สายตาหลายคู่จากฝูงชนได้จับจ้องตรงไปยังใบหน้าของจ้าวเฟิงขณะที่เด็กหนุ่มเดินออกจากลานประลอง
สายตาเหล่านั้นได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและระแวดระวังเสียเป็นส่วนมาก ทว่าบางส่วนกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและจิตสังหาร
“ข้าจะให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
สัญญาณอันตรายในหัวใจของผู้อาวุโสหยุนไห่ได้รุนแรงขึ้น
ตั้งแต่ยามที่การทดสอบยอดนภา จ้าวเฟิงได้เติบโตขึ้นทีล่ะก้าวอย่างน่าอัศจรรย์ และเริ่มสร้างแรงกดดันต่อเขา
และบัดนี้ จ้าวเฟิงได้เปิดเผยพรสวรรค์และพลังสายเลือดของเขาออกมา หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะเลวร้ายไปกว่านี้ก็เป็นได้
ในเวลาเดียวกัน
ผู้อาวุโสหยุนไห่ก็ตระหนักได้ว่าเขาถูกเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวหลอกมาโดยตลอด
อีกฝ่ายนั้นเยาว์วัยยิ่งนัก ทว่ากลับมีจิตใจที่แข็งแกร่งเพียงนั้น รู้จักการหลบซ่อนตนเองไว้ได้อย่างยาวนาน มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันจะสามารถทำได้
เมื่อคิดถึงยามนี้ หัวใจของผู้อาวุโสหยุนไห่นั้นกระทั่งเย็นเยียบยิ่งขึ้น
“พลังสายเลือดจากดวงตาของเด็กนั่นทรงพลังยิ่งนัก! มันเป็นตัวอันตรายสำหรับ ‘วิหารโบราณ’ ของเรา”
“หากเราไม่อาจใช้มันได้ เราก็ควรจะกำจัดมันเสีย”
เหล่าผู้อาวุโสแห่งวิหารโบราณเริ่มพูดคุยกัน
ประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงดีเยี่ยมนัก เขาสามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้จากพลังจิตใกล้เคียง
เด็กหนุ่มหัวเราะก่อนจะกวาดตามองเหล่าผู้ชม
ฟุ่บ!
หัวใจของเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมนั้นราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าที่กวาดมองพวกเขา
เหล่าผู้ที่มีความประสงค์ร้ายต่างก็มีความรู้สึกร้อนรน
ด้านสำนักดาบเมฆา
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะเอาชนะหลินทงได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น”
ชางหยูเยว่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพร้อมด้วยใบหน้าซีดขาว ดวงตาจับจ้องไปยังลานประลองอย่างตั้งใจ
เบื้องหลังนางคือผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามคนที่ได้ถ่ายเทปราณเข้าสู่ร่างของนาง
“หยูเยว่ได้เข้าใจเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบในวินาทีที่จิตใจของนางพังทลายลง ในเวลานั้น นางได้อ่อนแอยิ่งนัก และการตอบโต้สุดท้ายของหลินทงได้ทำให้นางบาดเจ็บ”
ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบเมฆาถอนหายใจ
“โชคดีที่เราได้ให้ยาจิตวิญญาณชะล้างใจที่ล้ำค่าแก่นาง ที่มันสามารถช่วยฟื้นฟูพลังจิตของนางได้เกือบทั้งหมด แต่ที่เป็นปัญหาคือจิตใจที่เกิดรอยแผลของนาง หากไม่รีบทำการฟื้นฟูโดยเร็วเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบของหยูเยว่อาจเกิดร้อยแตกร้าวได้”
จ้าวสำนักดาบเมฆาเป็นกังวล
ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายแก่ชางหยูเยว่ได้
ทว่าพลังจิตของหลินทงนั้นไม่ได้ต่อกรด้วยได้ง่ายนัก
จากคำของหลินทง ชางหยูเยว่ได้ถูกขังอยู่ภายในกรงภาพลวงตาเป็นเวลากว่ายี่สิบชั่วโมง ความเจ็บปวดที่นางได้รับนั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
ก่อนที่จิตใจของชางหยูเยว่จะพังทลายลงในช่วงสุดท้าย นางก็สัมผัสได้ถึงเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ ตอนนั้นสภาพจิตใจนางอ่อนแอมาก ทว่าก็ยังหาทางต่อต้านหลินทงได้สำเร็จ
“เมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบนั้นสำคัญเสียยิ่งกว่ายาจิตวิญญาณ พลังจิตของจ้าวเฟิงผู้นั้นกระทั่งน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าของหลินทง ข้าคิดว่าเราควรยอมแพ้ในการประลองของหยูเยว่กับจ้าวเฟิง”
“ไม่มีทาง สำนักดาบเมฆาคือสำนักอันดับหนึ่งในงานพันธมิตร เราจะสามารถละทิ้งเกียตริยศนี้ได้อย่างไร อีกทั้งหยูเยว่ก็คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน”
ชางหยูเยว่ได้รับเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบที่สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง เมื่อจะต่อกรกับพลังจิตของจ้าวเฟิงในครั้งนี้ หากนับรวมเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบเข้าไป พลังต่อสู้ของนางก็จะแข็งแกร่งกว่ารอบที่ผ่านมา ลำบากเพียงหนึ่งดาบก็สามารถตัดสินแพ้ชนะได้
ในยามนี้
สำนักดาบเมฆาได้โต้เถียงกันเอง
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าโอกาสที่ชางหยูเยว่จะชนะนั้นมีมากกว่า โดยที่มันมีโอกาสอย่างน้อยเจ็ดสิบในร้อยส่วน
นั่นเป็นเพราะความสามารถของจิตแห่งดาบที่สามารถตัดผ่าทุกสิ่งได้ ทั้งพลังจิตของหลินทงยังถูกลบหายไปด้วยมัน
ทว่าปัญหานั้นคือจิตใจของชางหยูเยว่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบยังต้องการเวลาในการสร้างสมดุล
หากเป็นเพียงคู่ต่อสู้ทั่วไป มันย่อมไม่เป็นปัญหา
ทว่าพลังจิตของจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจคาดคำนวณ และกระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหลินทงยังพ่ายแพ้แก่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวผู้นี้โดยง่าย
แม้ว่าชางหยูเยว่จะเข้าใจในเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ นางก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่เป็นปัญหา
“ท่านจ้าวสำนัก ท่านอาจารย์ ท่านผู้อาวุโส ข้าตัดสินใจแล้ว ในฐานะของผู้ฝึกดาบ คนสามารถทำได้เพียงมุ่งตรงไปข้างหน้า นอกจากนั้น มันยังเป็นความต้องการของข้าในการที่จะครอบครองอันดับหนึ่งในงานพันธมิตร”
ใบหน้าของชางหยูเยว่เด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
รังสีดาบของนางได้ทำให้ดาบใกล้เคียงต้องสั่นสะท้านเล็กๆ
ลานประลองสุดท้าย
การประลองได้ดำเนินต่อไป
หลังจากรอบที่แปด มันเหลือเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญ
อันดับสาม อันดับสี่ อันดับห้า… อันดับเหล่านี้แทบจะได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้ว
สิ่งเดียวที่ทุกคนต้องการรู้นั้นคือผู้ใดจะทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่ง
อันดับหนึ่งในงานพันธมิตร
มันเป็นตำแหน่งที่น่ายกย่องไม่ว่าเป็นสำนักใดในสิบสามสำนัก
สำหรับคนผู้หนึ่ง มันเป็นวินาทีที่จะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ นับเป็นสิ่งที่เป็นเกียรติอย่างมาก
ชางหยูเยว่และจ้าวเฟิง ผู้ใดจะได้ครองอันดับหนึ่ง
หัวข้อนี้ได้ถูกโต้เถียงกันบ่อยครั้งในบรรดาสิบสามสำนัก
“โอกาสชนะของชางหยูเยว่นั้นมากกว่า ในเมื่อนางสามารถทำความเข้าใจเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบได้แล้ว ไม่มีผู้ใดในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามารถต่อต้านหนึ่งดาบของนางได้”
“แต่ชางหยูเยว่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บหลังจากประลองกับหลินทง หรือมิเช่นนั้นทำไมผู้อาวุโสสามคนจึงต้องลงมือรักษานาง?”
“พลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงนั้นยังไม่อาจยืนยันได้ ข้าคิดว่าการประลองสามารถเป็นไปได้ทั้งสองทิศทาง…”
แม้ว่าการประลองจะยังคงดำเนินต่อไป คนส่วนมากกลับสนใจเพียงแค่อันดับหนึ่ง
ในที่สุด
การประลองรอบที่สิบ งานพันธมิตรก็มาถึงรอบการประลองที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“ชางหยูเยว่ ปะทะ จ้าวเฟิง”
เหล่าผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและเหล่าศิษย์ตัวแทนทั้งหมดล้วนคาดหวังในการประลองนี้
จ้าวเฟิงเดินออกไปยังลานประลองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ชางหยูเยว่เชื่องช้ากว่าเล็กน้อย นางเดินมาจากศาลาผู้ชม ดูเหมือนว่าฟื้นฟูขึ้นแล้ว ประกายจิตแห่งดาบปรากฏขึ้นในแววตาของนาง ทำให้ผู้อื่นไม่อาจมองเข้าไปในดวงตาของนางตรงๆ ได้
ชางหยูเยว่ได้เข้าใจเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ สายตาที่จับจ้องนางสามารถทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับได้
หมายความว่าหนึ่งการมองของนางสามารถทำลายความมั่นใจและจิตต่อสู้ของผู้ฝึกตนในนภาที่หกและเจ็ดได้
จากสิ่งนี้ก็สามารถเห็นได้แล้วว่าจิตแห่งดาบนั้นทรงพลังเพียงใด
จิตแห่งดาบนั้นได้ประกอบไปด้วยความเชื่อมั่นในจิตของดาบ และพลังนี้จะถูกแสดงออกด้วยพลังจิตที่สามารถทำลายทุกสิ่งได้
ยามเมื่อชางหยูเยว่เดินขึ้นไปบนลานประลอง รังสีจิตแห่งดาบของนางก็ได้ควบรวมกันจนถึงจุดสูงสุด
มันเป็นความเชื่อมั่นในการที่จะตัดผ่าทุกสิ่งและมุ่งตรงไปเบื้องหน้า
สิ่งที่แปลกประหลาดนั้นคือเมื่อจ้าวเฟิงและชางหยูเยว่ขึ้นมายังลานประลองต่างก็ไม่ได้ต่อสู้กันในทันที
หลังจากประลองกับหลินทง ชางหยูเยว่เข้าใจว่าการโจมตีพลังจิตนั้นรวดเร็วกว่าการโจมตีทางกายภาพ
นอกจากนั้น เมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบของนางยังสามารถใช้ได้เพียงเมื่อพลังจิตโจมตีของจ้าวเฟิงปรากฏออกมา ซึ่งจากนั้นนางจะป้องกันมันและจบการต่อสู้ลงด้วยหนึ่งดาบ
“ชางหยูเยว่ อาการบาดเจ็บทางจิตใจของเจ้ายังฟื้นฟูไม่เต็มที่ ภายใต้จิตใจที่ไม่มั่นคง เมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบของเจ้าจะไม่มั่นคง ซึ่งนับเป็นเรื่องร้ายแรง”
จ้าวเฟิงยืนมือไพล่พลัง รอยยิ้มระบายบนใบหน้า
เขาไม่ได้โจมตีในทันที
ดวงตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปในดวงตาของคู่ต่อสู้
แม้ว่านางจะเข้าใจใจเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ จิตใจของนางก็ยังคงสั่นสะท้านเมื่อนางมองไปยังเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของอีกฝ่าย
มันเป็นดวงตาที่ดูราวกับสามารถมองเห็นทุกสิ่งบนโลกใบนี้
ดวงตานี้ได้สร้างแรงกดดันให้แก่นางมากกว่าเนตรลบสวรรค์ของหลินทงหลายเท่าตัวนัก
โลหิตของชางหยูเยว่เหนียวหนืด มันเป็นเพราะนางไม่มีพลังแห่งสายเลือด และนี่คือข้อเสียเปรียบของนาง
“แล้วอย่างไร? แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าก็เชื่อว่าข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ในหนึ่งดาบ”
รังสีดาบของชางหยูเยว่รุนแรงขึ้น ดาบสีเขียวของนางสั่นสะท้านเล็กๆ
มันเป็นความเชื่อที่ว่านางจะสามารถเอาชนะได้ด้วยหนึ่งดาบ
หลังจากเข้าใจในเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ พลังของชางหยูเยว่ก็ได้เพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ
ในบรรดาศิษย์จากทั้งสิบสามสำนัก ไม่มีผู้ใดสามารถป้องกันดาบของนางได้อย่างมั่นใจ รวมทั้งจ้าวเฟิง
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายข้าได้ตั้งแต่ยามเริ่มงานพันธมิตรขึ้น กระทั่งหลินทงยังพ่ายแพ้ให้แก่ข้าโดยง่ายดายในขณะที่เจ้าสามารถเอาชนะเขาได้อย่างกล้ำกลืน สุดท้ายก็ยังบาดเจ็บเสียอีก”
จิตต่อสู้ของจ้าวเฟิงไหล่บ่าออกจากร่าง
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มส่องประกายวาบด้วยแสงสีเขียวคราม แปรเปลี่ยนเป็นแหลมคม ราวกับว่าเขาคือราชาที่กวาดตามองผู้อื่น
“แล้วอย่างไร?”
ชางหยูเยว่พบว่าความเชื่อมั่นและมั่นใจของอีกฝ่ายกำลังเพิ่มสูงขึ้น และมันได้ปะทะเข้ากับเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบของนาง
“เจ้าทำในสิ่งที่ข้าทำไม่ได้ นั่นคือเจ้าได้มีข้อบกพร่องที่ร้ายแรง ”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
ชางหยูเยว่หยุดชะงัก ทว่าจากนั้นนางก็หัวเราะออกมาอย่างหยามเหยียด
ทว่าคำพูดต่อมาของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกลับทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้าน
“พลังทั้งหมดของเจ้าสามารถมองเห็นได้ด้วยดวงตาของข้า ทว่าเจ้ากลับไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับพลังที่แท้จริงและวิธีการของข้าแม้แต่น้อย”
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงส่องประกายแสงสีเขียวคราม ทุกคำพูด ทุกน้ำเสียง และทุกลมหายใจได้ปรากฏพลังแปลกประหลาดขึ้นประการหนึ่ง
ภายใต้การจับจ้องของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า ร่างของชางหยูเยว่แข็งเกร็งขึ้น
นางรู้สึกราวกับว่าทุกความลับของนางได้ถูกเปิดเผยออก และมันเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้นางไม่ฟาดฟันออกไปในเสี้ยววินาทีที่การประลองเริ่มต้นขึ้น
“หยูเยว่ อย่าได้สนใจคำของเขา เขาพยายามที่จะทำลายจุดอ่อนในใจของเจ้า”
“อย่าฟังเขา เพียงหนึ่งดาบของเจ้าที่ฟาดฟันออกไป จงเอาชนะเขาด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่อาจเทียบเคียงได้ของเจ้า”
ผู้อาวุโสจากสำนักดาบเมฆามีความกระวนกระวายอยู่บ้าง