Skip to content

King of Gods 253

King Of Gods

บทที่ 253 : ถึงฝั่ง

เด็กสาวชุดฟ้ามีสายตาอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร

ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่รอบๆ รู้สึกสงสารขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ต่างเข้าไปโน้มน้าวจ้าวเฟิงให้ขายแมวขโมยตัวน้อยให้กับเด็กสาวเสีย

“ราคาพันล้านผลึกเริ่มต้น”

จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ

หมัดของเด็กหนุ่มชุดดำกำแน่น ดวงตาวาวโรจน์จับจ้องไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว หากมิใช่ว่ายามนี้พวกเขาอยู่บนเรือ มันย่อมเกิดการต่อสู้ขึ้นไปแล้ว

จ้าวเฟิงเสนอราคาเช่นนี้ชัดเจนแล้วว่าเขาไม่มีความคิดที่จะซื้อขายใดๆ จึงได้ล้อเล่นแบบนี้

“ถิงเอ๋อร์ รอจนกว่าเราข้ามสายธารกราดเกรี้ยวไปและเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์อาณาจักรนภา เดี๋ยวลุงหลิวคนนี้จะซื้อแมวแบบเดียวกันให้กับเจ้า”

ชายสองคนเบื้องหลังชายชราในชุดผ้าฝ้ายหัวเราะขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยมีสายตาเหยียดหยาม แสดงท่าทีว่าต่อให้หาทั่วทั้งแดนดินก็มิอาจค้นหาแมวแบบมันพบได้

“มันกำลังบอกว่าแมวเช่นมันพิเศษและตัวอื่นไม่อาจเทียบกับมันได้?”

คนที่อยู่ข้างๆ เข้าใจในความหมายของมันอย่างคาดไม่ถึง

หนึ่งเดียว ไม่เป็นสองรองใคร

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยผงกศีรษะอย่างภาคภูมิใจ ตอบรับคำกล่าวของผู้คน

ผู้คนต่างนิ่งอึ้ง สีหน้าปรากฏความชื่นชม ในโลกใบนี้กลับปรากฏแมวที่คล้ายคลึงมนุษย์เช่นนี้อยู่ สติปัญญาระดับนี้นับว่าเทียบเท่าได้กับสัตว์ปีศาจประเภทจิ้งจอกเลยทีเดียว

“ท่านลุงหลิว มันบอกว่ามันพิเศษและหาสิ่งใดเทียบมิได้ ท่านบอกว่าท่านจะซื้อแบบเดียวกันให้กับถิงเอ๋อร์”

เด็กสาวชุดฟ้าเบ้ปาก มองไปยังแมวขโมยตัวน้อยอย่างไม่ยินยอม ไม่อยากจะเดินจากไปด้วยความดื้อรั้น

ชายชราชุดผ้าฝ้ายรู้สึกจนใจยิ่งนัก เด็กหนุ่มชุดดำมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่พอใจโดยไม่ปกปิดความไม่เป็นมิตรของตน

จ้าวเฟิงนั้นกลายเป็นไร้คำพูดไป ในเวลาเพียงครึ่งวันตัวเขากลับได้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่คนไปถึงสองกลุ่มเสียแล้ว

คนกลุ่มก่อนหน้าต้องการที่จะซื้อนางแอ่นมรกตของเด็กหนุ่ม หลังจากที่ถูกปฏิเสธย่อมเกิดความไม่เป็นมิตร

คนกลุ่มนี้ต้องการที่จะซื้อแมวขโมยตัวน้อย ทว่าเมื่อซื้อไม่ไหวก็กลับกลายเป็นศัตรูไปอย่างคาดไม่ถึง

เฮ้อ เช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

จ้าวเฟิงสั่นศีรษะอย่างจนใจ ทว่าเมื่อคิดวิเคราะห์แล้ว คนเหล่านี้ล้วนคิดว่าตัวเขานั้นง่ายต่อการถูกกลั่นแกล้ง

เขามีเพียงตัวคนเดียว พลังฝึกตนก็ไม่มากมาย ทั้งยังเพิ่งเดินทางมาที่อาณาจักรนภาอีก ทุกคนต่างมองเขาเป็นเพียงเด็กบ้านนอกผู้หนึ่ง คงคิดว่าถูกรังแกได้ง่ายดาย

เรือข้ามนภาแล่นผ่านคลื่นรุนแรงไปอย่างเชื่องช้า

จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบจากเด็กหนุ่มผมเงินฉีจิ่วและฮุยเหมาอิงได้

ในอีกฝั่งหนึ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดดำปรากฏความรู้สึกอับอายที่เกิดขึ้นจากจ้าวเฟิง และต้องการแก้แค้นแทนเด็กสาวชุดฟ้า

พวกพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงดวงตาส่องประกายวาววับ ทว่าไม่อ่านอาจความหมายของแววตาพวกนั้นได้

“หลังจากที่ลงจากเรือ หากคนสองกลุ่มนี้ร่วมมือกันโจมตี…”

ใจของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน

มิต้องเอ่ยถึงผู้อื่นเลย เพียงเด็กหนุ่มผมเงินก็แทบจะอยู่ในระดับเดียวกับชางหยูเยว่แล้ว

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดควรเป็นชายชราในชุดผ้าฝ้าย ปราณครึ่งจิตวิญญาณแท้ในร่างของชายชราเริ่มที่จะก่อตัวขึ้น แม้จะเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็สามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง

แน่นอน

จ้าวเฟิงคิดต่อ หากอาศัยความเร็วอันเป็นข้อได้เปรียบของผ้าคลุมเงาหยินและมรดกอัสนี เขาย่อมสามารถหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย

“น้องชาย ข้าตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานมีชื่อเสียงอันดี ย่อมไม่มีการบังคับซื้อขายด้วยกำลัง ทว่าข้าไม่ยืนยันว่าคนอื่นๆ จะกระทำเช่นนั้นหรือไม่ หากน้องชายไม่รังเกียจ เจ้าสามารถเดินทางไปกับพวกเราทั้งสามได้”

ชายแก่ในชุดผ้าฝ้ายเอ่ยขึ้น

หัวใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก

ชายชราชุดผ้าฝ้ายรับรู้ได้ถึงสถานการณ์อันไม่สู้ดีของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจึงหยิบยื่นโอกาสให้ หากสามารถช่วยเหลือจ้าวเฟิงได้อีกฝ่ายย่อมติดหนี้บุญคุณ จำต้องชดใช้คืน

หากยามนั้นเอ่ยขอซื้อแมวตัวนั้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มย่อมไม่อาจปฏิเสธได้

จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

เขาไม่ได้กลัวคนสองกลุ่มนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ศัตรูกัน แต่การหลบหนีเป็นเรื่องง่ายดาย

หากแต่ว่า…. ‘ตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลาน’ คือคำใบ้

ก่อนหน้า ใกล้เขตอาณาจักรนภา จ้าวเฟิงไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสภาพแวดล้อม เขาไม่มั่นใจว่าเป้าหมายของเขาคือตระกูลหลิวนี้หรือไม่

“เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร หลังจากที่ลงจากเรือ ข้าจะเดินทางร่วมกับพวกท่านทั้งสาม พวกท่านต้องยืนยันความปลอดภัยของข้า สำหรับเรื่องการแลกเปลี่ยน หากแมวขโมยตัวน้อยยินยอมไปกับพวกท่าน จ้าวผู้นี้ย่อมไม่อาจหยุดมันได้”

จ้าวเฟิงตอบกลับ

“ตกลงตามนี้”

ชายชราในชุดผ้าฝ้ายมีสีหน้ายินดี เต็มไปด้วยความมั่นใจในทันที

เบื้องหลังพวกเขาคือตระกูลอันยิ่งใหญ่ มีทรัพยากรจำนวนมหาศาล แมวขโมยตัวน้อยนั่นฉลาด หากพวกเขามอบการดูแลที่ดีกว่าให้ เขาเชื่อว่ามันย่อมเลือกที่พักพิงที่ดีกว่า

หลังจากที่ชายชราในชุดผ้าฝ้ายกับจ้าวเฟิงตกลงกันแล้ว เขาก็ส่งสัญญาณไปที่เด็กสาวชุดฟ้าและเด็กหนุ่มชุดดำ

“เยี่ยมไปเลย สมกับเป็นท่านลุงหลิว ทำได้สำเร็จแล้ว”

เด็กสาวชุดฟ้ายินดีอย่างมาก รู้สึกราวกับว่าแมวขโมยตัวน้อยได้กลายเป็นของนางแล้ว

เด็กหนุ่มชุดดำเค้นเสียงเล็กๆ ความไม่เป็นมิตรบนใบหน้าลดลงไปเล็กน้อย ทว่ายังคงไม่ละสายตามุ่งร้ายออกไปจากจ้าวเฟิง

เมื่อใช้แมวขโมยตัวน้อยเป็นสัญญา จ้าวเฟิงจึงรู้จักคนแห่งตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานอย่างรวดเร็ว

ชายชราในชุดผ้าฝ้ายนั้น หลายคนเรียกเขาว่า ‘ท่านลุงหลิว’ เป็นผู้อาวุโสของตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลาน

เด็กสาวชุดฟ้านั้นนามหลิวถิงยวี่ เป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่โดดเด่นของตระกูลหลิว ทว่าเมื่อจ้าวเฟิงดูจากความตามใจของท่านลุงหลิวแล้ว สถานะของนางย่อมไม่ธรรมดาเช่นฉากหน้า

สุดท้ายคือเด็กหนุ่มชุดดำนามหลิวตง เขาชื่นชมหลิวถิงยวี่ เป็นเหมือนองค์รักษ์ที่คอยคุ้มกันนาง

จ้าวเฟิงค้นพบและเข้าใจอย่างชัดเจนถึงสถานะพื้นเพของทั้งสามอย่างง่ายดาย

Emine

ตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานในอาณาจักรนภานั้นเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ เทียบเท่าได้กับตระกูลจ้าวในเมืองประกายอรุณ

ทว่าแม้จะเป็นตระกูลเล็กๆ ก็ยังมีผู้อาวุโสที่มีพลังฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอยู่ด้วย

แสดงว่าพลังฝึกตนของคนจากอาณาจักรนภานั้นเหนือกว่าสิบสามแคว้นเป็นเท่าตัวโดยสมบูรณ์

จากคนของตระกูลเล็กๆ เช่นจ้าวเฟิงเข้ามาในเมืองที่ก้าวล้ำกว่า การถูกมองว่าเป็นเด็กบ้านนอกก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก

ฮิ ฮิ

หลิวถิงยวี่นำของว่างที่นางชอบให้เป็นอาหารแก่แมวขโมยตัวน้อย

ความตะกละของแมวขโมยตัวน้อยนั้นมากมายนัก อาหารทั่วไปที่ชอบก็ไม่ยอมกิน ทว่าเมื่อหลิวถิงยวี่มอบผลึกเริ่มต้นและยาจิตวิญญาณล้ำค่าจำนวนหนึ่งให้กับมัน ดวงตาของมันก็ส่องประกาย กระโดดแผ่วไปยังกลิ่นที่โชยมาในทันที

ท่านลุงหลิวยิ้มออกมาทันที เขาพบว่าเจ้าแมวตัวนี้ชอบกินและรักในทรัพย์สมบัติ หากจะนำมันมาจากจ้าวเฟิงนับว่าไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

เพื่อไม่ให้เสียเวลาจ้าวเฟิงจึงใช้โอกาสนี้สอบถามคนตระกูลหลิวทั้งสามถึงสถานการณ์ในตระกูลหลิว

“ข้าขอถามท่านลุงหลิวได้หรือไม่ว่าในตระกูลหลิวของท่านมีคนที่นามว่าฉินซินหรือไม่?”

จ้าวเฟิงสอบถาม

ข้าเดินทางมาที่นี่เพราะว่าอาจารย์ของข้าให้ตามหาคนผู้นี้

ภารกิจนี้สำคัญกับข้ายิ่งนัก กระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของเรา สิบสามแคว้น ได้

“หลิวฉินซิน? หากเป็นตระกูลหลิวของพวกเรา ผู้ที่มีนามหลิวฉินซินนั้นไม่ได้มีเพียงคนเดียว”

ท่านลุงหลิวส่ายศีรษะ

ผู้คนที่มีชื่อและสกุลเดียวกันนั้นมีมากมายนัก มิต้องเอ่ยถึงดินแดนที่กว้างใหญ่เช่นอาณาจักรนภาเลย

กระทั่งในตระกูลจ้าวก็มีคนที่ใช้ชื่อและสกุลเดียวกับเด็กหนุ่มมากกว่าหนึ่ง

“ในอาณาจักรนภา ในบรรดาสี่ตระกูลแล้ว มีหัวหน้าตระกูลของเรา ทว่ามันยังมีตระกูลย่อยและตระกูลสาขาอีก เท่าที่ข้ารู้ ภายใต้การปกครองของท่านหัวหน้าตระกูล มันมีตระกูลย่อยเจ็ดตระกูล ส่วนตระกูลสาขานั้นมีนับร้อย…”

ท่านลุงหลิวเอ่ยตอบ

จ้าวเฟิงอ้าปากกระดกลิ้นไม่ทันตั้งตัว

ตระกูลหลิวเป็นแค่หนึ่งในเจ็ดตระกูลย่อย

ภายใต้ตระกูลย่อยนั้นยังมีตระกูลสาขาอีกจำนวนมาก

ตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานก็เป็นหนึ่งในนั้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของจ้าวเฟิงก็สั่นสะท้าน มันมิยากที่จะจินตนาการได้ว่าตระกูลหลิวนั้นหยั่งรากลึกในอาณาจักรนภายิ่งนัก มีอำนาจมหาศาล

บางที ในระดับของตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานก็อาจยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเกี่ยวข้องกับหัวหน้าตระกูลหลิว

มีเพียงเจ็ดตระกูลย่อยที่แข็งแกร่ง และมีประวัติเป็นมายาวนานกว่าพันปีเท่านั้นที่จะสามารถเข้าพบกับหัวหน้าตระกูลหลิวได้

คนตระกูลหลิวที่เราต้องการหาอยู่ในตระกูลหลัก ตระกูลย่อย หรือตระกูลสาขากันแน่?

จ้าวเฟิงรู้สึกปวดหัวขึ้นในทันที

ภารกิจที่สองเป็นเพียงการส่งจดหมาย เขาคิดว่ามันเป็นงานที่ง่ายดาย มิคาดว่าสถานการณ์จะซับซ้อนยิ่งนัก

เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ในปัจจุบัน หัวหน้าตระกูลหลิวอาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“หวังว่าจะตระกูลหลิวนี้จะเป็นตระกูลย่อยและมีสถานะอยู่ในระดับหนึ่ง หากมันเป็นตระกูลสาขา เช่นนั้นก็นับว่าเป็นปัญหาแล้ว…”

คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดแน่น

ตระกูลหลิวที่เป็นตระกูลย่อยมีทั้งหมดเจ็ดตระกูลที่มีอำนาจ บางตระกูลกระทั่งเป็นมหามหาอำนาจเลยก็ว่าได้

หากเป็นตระกูลสาขา ก็นับว่ามากเกินไป มันมีตั้งนับร้อยตระกูล

จ้าวเฟิงไม่รู้ว่ายามที่เขาและท่านลุงหลิวเอ่ยถึง ‘หลิวฉินซิน’ คำสามคำนั้นขึ้น ดวงตาของบุคคลในชุดสีทองก็พลันปรากฏความประหลาดใจขึ้น

“หลิวฉิวซิน? อย่าได้บอกข้าว่าเป็นคนผู้นั้น…. มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่มีชื่อและนามสกุลเดียวกันมีมากมายนัก”

บุคคลในชุดทองสูดลมหายใจลึก สั่นศีรษะอย่างแรง

ผู้คนที่มีนามและสกุลเดียวกันมีมากมายเกินไป บุคคลชุดทองแย้มยิ้ม

เรือข้ามนภาแล่นฝ่าคลื่นกราดเกรี้ยวไปอย่างเชื่องช้า

เวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นาน เวลาแค่เจ็ดถึงแปดวันก็ผ่านไป

ในที่สุดเรือข้ามนภาก็ไปถึงยังฝั่ง

แม่น้ำฝั่งตรงข้ามนั้นปรากฏเทือกเขางดงามและแม่น้ำขึ้น ภาพนั้นงดงามตราตรึงใจนัก

จ้าวเฟิงมองห่างออกไป ลุ่มหลงในสิ่งที่เห็นยิ่งนัก

“แม่น้ำฝั่งตรงข้ามนี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรนภาอย่างนั้นหรือ?”

ดวงตางดงามของหลิวถิงยวี่เบิกกว้างให้กับภาพงามล้ำ ฝ่ามือขาวอมชมพูกำแน่น ตกลงในภวังค์ความงดงามของดินแดนนี้

ทิศใต้ของสายธารกราดเกรี้ยวเป็นเพียงชายขอบของอาณาจักรนภา มีเพียงการข้ามแม่น้ำไปเท่านั้นจึงจะเป็นการเข้าสู่อาณาจักรนภาที่แท้จริง

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของสายธารกราดเกรี้ยวได้บางเบา ราวกับว่าการฉีกกระชากพื้นดินเป็นเพียงเรื่องทั่วไป

“ฝั่งตรงข้ามของสายธารกราดเกรี้ยว ไอสวรรค์มีมากมายกว่าหลายเท่านัก เทียบกับสิบสามแคว้นแล้วนับว่ามากกว่านับสิบเท่า”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก ไม่อาจที่จะคาดเดาความแข็งแกร่งของดินแดนนี้ได้

“สายธารกราดเกรี้ยวเป็นแม่น้ำที่ลึกลับยิ่งนัก มันเกิดจากหนึ่งในสี่มหามรดก มรดกความลับสวรรค์ เมื่อหมื่นปีก่อน ก่อให้เกิดเป็นแม่น้ำขึ้นที่ทิศเหนือของแผ่นดินใหญ่ ถูกเรียกขานว่า ‘สายธารกราดเกรี้ยว’ ”

ท่านลุงหลิวได้ด้วยน้ำเสียงราวกับกับเล่านิทาน

“มรดกความลับสวรรค์? เมื่อเทียบกับ ‘มรดกจันทราชาด’ แล้วนับว่าแข็งแกร่งกว่าหรือไม่?”

หลิวถิงยวี่สีหน้าสนใจและอยากรู้

สี่มหามรดกของทวีปแห่งนี้ มรดกจันทราชาดนับเป็นอันดับสาม เมื่อหลายร้อยปีก่อน มรดกนี้ได้ทำให้ผู้นำลัทธิมารจันทราชาดประสบความสำเร็จอย่างน่าหวาดกลัว

“มรดกความลับสวรรค์นั้น ในทั้งสี่มรดกนับว่าเก่าแก่ที่สุด ลึกลับที่สุด ความเป็นมาไม่ชัดเจน ข้อมูลของมันมีเพียงน้อยนิด ทั้งยังไม่มีบันทึกอยู่ในตำราโบราณมากนัก”

ท่านลุงหลิวเผยรอยยิ้มบาง

ในประวัติศาสตร์นั้น บันทึกเกี่ยวกับ ‘มรดกความลับสวรรค์’ นั้นมีน้อยยิ่งนัก ที่ชัดเจนที่สุดก็ยังยากที่จะตีความ ทว่ามันคือมรดกที่เก่าแก่ที่สุด ทั้งยังลึกลับที่สุดอย่างแท้จริง

บุคคลในชุดทองได้เอ่ยพูดขึ้นอย่างกะทันหัน

“มันก็เพียงแค่นิทานที่ทำให้คนหัวเราะเท่านั้น อย่าได้ไปจริงจังมากนัก”

ยามนั้นเรือข้ามนภาได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ฝั่ง

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

คนที่ออกจากเรือข้ามนภารวดเร็วที่สุดย่อมเป็นบุคคลในชุดทอง ร่างของเขาปรากฏประกายวาบทะลวงผ่านเมฆา หายไปโดยไร้ร่องรอย

“เจ้าเด็กผมเขียว เจ้ามิคิดที่จะขายนางแอ่นมรกตจริงๆ หรือ?”

ชายวัยกลางคนนามฮุยเหมาอิงนำคนสองคนเคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างของจ้าวเฟิงอย่างเชื่องช้า

นอกจากนั้น อีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มผมเงินนามฉีจิ่วมุมปากยังปรากฏรอยยิ้มยั่วเย้า ปรากฏความมุ่งร้ายขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!