Skip to content

King of Gods 287

King Of Gods

บทที่ 287 : เข้าสู่สุสาน

ความจริงได้ปรากฏขึ้นในยามนี้

ประตูทั้งสี่ด้าน มีเพียงสามบานที่มีรอยฝ่ามือปรากฏอยู่

ทั้งรอยฝ่ามือทั้งสามนั้นยังเป็นรอยฝ่ามือของจ้าวเฟิง ปี้เฉี่ยวยู่ และผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวพอดี

ยามเมื่อเข้ามายังปากทางเข้านั้น มีเพียงสามคนนี้เท่านั้นที่ใช้มือสัมผัสแผ่นหินที่แตกร้าวนั่น

“กลไกของของถ้ำลับสายธารจันทราช่างแยบยลเสียจริง”

จ้าวเฟิงอดที่จะชื่นชมไม่ได้

เขาเป็นคนแรกที่ล่วงรู้ความลับนี้ ทั้งการกระทำยังรวดเร็วที่สุด

พรึบ

จ้าวเฟิงขยับตัวอย่างไหลลื่นพร้อมกับเงาเสียงครืนครางของอัสนี ตรงไปยังประตูที่มีรอยฝ่ามือที่ตรงกับของเขา

การกระทำของเขาได้ดึงดูดความสนใจจากทั้งสองฝ่าย

“ขัดขวางเขาไว้”

“ตัดมือของเขาออกมา”

ฉานเซว่ตูอิงและผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวดวงตาส่องประกายวาบ พุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง

ประตูที่เป็นรอยฝ่ามือของจ้าวเฟิงนั้นอยู่ใจกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายพอดี

“อย่าให้กุญแจดอกนั้นตกอยู่ในมือของพวกโจรสลัดได้”

นายท่านปี้ใจหายวาบ ปราณจิตวิญญาณในร่างพุ่งพล่าน พุ่งไปยังจ้าวเฟิง

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถครอบครองกุญแจของจ้าวเฟิงได้ เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ฝ่ายโจรสลัดได้ไปเช่นกัน

ฟุ่บ

จ้าวเฟิงระมัดระวัง ไม่หวาดกลัวต่อสถานการณ์วิกฤต ใช้ฝ่ามือของตนวางลงบนรอยฝ่ามือบนประตูทองสัมฤทธิ์นั่น

ครึกครึก—-

ประตูทองสัมฤทธิ์ปรากฏคลื่นแสงน้ำเงินเข้มราวสายน้ำออกมา โอบล้อมร่างของเด็กหนุ่ม

แสงสีน้ำเงินเข้มนั้นได้สร้างแรงดึงดูดมหาศาล ดึงจ้าวเฟิงเข้าไปภายในโลงศพจื่อถงทันที

ต่อมา

ฉานเซว่ตูอิงและนายท่านปี้ที่ตามมาถึงทีหลัง ยืนหยัดเข้าปะทะกัน คลื่นปราณจิตวิญญาณแท้เมื่อกวาดผ่านแสงสีน้ำเงินเข้มนั้นได้ถูกหลอมละลายลง

ปัง

ทันทีที่ประตูทองสัมฤทธิ์ปิดลง แสงสีน้ำเงินเข้มนั้นก็ได้จางหายไปทันที

ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถ ทว่ากลับคว้าน้ำเหลว

ไม่ว่าจะเป็นฉานเซว่ตูอิงหรือนายท่านปี้ต่างก็ปรากฏสีหน้าอับอายขึ้นมา

“ต้องอยู่ที่หน้าประตูและต้องเข้าไปก่อนที่แสงสีน้ำเงินเข้มนั่นจะหายไป”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวกล่าวขึ้นอย่างลังเล

เมื่อครู่ ร่างของจ้าวเฟิงได้สัมผัสกับคลื่นแสงสีน้ำเงินเข้มนั้นและถูกดึงเข้าไป

เพียงแต่ว่า

ช่วงเวลาที่แสงสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นสั้นนัก เพียงราวหนึ่งลมหายใจ

ระยะเวลาสั้นเพียงนี้ คนที่สามารถเข้าไปได้ย่อมมีจำนวนน้อยนัก

“โลงศพจื่อถงมีประตูสี่บาน แต่มีเพียงสามบานที่มีรอยฝ่ามือ นั่นหมายความว่าต้องส่งอีกคนกลับไป…”

ฉานเซว่ตูอิงและผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวสบตา สื่อสารข้อความบางอย่าง

นายท่านปี้พลันคิดได้เช่นกัน ในประตูสี่บานยังมีอีกหนึ่งบานที่ยังไม่มีรอยฝ่ามือ

หากคนคนหนึ่งกลับไปสัมผัสแผ่นหินที่แตกร้าวนั่น ย่อมสามารถสร้าง “กุญแจ” อีกดอกได้

ทว่าทางที่กลับไปนั้นเต็มไปด้วยกับดักกลไก น่าหวาดกลัวนัก ต่อให้เป็นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก

ทว่า ในยามนี้

วิ้งง

ประตูบานที่สี่ส่องประกาย สั่นสะท้านส่งเสียงออกมาเล็กๆ ปรากฏรอยฝ่ามือเพรียวบางทรงพลังขึ้นรอยหนึ่ง

“ไม่ดีแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีผู้อื่นบุกเข้ามาในถ้ำลับสายธารจันทราได้แล้ว”

ฝ่ายโจรสลัดและป้อมเหิงฉุ่ยสีหน้าย่ำแย่ลง

เรื่องของสมบัติสายธารจันทรานั้นมีเพียงเหล่าโจรสลัดโลหิตคลั่งและป้อมเหิงฉุ่ยที่พูดคุยตกลงกัน

แต่บัดนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว

นอกจากทั้งสองฝ่ายแล้ว ยังมีมือที่สามแทรกเข้ามาเพื่อแย่งชิงสมบัติสายธารจันทรา

มันนับเป็นปัจจัยที่ยากจะควบคุม

“ก่อนที่มือที่สามนั่นจะมาถึง เราต้องเร่งมือเพื่อเปิดกรุสมบัติให้ได้”

นายท่านปี้สีหน้ามืดทะมึนลง บอกให้ปี้เฉี่ยวยู่นำไป

ปี้เฉี่ยวยู่นำฝ่ามือวางลงไปบนบานประตูที่มีรอยฝ่ามือของตน ประตูเบื้องหน้าเหวี่ยงเปิดออกพร้อมกับแสงสีน้ำเงินเข้มที่ปรากฏขึ้น

ปี้เฉี่ยวยู่ถูกดึงเข้าไปก่อนเป็นคนแรก

ต่อมา

นายท่านปี้ ผู้นำตระกูลปี้และผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนอื่นจึงถูกดึงเข้าไป

ป้อมเหิงฉุ่ยเข้าไปได้ทั้งหมดสี่คน

กลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งเองก็เข้าไปได้สำเร็จเช่นกัน โดยมีขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหนึ่งคน ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคน และผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดหนึ่งคน

ในเวลาเดียวกัน

ที่ปากทางเข้าถ้ำลับสายธารจันทรา

ร่างสามร่างได้หยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าบันไดสีเขียวดำ

คนหนึ่งคือชายหนุ่มในอาภรณ์สีทอง “โจรเถาชานเฟ่ย” อีกคนคือสตรีงดงามในชุดสีสด และสุดท้ายคือชายแก่ร่างเตี้ย

ชายหนุ่มที่ถือพัดอยู่ในมือวางมือลงที่รอยฝ่ามือบนแผ่นหินที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว รั้งไว้สองถึงสามลมหายใจจึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น

“ดูเหมือนว่าคนที่เข้ามาในถ้ำลับสายธารจันทรานี้จะมียอดฝีมืออยู่ด้วย ตำแหน่งเปิดปิดนี้ได้ถูกออกแบบอย่างซับซ้อน ต่อให้ใช้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณก็ยังยากที่จะค้นพบ มีเพียงการใช้ตาเปล่ามองในระยะที่เหมาะสมจึงสามารถค้นพบ ทั้งมือของผู้วางคนแรกต้องวางอยู่ที่บนรอยฝ่ามือพอดี และต้องวางอย่างน้อยสามลมหายใจจึงจะได้รับกุญแจ”

ชายแก่ร่างเตี้ยถอนหายใจ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

หากจ้าวเฟิงและผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ย่อมต้องตกใจอย่างมาก สิ่งที่ชายแก่ร่างเตี้ยกล่าวด้วยถ้อยคำไม่กี่ประโยคนั้นได้เอ่ยถึงความลึกล้ำลึกซึ้งของแผ่นป้ายนี้

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะค้นพบถึงความแปลกประหลาดของรอยฝ่ามือนี้ก่อนหน้าและได้ยื่นมือไปสัมผัส ทว่าก็นับว่าเด็กหนุ่มก็โชคดีเช่นกัน เพียงแต่มองคราแรกก็ไม่อาจคาดเดาถึงกลไกออกได้

แต่ชายแก่ร่างเตี้ยนี้กลับมองออกในครั้งแรก

ต่อมา

ชายแก่ร่างเตี้ยเป็นคนนำทาง ทางที่เขาเดินไปเบื้องหน้านั้นราวกับเหยียบอยู่บนเส้นชีพจร กลไกกับดักทั้งหมดต่างเปิดทางให้เขาผ่านได้อย่างง่ายดาย

ขณะที่กวาดมองศพที่ปรากฏขึ้นตลอดทาง ชายหนุ่มชุดทองก็รู้สึกชื่นชมขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “สมแล้วที่ถูกเรียกขานว่ายอดฝีมือด้านกลไก สำนึกรู้ในด้านกลไกของท่านอาจารย์ฉุ่ยเยว่ของข้า สามารถลอกเลียนกลไกของท่านมาได้เพียงนี้”

“จอมโจรฉุ่ยเยว่นั้นมีพรสวรรค์มากนัก น่าเสียดายที่เลือกหนทางมาร แม้ว่าจะสามารถเรียนรู้วิชาของข้าไปได้เพียงสองสามส่วน แต่นั่นก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว”

ชายแก่ร่างเตี้ยอดที่จะพูดไม่ได้

ทั้งสามเดินทางเข้าไปภายในถ้ำลับสายธารจันทราได้โดยไร้ซึ่งอุปสรรคใด

เมื่อมาถึงยังศาลาโบราณ คิ้วของชายแก่ร่างเตี้ยก็มุ่นเข้าหากันเล็กๆ “ศาลาแห่งนี้ดูราวกับไม่มีกลไกอันใด แต่ระยะทางไกลเพียงนี้ ผู้สร้างย่อมไม่สร้างขึ้นอย่างเสียเปล่า”

“หืม? ที่นี่มีกลิ่นของกำยานหลอนเทวา ทั้งยังมีกลิ่นของพิษแปดทิศที่อาจารย์เคยใช้ปรากฏอยู่…”

ชายหนุ่มในชุดสีทองยืนนิ่ง ดมกลิ่นก่อนแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

กำลังของทั้งสามคนเมื่อรวมกันอาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งนัก

ชายแก่ร่างเตี้ยนั้นนับเป็นยอดฝีมือด้านกลไก ความรู้อาจกระทั่งเหนือกว่า “จอมโจรฉุ่ยเยว่” ทว่าชายหนุ่มในชุดสีทองและสตรีงดงามในชุดสีสดคือศิษย์ที่จอมโจรฉุ่ยเยว่รับไว้

ภายในโลงศพจื่อถง

จ้าวเฟิงมาปรากฏตัวขึ้นในห้องที่สร้างขึ้นจากทองแดงห้องหนึ่ง

ข้างหน้ามีโต๊ะและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัว

บนโต๊ะปรากฏคัมภีร์อยู่ม้วนหนึ่ง

จ้าวเฟิงเปิดออกดู ด้านในปรากฏเป็นแผนที่

เมื่อมองคราแรก มันดูเหมือนรูปร่างของโลงศพ

แผนที่ทั้งหมดนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น แสดงโครงสร้างของโลงศพจื่อถง

ตำแหน่งที่จ้าวเฟิงยืนอยู่นั้นอยู่ทางทิศตะวันออก และเป็นห้องแรก บนแผนที่ปรากฏสัดส่วนเล็กๆ

“น่าสนใจ น่าสนใจ ผู้สร้างจงใจทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ ต้องการอันใดกัน?”

จ้าวเฟิงใช้ดวงตาข้างซ้ายคัดลอกแผนที่บนคัมภีร์นั้นเข้าไปในสมองด้วยความรวดเร็ว

หากยึดตามแผนที่ ในแต่ละชั้นจะมีห้องเก็บสมบัติอยู่หนึ่งห้อง

ชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองก็เป็นเช่นนั้น มันตั้งอยู่ที่ใจกลางแต่ละชั้น

ทว่าใจกลางของชั้นสามนั้นปรากฏอักษร “โลงศพ” ลอยอยู่ด้านบน ตามโครงสร้างแล้วมันย่อมเป็นสถานที่ฝังศพของจอมโจรฉุ่ยเยว่

“จากชั้นที่หนึ่งบุกเข้าไปยังชั้นที่สาม ไปถึงยังจุดศูนย์กลางที่ฝังศพ คงจะได้รับมรดกที่สำคัญที่สุดของจอมโจรฉุ่ยเยว่”

ในใจของจ้าวเฟิงเริ่มปรากฏความเข้าใจขึ้นบางส่วน

เพียงเด็กหนุ่มวางม้วนคัมภีร์ลง ประตูของห้องที่สองก็ได้เปิดออก เผยให้เห็นห้องห้องใหม่

ห้องที่จ้าวเฟิงอยู่ตอนแรกนั้นคือจุดเริ่มต้น

ทว่าเด็กหนุ่มไม่รีบร้อนเข้าห้องต่อไป

จ้าวเฟิงใช้พลังดวงตาเทพเจ้ากวาดสำรวจทุกรายละเอียดในห้อง

ดวงตาจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขาสามารถมองทะลุวัตถุได้ แข็งแกร่งกว่าประสาทสัมผัสจิตวิญญาณทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยใดๆ ก็ไม่สามารถหลุดรอดจากสายตาของเขาไปได้

ช่วงเวลาหนึ่ง

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงหยุดลงที่เก้าอี้

ภายในห้องนี้มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัว

หากเป็นคนทั่วไป เมื่อมองเข้ามาในแวบแรกย่อมมองเห็นม้วนคัมภีร์ที่วางอยู่บนโต๊ะ มีหรือจะให้ความสนใจเก้าอี้นั่น?

จ้าวเฟิงคิดก่อนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น

ครืดดดดดด

เก้าอี้ได้จมลงสองชุ่นและเคลื่อนไปด้านหน้าสามฟุต

ต่อมา

ตำแหน่งเดิมของเก้าอี้นั้น พื้นได้เปิดออก เผยให้เห็นช่องว่างสีดำสนิทเป็นรูปสี่เหลี่ยม

ในหลุมมืดนั้นได้ปรากฏชุดน้ำชาหนึ่งชุด มีทั้งถ้วยน้ำชาและกาน้ำชา

จ้าวเฟิงเผยสีหน้าแปลกประหลาด การออกแบบเช่นนี้นับว่าให้อารมณ์สบายอกสบายใจเกินไปแล้ว

เขายื่นมือออกไปรินน้ำชาลงสองถ้วย

น้ำชานั้นได้แพร่กระจายความเย็นเยียบผ่านอากาศ

จ้าวเฟิงพลันเรียกแมวขโมยตัวน้อยออกมา

ภูมิต้านทานพิษของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนี้ไม่ธรรมดานัก ในอดีต ยามอยู่ที่แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ กระทั่งกล้ากินแมลงพิษ ทั้งในศาลาโบราณนั่นยังกลืนกินกำยานหลอนเทวาเข้าไป

ให้แมวขโมยตัวน้อยมาทดลองพิษย่อมไม่เลว

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยดื่มน้ำชาเข้าไป ดวงตาส่องประกาย มันผงกศีรษะให้จ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงจึงลองดื่มน้ำชาอีกถ้วย ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นเยียบบางอย่างก็ได้ทะลวงเข้าไปยังอวัยวะภายใน กระทั่งแทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก

เพียงชั่วครู่ ทั่วทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้าน

ทว่าหลังจากที่ดื่มน้ำชานี้เข้าไป เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายได้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะอวัยวะภายในที่ยิ่งกระชับทรงพลังขึ้น

“หึหึ น่าสนใจ”

หลังจากดื่มชาเสร็จ จ้าวเฟิงจึงนำแมวขโมยตัวน้อยเข้าไปยังห้องที่สองอย่างง่ายๆ

ฝั่งตรงข้ามของห้องที่สองก็ได้ปรากฏประตูขึ้นบานหนึ่ง ทว่ามันยังคงปิดสนิท

จ้าวเฟิงยืนนิ่งในห้องนั้นพักหนึ่ง ประตูด้านหน้าก็ยังไม่เปิดออก

“ดูเหมือนว่า จำเป็นต้องเปิดห้องทีล่ะห้องเพื่อผ่านเข้าไป”

ในใจจ้าวเฟิงไม่ปรากฏความลนลานใดๆ

เขาใช้พลังดวงตาเทพเจ้าเพื่อกวาดสำรวจทั้งห้องอีกครั้ง

จ้าวเฟิงพอจะมีความรู้ด้านค่ายกลอยู่บ้าง ทว่าด้านกลไกที่เป็นส่วนหนึ่งของวิชาค่ายกลนั้น เขารู้เพียงผ่านๆ

ไพ่ในมือที่เขาพอจะพึ่งพาได้คือดวงตาจิตวิญญาณเทพเจ้า

มันสามารถมองทะลุผ่าน ควบคุมทุกรายละเอียด กระทั่งสามารถมองสิ่งที่เล็กเป็นจุลและวิเคราะห์ได้

ไม่นาน

จ้าวเฟิงจึงพบกลไกห้าหกจุดที่ ‘น่าสงสัย’

เมี้ยว เมี้ยว

ทันใดนั้น แมวขโมยตัวน้อยได้กระโดดไปยังโคมไฟบนกำแพงที่เป็นกลไกหนึ่ง

คว้าง

ไฟบนผนังสว่างขึ้น บนเพดานปรากฏตำราหลายเล่มตกลงมา

จ้าวเฟิงเปิดออกดู ภายในตำราได้เอ่ยเกี่ยวกับกลไกค่ายกลบางส่วน เด็กหนุ่มใช้ดวงตาเทพเจ้ากวาดมอง รายละเอียดภายในตำราทั้งหมดได้ถูกดูดกลืนมาในสมองเขาโดยสมบูรณ์

“น่าสนใจ จอมโจรฉุ่ยเยว่นี้นับว่าเข้มงวดนัก การออกแบบเช่นนี้ เป้าหมายของเขาคือสิ่งใดกัน?”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง

ในเวลาเดียวกัน

ด้านทิศเหนือ ชั้นที่หนึ่งในห้องที่สอง

พรึบ

กลุ่มก้อนเปลวเพลิงได้ระเบิดออกภายในห้อง สร้างเป็นกลุ่มควันเหม็นขึ้น

แค่ก แค่ก

นายท่านปี้ใบหน้าเต็มไปด้วยเขม่าควันดำราวถ่าน ไม่ว่าจะลบอย่างไรก็ไม่ออก

คนอื่นๆ ที่เหลือก็ถูกควันเข้าไปและไอเช่นกัน

“นายท่านปี้ ท่านไม่ระวัง เหยียบโดนกับดักเข้าให้แล้ว”

ปี้เฉี่ยวยู่ค่อยๆ ยกมือชี้ไปยังลูกบิดประตู

ด้านทิศใต้ ห้องที่สอง

ฟิ้ว ฟิ้ว

“ที่แท้กลไกของแต่ล่ะห้องนั้นมีทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ หนึ่งคืออาศัยสายตาและความสามารถ สองคืออาศัยความโชคดี”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวเอ่ยอย่างพึงพอใจเล็กๆ

หลังจากที่เขาแก้กลไกได้ ประตูห้องที่สามก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว

เขาเดินนำไปเบื้องหน้าอย่างสบายๆ

จากนั้น เพียงเขาก้าวเข้าไปยังห้องที่สาม “ปึด ปึด” เสียงบางอย่างได้ดังขึ้นสองครั้ง ปรากฏลวดโลหะสองเส้นพุ่งออกจากรูบนกำแพงราวกับลูกธนู มัดขาทั้งสองของเขาเอาไว้

“อา อา”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวร้องเสียงดัง ร่างทั้งร่างถูกห้อยอยู่บนเพดาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!