Skip to content

King of Gods 286

King Of Gods

บทที่ 286 : โลงศพทองแดงยักษ์

ฝันร้ายอันไร้จุดสิ้นสุดไม่ได้มาถึงร่างของปี้เฉี่ยวยู่

ผู้นำตระกูลปี้เบิกตากว้าง ถอนหายใจโล่งอกเล็กๆ

ยามนี้ เรือนร่างงดงามอ้อนแอ้นของปี้เฉี่ยวยู่เกือบถูกเผยให้ผู้คนเห็น เสื้อผ้าฉีกขาดเพียงส่วนเล็กๆ

เหล่าผู้ที่โดนฤทธิ์ของ “กำยานหลอนเทวา” มอมเมาที่อยู่ใกล้ๆ ต่างยืนตัวสั่นสะท้าน ร่างแข็งทื่อไม่อาจขยับไหว

ความเย็นเยียบถึงกระดูกดำที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขา ทำลายเปลวเพลิงแห่งราคะที่เผาไหม้จิตใจของพวกเขาอย่างไร้จุดสิ้นสุดออกไป

เมื่อจัดการเรื่องทั้งหมด นัยนต์ตาสีฟ้าเย็นเยียบของจ้าวเฟิงจึงได้กลับไปเป็นปกติอย่างช้าๆ

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มจึงค้นพบว่าปี้เฉี่ยวยู่อยู่ในอ้อมแขนของตน ส่งเสียงครางออกมา กระทั่งถอดเสื้อผ้าของตนอย่างไม่อาจควบคุม พร่ำจูบตัวเขาไม่หยุดยั้ง

ในร่างกาของจ้าวเฟิงพลันปรากฏประกายเพลิงขึ้น แทบจะเผาไหม้จิตวิญญาณของเขา

“ ‘กำยานหลอนเทวา’ นี้นับว่ามีฤทธิ์ร้ายกาจนัก กระทั่งสามารถแทรกซึมจิตใจได้ โดยเฉพาะกับสตรียิ่งส่งผลเป็นสองเท่า ต่อให้เป็นผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ยากที่ต้านทานได้ ไม่อาจขัดขืน”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงทำงาน ไม่ว่าร่างของเขาจะร้อนรุ่มเพียงใด จิตของเขาก็ยังคงสงบนิ่งเรียบเฉย

การโจมตีที่มีผลทางจิตใจนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่อาจส่งผลต่อเขาแต่อย่างใด

ความรู้สึกของเขานั้นเป็นราวกับแผ่นน้ำที่สงบนิ่ง ตาข้างซ้ายสีฟ้าอ่อนเย็นเยียบกวาดมอง “ปี้เฉี่ยวยู่” ในอ้อมแขนอีกครั้ง

เรือนร่างอ่อนระทวยของปี้เฉี่ยวยู่เย็นเยียบ ทั่วทั้งร่างเปียกโชกด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบ ได้สติกลับคืนมาอย่างช้าๆ ใบหน้าแดงก่ำ แทบจะขุดหลุมกลบฝังตนเอง

จ้าวเฟิงช่วยปี้เฉี่ยวยู่หาเสื้อผ้ามาใส่และช่วยนางให้ลุกขึ้นยืนอย่างไร้ความรู้สีก

“เขา… ใจเขาสร้างด้วยน้ำแข็งหรืออย่างไร?”

ท่ามกลางความอับอายนั้น ปี้เฉี่ยวยู่ก็มีความรู้สึกพ่ายแพ้และด้อยค่า หรือเป็นว่าข้าไร้ซึ่งเสน่ห์ใดๆ?

แม้ว่านางจะถูกฤทธิ์ของ “กำยานหลอนเทวา” เข้าควบคุม ทั้งนางยังเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมอีกฝ่ายก่อน ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

โดยเฉพาะดวงตาข้างซ้ายเย็นเยียบของจ้าวเฟิงที่มองมาราวกับว่านางเป็นเพียงซากโครงกระดูกซากหนึ่ง

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นยามใดมิมีผู้ใดรู้ มันสูดกลิ่นของ “กำยานหลอนเทวา” เข้าไปอย่างรุนแรง

สีหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนไป “กำยานหลอนเทวา” ที่นี่นับว่าเป็นยากระตุ้นที่แข็งแกร่ง อาจกล่าวได้ว่ากระทั่งขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังกลับกลายเป็นเดรัจฉาน ยากที่จะหลบเลี่ยงไปได้ด้วยโชค

เด็กหนุ่มเพียงกำลังจะเอ่ยเตือน แต่กลับพบว่าแมวขโมยตัวน้อยได้กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างสดชื่น

ภาพนี้ได้ทำให้นายท่านปี้ ปี้เฉี่ยวยู่ ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและคนอื่นๆ แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา

เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นของกำยานหลอนเทวาในศาลาจึงเริ่มจางลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันจางลงด้วยตนเอง หรือเป็นแมวขโมยตัวน้อยที่สูดมันเข้าไป

คนของทั้งสองฝ่ายอาจกล่าวได้ว่าไม่เสียสิ่งใด มีเพียงบางส่วนที่รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า

คนของกลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งและป้อมเหิงฉุ่ยนั่งลงขัดสมาธิเป็นเวลาครึ่งก้านธูปก่อนที่จะเริ่มเดินทางต่อ

หากเป็นตามที่ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวคาดการณ์ไว้ เมื่อผ่านศาลาเก่าแก่นี้เข้าไปก็จะถึงใจกลางถ้ำสุสานลับแล้ว

ทว่าศาลาเก่าแก่แห่งนี้มีความยาวกว่าที่คิดไว้ ทั้งระหว่างที่เดินไปยังมีกลิ่นยาพิษต่างๆ มากมายที่สามารถปลิดชีวิตผู้มีพลังในนภาที่หกและเจ็ดได้ในระยะเวลาสั้นๆ

อาจเป็นเพราะทุกคนต่างระมัดระวัง ไม่กล้าใช้พลังของตน เกรงว่าจะส่งผลต่อกลิ่นอายแปลกประหลาดทั้งหลายที่ไม่อาจมองเห็นได้ภายในศาลา

เมื่อเดินมามากกว่าร้อยกว่าหลาจึงเป็นจุดสิ้นสุดของศาลา

เบื้องหน้าปรากฏแม่น้ำสีเทาสายหนึ่ง

ไม่ถูกต้อง มันคือแมลงสีเทานับจำนวนไม่ถ้วนที่รวมตัวกันเป็น “แม่น้ำแมลง”

แมลงเหล่านี้มีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ บางตัวบนหลังปรากฏปีกบาง จำนวนของมันนั้นมากมายมหาศาล ราวกับไร้ที่สิ้นสุด สามารถกลืนกินโลกาได้

ทุกคนเมื่อมองไปก็ชะงักงัน สูดลมหายใจเย็นเยียบ

แมลงสีเทานับจำนวนไม่ถ้วนเหล่านี้รวมตัวกันเป็น “แม่น้ำแมลง” ขัดขวางการเดินของผู้คน

จ้าวเฟิงมองเลยแม่น้ำแมลงนี้ไปไกล แม่น้ำแมลงนี้มีความกว้างราวยี่สิบสามสิบหลา ล้อมรอบสุสานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

ใจกลางสุสานปรากฏ “โลงศพจื่อถง” ขนาดของมันนั้นเทียบเท่ากับตำหนักตำหนักหนึ่งได้

คนทั้งสองฝ่ายยืนตะลึงงัน ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาเพิ่งเคยเห็นโลงศพที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ในที่สุดก็มาถึงที่นี่ นี่ต้องเป็นที่ฝังศพของจอมโจรฉุ่ยเยว่เป็นแน่”

“โลงศพใหญ่เพียงนี้ ยากที่จะคาดคิดนักว่าก่อนสิ้นชีพจอมโจรฉุ่ยเยว่มีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด”

ฝั่งโจรสลัดหัวเราะอย่างร้ายกาจ ตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ไม่อาจปิดบังสีหน้าโลภโมโทสันไว้ได้

กองกำลังแย่งชิงสมบัติจากป้อมเหิงฉุ่ยก็ตื่นเต้นเช่นกัน ดวงตาทั้งสองของพวกเขาส่องประกาย

“โลงศพจื่อถง” ที่อยู่ใจกลางแม่น้ำแมลงนั้นอยู่ห่างจากผู้คนราวยี่สิบถึงสามสิบหลา

“พี่น้อง ฆ่าให้หมด”

เหล่าโจรสลัดโลหิตคลั่งไม่อาจอนทนไว้ได้อีก

“ช้าก่อนทุกคน ระวังแมลงพวกนี้ด้วย พวกมันน่าจะเป็นแมลงชั้นต่ำ “แมลงศพ” มีประสาทสัมผัสรับรู้ที่แข็งแกร่ง แมลงศพนับล้านนี้สามารถกัดกินเลือดเนื้อของมนุษย์จนหมดสิ้นได้ภายในพริบตา…”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ได้รีบเอ่ยเตือนขึ้น

แมลงศพที่อยู่เบื้องหน้านั้นมีจำนวนนับล้าน กลิ่นอายของแต่ละตัวเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในนภาที่หนึ่ง

“ท่านนักพรต ท่านเป็นโจรขุดสุสาน ท่านมีวิธีจัดการกับ ‘แมลงศพ’ พวกนี้หรือไม่?”

ฉานเซว่ตูอิงถาม

โจรขุดสุสาน?

เมื่อผู้คนได้ยินชื่ออาชีพนี้ต่างก็เหลือกตาขาวใส่ มิน่าคนผู้นี้ที่ผ่านมาจึงมีท่าทีมากประสบการณ์ แทบจะไม่ทำสิ่งใดผิดพลาด

“นับแต่ก่อกำเนิดโลหิตปราณจิตวิญญาณ แมลงศพวกนี้จะตามมาราวกับลูกเป็ดตามมารดา ทั้งมีจำนวนมากเช่นนี้บ่อมยากที่จะควบคุมได้ ข้าพอมีผงยาที่หากทาไว้บนตัวจะทำให้โอกาสถูกโจมตีลดน้อยลง”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวพูดเสร็จจึงหยิบถุงใส่ยาสีเทาหม่นออกมาหลายถุง

เมื่อเห็นสถานการณ์ ฝ่ายป้อมเหิงฉุ่ยก็สีหน้าแปรเปลี่ยนไป

ฝ่ายโจรสลัดโลหิตคลั่งมียาเช่นนี้ เกรงว่าจะนับเป็นข้อได้เปรียบยิ่งนัก

แต่ดีที่ว่าในมือของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวที่มีถุงยาสีเทาที่เพียงพอให้คนห้าหกคนใช้เท่านั้น

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวหัวเราะอยู่ในใจ “หากจะผ่านทะเลแมลงนี้ไปมีเพียงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่สามารถข้ามผ่านไปได้อย่างแน่นอน หากเป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง โอกาสสำเร็จมีเพียงสี่ถึงห้าส่วนจากสิบส่วน ส่วนนภาที่เจ็ดทั่วไปนั้นมีโอกาสรอดน้อยนัก”

สายตาของเขาจงใจมองไปยังจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงลอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่าความสมดุลระหว่างฝ่ายโจรสลัดและฝ่ายป้อมเหิงฉุ่ยที่รักษามานานจะต้องสิ้นสุดลงแล้ว

“ข้ามีระเบิดเพลิงอัสนี มันมีแรงระเบิดที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมระยะหลายฟุต ธาตุไฟของมันน่าจะป้องกันแมลงศพพวกนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย”

นายท่านปี้ หยิบลูกประคำสีดำแดงออกจากแหวนเก็บของราวเจ็ดถึงแปดลูก แต่ละลูกมีขนาดใหญ่ราวกำปั้นของทารก

เขานำลูกประคำสีดำแดงเหล่านี้แจกให้แต่ละคน

ระเบิดเพลิงอัสนีนี้ แม้เทียบกับประสิทธิภาพในระยะยาวแล้วจะด้อยกว่าผงยาของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว ทว่าอานุภาพของมันสามารถใช้ในเหตุการณ์คับขันได้ดีกว่า

ไม่นาน ยอดฝีมือของป้อมเหิงฉุ่ยบางคนก็ได้มีระเบิดเพลิงอัสนีอยู่ในมือ

ทว่าด้วยจำนวนนั้นมีจำกัด ฝ่ายป้อมเหิงฉุ่ยหลายคนจึงไม่ได้รับมัน

จ้าวเฟิงที่เป็นคนนอกก็ย่อมไม่ได้รับมัน

“นายท่านปี้ พลังฝึกตนของข้าต่ำ แม้ผ่านไปได้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าว่านำระเบิดเพลิงอัสนีนี้ให้กับพี่จ้าวเฟิงจะดีกว่า”

ปี้เฉี่ยวยู่เสนอขึ้น

ใบหน้าของนายท่านปี้ปรากฏความใจดี เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่ง ทั้งยังมีพลังสายเลือด ข้าเชื่อว่าเขาสามารถข้ามไปได้ง่ายๆ หลังจากเข้าไปในโลงศพจื่อถง พวกเรายังคงต้องการความช่วยเหลือของเจ้า”

จ้าวเฟิงเป็นเพียงคนนอก ความเชื่อใจในตัวของเด็กหนุ่มจึงมีจำกัด เมื่อมาถึงจุดนี้นับว่าเขาใช้อีกฝ่ายได้คุ้มค่าแล้ว

ดังนั้น

บัดนี้นายท่านปี้จึงไม่ได้สนใจความเป็นตายของจ้าวเฟิงแต่อย่างใด แน่นอนว่าหากเด็กหนุ่มสามารถนำคนผ่านไปถึงโลงศพนั่นได้ก็จะเป็นผลดีอย่างมาก

จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่ เรือนผมสีฟ้าอ่อนราวกับภาพลวงตา รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่ครอบคลุมสุสานไว้อย่างหนาแน่น

แม้จะไม่ได้รับระเบิดเพลิงอัสนี จ้าวเฟิงก็ไม่สนใจ

สิ่งที่จ้าวเฟิงสงสัยคือ เหตุใดนายท่านปี้จึงต้องนำปี้เฉี่ยวยู่มาด้วยให้ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม

ยามนี้ เขายังปกป้องปี้เฉี่ยวยู่ด้วยตนเอง พาข้ามแม่น้ำแมลงไป

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

คนของโจรจรสลัดโลหิตคลั่งและป้อมเหิงฉุ่ยทะยานร่างลอยอยู่กลางอากาศ ข้ามแม่น้ำแมลงไปยังโลงศพจื่อถงที่อยู่ใจกลาง

คนที่มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ระยะเพียงไม่กี่สิบหลานี้กลับต้องใช้เวลาหลายลมหายใจ

ฉานเซว่ตูอิงและนายท่านปี้ข้ามมาถึงโลงศพจื่อถงได้สำเร็จ โดยที่นายท่านปี้ได้พาปี้เฉี่ยวยู่ข้ามมาด้วย

จากนั้นจึงเป็นผู้ที่มีพลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและผู้มีพลังในนภาที่เจ็ด

การข้ามมาของยอดฝีมือเหล่านี้อันตรายนัก แมลงศพจำนวนมหาศาลที่รวมตัวกันแน่นได้โอบล้อมร่างของพวกเขาอย่างรวดเร็วและดูดกินปราณแท้ที่ใช้ป้องกันของพวกเขาเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“อ๊าก อ๊ากกก”

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากในแม่น้ำแมลง ยอดฝีมือในนภาที่เจ็ดหลายคนถูกแมลงศพจำนวนนับไม่ถ้วนกัดกินเลือดเนื้อ ดูดกลืนพลังปราณ ในเสี้ยววินาทีร่างที่เหลือเพียงโครงกระดูกก็ถูกครอบคลุมโดยแมลงกินศพ

แทบจะทุกลมหายใจจะปรากฏเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น

สุดท้าย

ผู้มีพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสี่คนมาถึงยังโลงศพจื่อถงได้สำเร็จ สำหรับเหล่าผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดผู้อื่นมาถึงได้เพียงหนึ่งในสาม น้อยกว่าหกเจ็ดคน ทว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่เจ็ด

จ้าวเฟิงตั้งใจลดความเร็วลงเพื่อมาให้ถึงพร้อมกับกลุ่มคนในนภาที่เจ็ดเหล่านี้

“จ้าวเฟิง เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

ใบหน้าของนายท่านปี้ปรากฏรอยยิ้ม ทว่าภายในใจปรากฏความตื่นตะลึง เหล่านภาที่เจ็ดผู้อื่นที่มาถึงโลงศพจื่อถงล้วนนี้ข้ามผ่านมาอย่างยากลำบากยิ่งนัก กระทั่งมีคนสองคนที่สูญเสียแขนขาไป

ทว่าจ้าวเฟิงกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวมองไปที่จ้าวเฟิงด้วยความตกใจเช่นกัน

เด็กหนุ่มนามจ้าวเฟิงผู้นี้มีพลังฝึกตนเพียงนภาที่เจ็ด ไม่มีผงยาและระเบิดเพลิงอัสนี เขาคิดว่าอีกฝ่ายย่อมต้องตายตกโดยไร้ข้อสงสัย ทว่ากลับมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย

ในตอนนี้

หากเปรียบเทียบทั้งสองฝ่าย ฝ่ายโจรสลัดโลหิตคลั่งนับว่าได้เปรียบเล็กน้อย ชัดเจนว่าผงยาของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวนั้นมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า

ทว่านายท่านปี้มีปี้เฉี่ยวยู่เป็นตัวถ่วงอยู่

หลังจากที่มาถึงโลงศพจื่อถง เหล่าแมลงศพก็ราวกับถูกบางสิ่งสกัดกั้น มีบางตัวที่พยายามเข้าใกล้เดินวนไปมา ก่อนจะกลับไปยังแม่น้ำดังเดิม

ต่อมา

ทั้งสองฝั่งปรึกษากันถึงวิธีการเข้าไปในตำหนักโลงศพจื่อถง

โลงศพจื่อถงนั้น หากมองไปก็ดูราวกับเป็นโลงศพขนาดยักษ์ ทว่าความจริงมันคือสุสาน

สุสานแห่งนี้ ทั้งสี่ด้านปรากฏประตูทองสัมฤทธิ์อยู่

หากต้องการจะเข้าไปในโลงศพจื่อถงนี้ด้วยกำลังย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แม้จะเป็นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ยากจะสร้างแม้รอยขีดข่วน

ไม่ต้องเอ่ยว่าหากโจมตีไปอย่างรุนแรงอาจก่อเกิดผลเสียที่ไม่คาดคิดตามมาได้

“ประตูแต่ล่ะบาน ตรงกลางปรากฏรอยฝ่ามือตื้นๆ หนึ่งฝ่ามือปรากฏอยู่”

โจรสลัดคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

รอยฝ่ามือนี้บางทีอาจเป็นสิ่งที่จงใจสร้างขึ้น

ประตูทั้งสี่ด้านนั้น เพียงสามบานเท่านั้นที่มีรอยฝ่ามือ ทั้งขนาดยังแตกต่างกัน

รอยฝ่ามือแรกมีขนาดราวฝ่ามือของบุรุษผู้หนึ่ง

รอยฝ่ามือที่สองปรากฏความอ่อนช้อย อาจเป็นฝ่ามือของดรุณีผู้หนึ่งที่ทิ้งไว้

รอยฝ่ามือที่สามนั้นดูค่อนข้างผอมแห้ง ควรเป็นฝ่ามือของคนชรา

เมื่อเห็นรอยฝ่ามือเหล่านี้ จ้าวเฟิงจึงย้อนคิดไปถึงรอยฝ่ามือที่อยู่บนป้ายหินก่อนที่จะเข้ามาที่นี่

คนที่สัมผัสมันคนแรกคือเขา

คนที่สองคือปี้เฉี่ยวยู่

คนที่สามคือผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและฉานเซว่ตูอิงส่งเสียงขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

รอยฝ่ามือบนแผ่นหินที่ทางเข้านั้น คาดมิถึงว่าจะเชื่อมต่อกับประตูนี้

รอยฝ่ามือทั้งสามแสดงถึงกุญแจสามดอกที่สามารถเข้าไปภายในโลงศพจื่อถง

นายท่านปี้เพิ่งเข้าใจ รีบปกป้องปี้เฉี่ยวยู่ ในเวลาเดียวกันได้มองไปที่จ้าวเฟิงด้วยสายตาส่องประกาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!