บทที่ 321 : ข่มขู่พันธารา
ตระกูลหยุนแห่งแม่น้ำพันธารา
ตระกูลหยุนรองและลัทธิโลหะเลือดสาขาได้ถูกขวางกั้นโดยแม่น้ำที่กว้างกว่าร้อยหลา
กองกำลังของทั้งสองฝ่ายอยู่กลางเวหาเหนือแม่น้ำ สาดซัดการโจมตีเข้าหากัน
สมาชิกของลัทธิโลหะเลือดสาขานั้นมีมากมาย ขวัญกำลังใจพุ่งสูง เพียงการปะทะกันในช่วงแรกก็ได้เปรียบไปส่วนหนึ่งแล้ว
จ้าวเฟิงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง คอยสั่งการด้วยตนเอง เตี๋ยเย่คอยคุ้มครองอยู่ข้างๆ
อวิ๋นช่าเป็นแนวหน้า นำผู้อาวุโสขั้นมนุษย์แท้จำนวนมากไปเริ่มการจู่โจม
ตระกูลหยุนรองพลันส่งยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้หลายคนออกมาเผชิญหน้ากับศัตรู
“กำลังสนับสนุนของตระกูลปี้รองเหตุใดยังมาไม่ถึงอีก?”
สีหน้าของผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเคร่งเครียด
“รายงานท่านผู้นำ ลัทธิโลหะเลือดสาขาได้โจมตีตระกูลปี้รองไปพร้อมๆ กันด้วย…”
“ลัทธิโลหะเลือดเหิมเกริมนัก โจมตีตระกูลใหญ่ทั้งสองพร้อมกัน”
เหล่าคนระดับสูงของตระกูลหยุนชะงักไป ทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว
แม้ดูเผินๆ แล้วจะดูเหมือนลัทธิโลหะเลือดสาขาจะเหิมเกริม ทว่าความจริงแล้วนับเป็นการฉวยโอกาส
เพื่อป้องกันการสนับสนุนจากตระกูลปี้รองนั้นก็ควรจะเริ่มลงมือจู่โจมก่อน เพื่อใช้กองกำลังจำนวนน้อยกว่าถ่วงเวลาตระกูลปี้รองไว้
ตราบเท่าที่สนามรบหลัก ลัทธิโลหะเลือดสาขาสามารถเอาชนะตระกูลหยุนรองได้ ตระกูลปี้รองย่อมไร้ซึ่งทางต่อต้าน
“จ้าวเฟิง ไอ้เด็กลัทธิโลหะเลือด เจ้าทำร้ายหลานชายข้าจนบาดเจ็บสาหัส ทว่าเมื่อมีอำนาจแล้วยังไม่ปล่อยผู้คน ตั้งใจจะครอบครองแม่น้ำพันธารา”
ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนตะโกนเสียงดัง พลังอำนาจของผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ มีพลังลึกล้ำสามารถเปิดช่องทางเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ ความสามารถเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั้งหมดในที่แห่งนี้
พลังอำนาจที่ทรงพลังนั้นได้ทำให้ร่างกายและจิตใจของจ้าวเฟิงรู้สึกย่ำแย่ลงเล็กๆ
พลังอำนาจของยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้นั้นเขาตระหนักรู้มาก่อน หากสู้ตัวต่อตัว จ้าวเฟิงย่อมไม่มีโอกาสเอาชนะผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนได้
ในอดีต ไม่มีผู้ใดในลัทธิโลหะเลือดสาขาที่สามารถเอาชนะผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนได้ในการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง
มีเพียงอวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่น สองรองหัวหน้าสาขาร่วมมือกันโจมตีจึงสามารถต่อกรได้
หากไม่เป็นเพราะผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนชรามากแล้วและพลังต่อสู้ไม่อยู่ในจุดสูงสุด ลัทธิโลหะเลือดย่อมยากที่จะครอบครองแม่น้ำพันธารา
“เจ้าไปช่วยอวิ๋นช่า”
จ้าวเฟิงรับรู้ชัดเจน แม้ว่าพลังของอวิ๋นช่าจะแข็งแกร่ง ไม่ด้อยไปกว่าตัวเขามากนัก ทว่าคู่ต่อสู้นั้นคือผู้นำเฒ่าตระกูลหยุน นับว่าไม่เพียงพออยู่บ้าง
หากใช้พลังของเตี๋ยเย่ร่วมกับอวิ๋นช่า ย่อมสามารถรับมือกับผู้นำตระกูลหยุนได้ในระยะเวลาหนึ่ง
บนท้องนภาเหนือแม่น้ำปรากฏร่างของยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเข้าต่อสู้กัน
จ้าวเฟิงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาเทพเจ้ากวาดมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว
ในเวลาหนึ่ง
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มได้จับจ้องไปยังใต้สายน้ำในแม่น้ำ ส่องประกายสีฟ้าใสเย็นเยียบแช่แข็งบรรยากาศ
ซ่า เปรี้ยง
ภายในแม่น้ำ ประกายกระบี่ได้สว่างวูบ สร้างเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง แทบจะเทียบเท่าได้กับพลังของผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนในขั้นผู้วิเศษแท้
“เทียนหยุนจือ”
คนของทั้งสองฝั่งต่างเหลือบมองไปยังชายหนุ่มในชุดต่อสู้
เทียนหยุนจือเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหยุนหลัก หนึ่งในสิบอัจฉริยะดาราอันรุ่งโรจน์แห่งอาณาจักร อันดับสาม
เปรี้ยง ตูม
น้ำในแม่น้ำพุ่งกระจาย ปรากฏร่างของดรุณีชุดแดงผู้หนึ่งในสภาพเหนื่อยอ่อน ใบหน้าปรากฏความกระวนกระวายลนลาน
“ลูกพี่ลูกน้อง เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหม”
เทียนหยุนจือตกใจ รับร่างที่เหนื่อยอ่อนราวกับผ่านพ้นความทรมานไร้ที่สิ้นสุดของเด็กสาวชุดแดงเอาไว้
อีกด้านหนึ่ง
จ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ ใต้ฝ่าเท้าปรากฏสามปทุม มุมปากปรากฏรอยยิ้มยินดีขึ้น
“ชัดเจนว่าเราซ่อนอยู่ใต้น้ำ… ทว่าเพียงเขากวาดตามองก็…”
ดรุณีชุดแดงหยาดเหงื่อไหลโชก ใบหน้าขาวซีด ท่าทีหวาดกลัวจนไม่อาจตั้งสติได้
แต่เดิมนั้น เทียนหยุนจือและลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ได้ซ่อนตัวอยู่ใต้แม่น้ำ เตรียมจะลอบโจมตีคนของลัทธิโลหะเลือดสาขา
ดรุณีชุดแดงผู้นั้นมีสมบัติชั้นยอดที่ทำให้สามารถเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างอิสระ รวมทั้งปกปิดตัวตน ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปไม่อาจค้นพบได้โดยง่าย
ผู้ใดเล่าจะคาดคิด ดวงตาสีฟ้าใสเย็นยะเยือกข้างนั้นมองทะลุผ่านแม่น้ำ ปรากฏขึ้นในสมองของพวกเขา
ดรุณีชุดแดงมีพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ย่อมไม่อาจป้องกันได้
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ทำให้จิตใจของผู้คนเหนื่อยล้า กดดันคู่ต่อสู้ ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันโดยปกติแล้วไร้ซึ่งผู้สามารถต่อต้าน หากมีระดับต่ำกว่าสามารถปลิดชีพได้ในเสี้ยววินาที
เทียนหยุนจือเองก็ผวาไป ระเบิดพลังเมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ออกมาเพื่อหลบหนีออกจากอันตราย
จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจ จะอย่างไรผู้ที่สามารถเพาะจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งดาบได้ย่อมไม่อาจใช้ตรรกะปกติมาชั่งวัด
ดวงตาข้างซ้ายของเด็กหนุ่มจับจ้องไปยังผู้อาวุโสขั้นมนุษย์แท้แห่งตระกูลหยุนผู้หนึ่ง
ผู้อาวุโสขั้นมนุษย์แท้ผู้นั้นทั้งร่างกายและจิตใจสั่นสะท้าน ถูกดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบดึงดูดเข้าไป
ในดวงตาของอีกฝ่ายนั้น บ่อน้ำเย็นเยียบได้ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วก็ท่วมล้นสตินึกคิดของเขา
ฟุบ!
เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ว่างสีฟ้าเย็นเยียบแปลกประหลาด
นี่คือสภาพแวดล้อมที่พลังจิตของจ้าวเฟิงสร้างขึ้น
กระแสไฟฟ้าสีเขียวเจือจางได้รัดพันร่างของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ผู้นั้นเอาไว้ ทว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่มัดเขาเอาไว้คือจิตใจของเขาเองต่างหาก
ซ่า
ในความเป็นจริง ระยะเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ร่างของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ผู้นี้ก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลลง ร่างกายเหนื่อยล้า คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้น
เพียงกวาดตามองคราหนึ่ง จ้าวเฟิงก็ได้ทำให้ผู้ฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้
“นี่คือสายเลือดดวงตาของเขา….”
สีหน้าของเทียนหยุนจือเย็นชา
ความเย็นเยียบเจือจางในดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นราวกับเข้าใจถึงแก่นแท้ของโลก อารมณ์ราบเรียบไม่สั่นไหว
สายตาที่คล้ายคลึงกันนั้น เขาเคยสัมผัสได้จากศัตรูที่แข็งแกร่งอีกคน
“หัวหน้าลัทธิโลหะเลือดสาขาผู้นี้ สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันนับว่าอันตรายเกินไป”
เมื่อผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเห็นเช่นนั้น ในใจก็ปรากฏความหนาวเยือกขึ้น
หนึ่งวินาทีในการกวาดตาจัดการผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ แม้ว่าจะเป็นยามที่เขายังอยู่ในจุดสูงสุดก็ยังไม่มีความสามารถเช่นนี้
มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่ระดับสูงขึ้นไป ‘ขั้นนายเหนือแท้’ ที่สามารถเอาชนะขั้นมนุษย์แท้ได้ในหนึ่งถึงสองกระบวนท่า
จ้าวเฟิงยังไม่มีพลังฝึกตนถึงขั้นนายเหนือแท้ยังมีความสามารถน่าหวาดกลัวเช่นนี้
ความสามารถนี้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่รักษาความสมดุลในระหว่างกองกำลัง
“จ้าวเฟิง คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า”
เสียงกราดเกรี้ยวเด็ดเดี่ยวดังขึ้นจากความว่างเปล่า ดวงตาของเทียนหยุนจือทั้งสองเย็นชา กลิ่นอายของกระบี่ที่ไม่อาจมองเห็นแพร่กระจาย ราวกับดาบใหญ่ที่ฟาดฟันผ่าอากาศ
ดาบใหญ่ที่ดวงตาไม่อาจมองเห็นเช่นนี้มีอยู่จริงหรือ?
คำตอบที่ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงให้นั้นแม่นยำ เขาสามารถตรวจจับระยะของจิตแห่งกระบี่ได้ รวมทั้งเส้นทางการโจมตีของมัน
เพียงแต่จิตแห่งดาบและจิตแห่งกระบี่เหล่านี้สามารถมองข้ามเรื่องระดับ คล้ายกับการโจมตีพลังจิตที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้
แม้ว่าพลังจิตของจ้าวเฟิงจะสามารถตรวจจับได้ ทว่าร่างกายย่อมไม่อาจเคลื่อนไหวได้ทัน
เคล็ดกระบี่วาดเมฆา
กระบี่ของเทียนหยุนจือวาดลง เมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ที่มองไม่เห็นได้เพิ่มพลังโจมตีของมันขึ้นอีกขั้น การเพิ่มพลังความสามารถของกระบี่ทำให้จิตใจของคู่ต่อสู้อ่อนแอลง ทั้งยังสามารถทำลายภาพลวงตาทั้งหมดได้
“ชิชิ เมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ เมื่อเทียบกับของชางหยูเยว่เมื่อก่อนแล้วยังแข็งแกร่งกว่าหลายส่วน”
ดวงตาซ้ายสีฟ้าใสของจ้าวเฟิงหม่นแสงลง ดูลึกล้ำยิ่งขึ้น ราวกับบ่อน้ำเหมันต์ที่ไร้จุดสิ้นสุด
เสี้ยววินาทีนั้น เมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเมื่อปะทะเข้ากับร่างของจ้าวเฟิงก็ราวกับความหนาแน่นลดลง พลังถดถอยลงอย่างมาก
“จิตใจแข็งแกร่งยิ่งนัก กระทั่งสามารถทำให้พลังจิตแห่งกระบี่ของข้าอ่อนแอลงได้…”
ใบหน้าของเทียนหยุนจือเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เขารู้สึกราวกับว่าจิตแห่งกระบี่ของเขาได้ล่วงเข้าไปยังบ่อน้ำเหมันต์อันไร้ก้นบึ้ง
ในเมื่อเขาสามารถเพาะเมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ สร้างขึ้นเป็นต้นอ่อนได้ ไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้เมื่อเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันมาก่อน
จ้าวเฟิงไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้นั้นในอดีตอีกแล้ว
เมื่อเทียบกับยามงานสิบสามสำนักพันธมิตร พลังฝึกตนและขอบเขตพลังของเขาไม่อาจเทียบกับยามนั้นได้ เคล็ดวิชาพลังจิตเองหากเทียบกับเมื่อก่อนก็นับว่าลึกล้ำกว่าหลายเท่าตัว
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าดวงตาเทพเจ้าของเขา หลังจากหลบหนีการแต่งงานจากเมืองหงหูมาก็ได้ผ่านการวิวัฒนาการครั้งที่สอง
ครั้งแรก เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าได้ตื่นขึ้น เรือนผมและดวงตาซ้ายเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีเขียวคราม
ครั้งที่สอง เรือนผมและดวงตาซ้ายได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีฟ้าอ่อน
ดังนั้นแล้ว ความคิดของเทียนหยุนจือที่จะป้องกันพลังจิตมายาของจ้าวเฟิงโดยจิตแห่งกระบี่ก็นับว่าไร้ประโยชน์
แน่นอนว่าคนที่มีจิตแห่งกระบี่ย่อมมีแรงใจแข็งแกร่ง กระทั่งแหลมคมยิ่งนัก ทั้งยังสามารถตัดทำลายกระทั่งความคิดทั้งหลายได้
คลื่นวงแหวนอัสนี
มือทั้งสองข้างของจ้าวเฟิงร่ายรำ สร้างกระแสไฟฟ้ารุนแรงไม่สม่ำเสมอขึ้น กลายเป็นคลื่นคล้ายวงแหวน พุ่งตรงไปยังร่างของเทียนหยุนจือ
ทุกครั้งที่เทียนหยุนจือวาดดาบจะพบกับแรงต้านที่ไร้ที่สิ้นสุด การโจมตีจากกระแสไฟฟ้าที่แพร่กระจายไปในอากาศได้ทำให้ร่างของเขาชา ลดความเร็วของเขาลงอย่างมาก
หากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่าบนหน้าผากของจ้าวเฟิงได้ปรากฏผนึกอัสนีขึ้นจางๆ อีกครั้ง
“พลังของหัวหน้าสาขาคนใหม่นี้ทำไมเพิ่มขึ้นรวดเร็วเพียงนี้”
เหล่าระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดสาขา ในใจกระตุก ปรากฏความหวาดกลัวขึ้น
ใจของอวิ๋นช่าเองก็ดิ่งลง สีหน้าหวาดกลัวมืดหม่น
ครั้งก่อนที่จ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านฝึกตนนั้น แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณไม่มั่นคง ไม่กล้าที่จะใช้พลังเต็มที่ ทั้งพลังสายเลือดก็ยังปกปิดไว้บางส่วน
บัดนี้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขารวมทั้งขอบเขตชั้นที่สองของมรดกอัสนีได้แข็งแกร่งและมั่นคงขึ้นแล้ว
เมื่อไร้ซึ่งสิ่งถ่วงรั้ง พลังมหาศาลของมรดกอัสนีของจ้าวเฟิงก็ได้พุ่งตรงไปยังร่างของเทียนหยุนจือครั้งแล้วครั้งเล่า
เทียนหยุนจือป้องกันการโจมตีอย่างยากลำบาก เข้าไปใกล้ร่างของจ้าวเฟิงอย่างยากเย็น คลื่นวงแหวนอัสนีที่แพร่ออกในจุดนี้นับว่ามีพลังแข็งแกร่งมากนัก
จิตแห่งกระบี่และพลังต่อสู้ของเขานั้นแข็งแกร่ง ทว่าคู่ต่อสู้ฝึกตนในวิชาธาตุอัสนี พลังความสามารถแข็งแกร่งยิ่งนักเช่นกัน
นอกจากนั้น ท่าทีของจ้าวเฟิงนั้นราวกับมาพักผ่อน ไร้ซึ่งความเหนื่อยอ่อน
เฮือก
เทียนหยุนจือสูดลมหายใจลึก แขนทั้งสองข้างพลันอ้าออก สัญลักษณ์สายเลือดสีขาวทั้งสองปรากฏขึ้นบนร่าง กลิ่นอายพลันแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ
“มรดกพลังสายเลือดของตระกูลเทียนและตระกูลหยุน”
กองกำลังทั้งสองฝ่ายอุทานออกมา
พลังสายเลือดทั้งสองได้ทำให้การโจมตี ป้องกัน และพลังกายของเทียนหยุนจือรุนแรงขึ้น ทั้งยังเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง
ฟุ่บ เปรี้ยะ
คลื่นวงแหวนอัสนีสีฟ้าที่ร่างของจ้าวเฟิงปล่อยออกมาถูกตัดออกโดยกระบี่ของเทียนหยุนจือ
“พลังโจมตีเพิ่มขึ้นสี่ส่วน พลังป้องกันเพิ่มขึ้นสองส่วน ปริมาณพลังกายเพิ่มขึ้นสองส่วน พลังระเบิด…”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังเทียนหยุนจือ รับรู้ได้ว่าพลังต่อสู้ของคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
พลังสายเลือดได้ทำให้เทียนหยุนจือก้าวผ่านขีดจำกัดของพลังฝึกตนหลายอย่าง
พรึบ!
ร่างของจ้าวเฟิงกลับกลายเป็นประกายร่างอัสนี จางหายไปจากที่เดิม
เมฆาตัดธารา
ในตอนนี้เองที่ประกายคมกระบี่รุนแรงส่องประกายสีฟ้าขาว ฟันผ่านจุดเดิมที่จ้าวเฟิงเคยอยู่
เปรี้ยง
ธารน้ำด้านล่างแทบจะถูกตัดออกเป็นสองส่วนจากดาบนั้น น้ำในแม่น้ำนั้นถูกผ่าออกเป็นสองในนาทีนั้น
เหล่าผู้ที่เห็นภาพนั้นนิ่งอึ้ง ดวงตาส่องประกายระริก
เป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งนัก
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นอวิ๋นช่าและคนอื่นๆ จิตใจยังสั่นสะท้าน
“เมฆาตัดธาราสามารถตัดแม่น้ำได้ จือเอ๋อร์ข้ามขั้นใช้กระบวนท่านี้ พลังของมันนับว่าไร้ที่ติ น่าเสียดายที่เด็กนั่นหลบได้…”
ใบหน้าของผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนปรากฏความเสียดาย
“ความเร็วของกระบี่นี้ เขาหลบได้อย่างไร?”
ใจของเทียนหยุนจือหล่นวูบ สีหน้าซีดเซียวลงเล็กๆ กระบี่นั้นแทบจะสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ส่วนมากได้ในเสี้ยววินาที และยังทำให้ผู้ฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มบาดเจ็บสาหัสได้
ที่สำคัญไปกว่านั้น ความเร็วของกระบี่นั้นรวดเร็วยิ่งนัก ตามทฤษฎีแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดยังไม่อาจหลบเลี่ยงได้
ทว่าจ้าวเฟิงราวกับล่วงรู้ได้หลบไปก่อนหน้า เวลายังแม่นยำนัก ราวกับว่ากระบวนการทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก
พรึบ
จ้าวเฟิงปรากฏขึ้นที่อีกฝั่ง ดวงตาซ้ายสีฟ้าใสลึกล้ำเช่นเดิม ราวกับสามารถทะลวงเข้าสู่จิตใจของคู่ต่อสู้ได้
“หึ พลังสายเลือดในร่างและการเคลื่อนไหวของปราณจิตวิญญาณของเจ้าไม่อาจหลุดรอดจากสายตาข้าไปได้”
จ้าวเฟิงเค้นเสียงเยาะอยู่ในใจ
ย่างก้าวภูตบุปผาอัสนีลึกลับ
สายฟ้าสีเขียวครามบนร่างของจ้าวเฟิงครางหึ่ง ร่างของเด็กหนุ่มพลันกลับกลายเป็นเงาภูตพราย กระแสไฟฟ้ากระจายไปทั่ว
ในยามนั้น ความเร็วการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงพลันเพิ่มสูงขึ้น กระบวนท่าเคลื่อนไหวนี้แต่เดิมไม่ใช่เช่นนี้ ทว่าเมื่อหลอมรวม ‘มรดกอัสนี’ เข้าไปก็ได้สร้างเงาร่างเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังไม่สูญเสียความคล่องแคล่วว่องไวของมันไป
ณ กลางเวหา เงาร่างที่ปรากฏประกายไฟฟ้าพุ่งเข้าปะทะ ส่องสว่างเจิดจ้า
เทียนหยุนจือหน้าเปลี่ยนสี ไม่อาจมองเห็นร่างของจ้าวเฟิงได้ กลิ่นอายเย็นเยียบได้แทรกซึมเข้าสู่จิตใจ ร่างกายเต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย