บทที่ 322 : ข่มขู่พันธารา (2)
ร้อยปีก่อน วิชาฝึกตน ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ของจอมโจรฉุ่ยเยว่ผู้เลื่องชื่อ วิชาตัวเบาของมันได้หยามเหยียดผู้คนทั่วทั้งอาณาจักร
จอมโจรฉุ่ยเยว่อาศัยความเร็วการเคลื่อนไหวที่เหนือผู้ใด คราหนึ่งเคยลอบเข้าไปในห้องเก็บสมบัติของตระกูลสำนักใหญ่จำนวนมาก ขโมยสมบัติล้ำค่ามากมายไป จากไปโดยไร้ร่องรอย กระทั่งตัวตนอันสูงส่งเช่นขั้นนายเหนือแท้ยังไร้หนทาง
ย่างก้าวภูตบุปผาอัสนีลึกลับ
ร่างของจ้าวเฟิงนั้นเหมือนเช่นเงาร่างของภูตพราย มองคราแรกเหมือนกับกลีบดอกบัวที่ผลิบานพร่าเลือน
แต่เดิมนั้น จ้าวเฟิงได้นำแก่นแท้ของวิชามารบางส่วนจาก ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ หลอมรวมเข้ากับมรดกอัสนีของตนเอง
สำนึกรู้ของมรดกอัสนีนั้นลึกลับ ความสามารถไร้ที่ติ จ้าวเฟิงเองก็ยังคงใช้มันเป็นหลัก ทว่าประโยชน์ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เมื่อหลอมรวมเข้ากับกระบวนท่าเคลื่อนไหวของสำนึกรู้ ได้ทำให้มันสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงได้นำแก่นแท้ของเคล็ดฝึกตนวิชามารจาก ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ มาหลอมรวมเข้ากับมรดกอัสนี
ในยามนี้ ความคืบหน้าในการหลอมรวมยังคงอยู่ที่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
แต่แม้จะเพียงเท่านั้น กระบวนท่าเคลื่อนไหวของสำนึกรู้ก็ได้บรรลุสู่ขั้นใหม่
หน้าผากของเทียนหยุนจือปรากฎหยาดเหงื่อเย็นเยียบ ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีความเร็วในการเคลื่อนไหวน่ากลัวมากมายเพียงนี้มาก่อน กระทั่งยากที่จะตรวจจับได้ด้วยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ
การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงนั้นมีพลังของสายฟ้า ร่างสั่นไหวพร่าเลือนราวกับภูตพราย เงาทั้งหลายกระจัดกระจาย สร้างความงุนงงว่าร่างใดคือร่างจริง
“ดาบอัสนี”
ร่างเงาราวภูติพรายที่พร่าเลือนพลันปรากฏดาบอัสนีคมกริบขึ้น ความยาวครึ่งหลาพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่สั่นถี่รัวด้วยความเร็วสูง
เปรี้ยะ
ดาบอัสนีนั้นก็พร่าเลือนเช่นเดียวกับเงาร่างของผู้เป็นเจ้าของที่ยากจะจับตัวได้ด้วยการเคลื่อนไหวนั้นราวภูตพรายที่ยากจะคาดเดาทั้งทิศทางและองศา ดาบได้ฟาดฟันลงที่ด้านข้างของเทียนหยุนจือ โจมตีเข้าที่ช่องว่างของอีกฝ่ายพอดี
เคร้ง
เทียนหยุนจือหวาดผวาเหงื่อไหลโชก ใช้จิตแห่งกระบี่ป้องกันการโจมตีของดาบอัสนีอย่างยากลำบาก
เปรี้ยะ เพล้ง
ดาบอัสนีระเบิดออก คลื่นกระแสไฟฟ้าทรงพลังแพร่กระจายออกครอบคลุมทั่วทั้งร่างของเทียนหยุนจือชาหนึบสั่นสะท้าน
หากเขาไม่ใช่พลังสายเลือดในการป้องกันดาบนั้นคงได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว
แม้ว่าเทียนหยุนจือจะป้องกันการโจมตีนั้นได้ ทว่ากลับตกอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับอย่างเสียเปรียบ ร่างที่เหน็บชาทำให้ความเร็วและคล่องแคล่วของเขาลดลง
ความเร็วการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง กระแสไฟฟ้าส่องประกายระริก ล้อมรอบร่างของคู่ต่อสู้
เคล็ดวิชานั้น มีเพียงความเร็วที่ชนะ
แม้ว่ายามที่พลังสายเลือดของเทียนหยุนจือถูกใช้ออกจะสามารถเทียบเคียงกับจ้าวเฟิงได้ ทว่าด้วยความเร็วการเคลื่อนไหวแล้ว มันได้ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับอย่างสมบูรณ์
“ย่างก้าวภูตบุปผาอัสนีลึกลับ เกิดจากการหลอมรวมกันของ ‘ย่างก้าวบุปผาไร้บ่วง’ และ ‘ย่างก้าวภูตอัสนี’ ความเร็วการเคลื่อนไหวของข้าในยามนี้เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน มีโอกาสที่จะเทียบเคียงกับความเร็วของจอมโจรฉุ่ยเยว่ในอดีตได้”
ร่างของจ้าวเฟิงราวกับประกายสายฟ้า เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าเทียนหยุนจือได้ในที่สุด
หากเทียนหยุนจือไม่ได้ถือกำเนิดต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่ไว้ ทำให้ในช่วงเวลาวิกฤติสามารถป้องกันการโจมตีของจ้าวเฟิงได้ บางทีอาจจะพ่ายแพ้ล่าถอยไปนานแล้ว
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังไม่ได้ใช้พลังสายเลือดในการเพิ่มพลังต่อสู้
เด็กหนุ่มใช้คู่ต่อสู้ในการทำความเข้าใจกับ ‘ย่างก้าวภูตบุปผาอัสนีลึกลับ’ ที่มีทักษะลึกล้ำของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ และมรดกอัสนีอยู่
เทียนหยุนจือยิ่งรับมือยิ่งตื่นตัว ภายใต้สถานการณ์วิกฤตนี้ ความสามารถและพลังจิตแห่งกระบี่ของเขาได้ถูกรีดเค้นออกมา
“หากสามารถหลอมรวมแก่นแท้แห่งมารของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เข้ากับ ‘มรดกอัสนี’ ได้เพียงพอ ความเร็วการเคลื่อนไหวของข้าก็มีโอกาสที่จะเหนือกว่าจอมโจรฉุ่ยเยว่ ความสามารถของมรดกอัสนีเองก็จะเหนือกว่าวิชาดั้งเดิมของมัน”
ในสมองของจ้าวเฟิงวางแผนเอาไว้
เมื่อต้องหลอมรวมวิชากับวิชา สำนึกรู้กับสำนึกรู้ วิชาฝึกตนชั้นมนุษย์ของเขาก่อนหน้าก็เคยผ่านการตุ้นทดสอบเช่นกัน
บัดนี้เคล็ดวิชาฝึกตนของเขานั้นอยู่ในชั้นจิตวิญญาณขึ้นไป สำนึกรู้ของเคล็ดวิชาต่างๆ ก่อนหน้า เช่นฝ่ามือวายุอัสนีและสี่กระบวนท่าเสี้ยววายุ บัดนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งไปแล้ว
เมื่อจ้าวเฟิงไล่ต้อน ‘เทียนหยุนจือ’ เหล่าคนระดับสูงต่ำของลัทธิโลหะเลือดสาขาล้วนได้เปรียบอย่างมาก
ตระกูลหยุนรองล่าถอยพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ความช่วยเหลืออันแข็งแกร่งที่เชื้อเชิญมาอย่างยากลำบากอย่าง ‘เทียนหยุนจือ’ ได้ถูกจ้าวเฟิงไล่ต้อนอย่างรุนแรง
อวิ๋นช่า ผู้อาวุโสใหญ่ และคนระดับสูงของสาขาคนอื่นๆ ใจกระตุกวูบ ใบหน้าปรากฏความชื่นชมนับถือขึ้นมาก
ในด้านความแข็งแกร่งนั้น จ้าวเฟิงนับว่าเหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าสาขานัก
ที่สำคัญไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังเยาว์วัย และนับว่าเป็นคนรุ่นหลังที่อายุน้อยที่สุด หากครุ่นคิดเสียหน่อยก็จะรู้ว่าอนาคตของเด็กหนุ่มนั้นไร้ซึ่งขีดสุด
อวิ๋นช่า เตี๋ยเย่ และคนอื่นๆ จึงได้เข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดรองจ้าวลัทธิจึงได้ยอมรับในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้
การหลบหนีการแต่งงานจากเมืองหงหู ขโมยสมบัติสายธารจันทราจากกลุ่มโจร และจับตัวฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน เหตุการณ์เหล่านี้สามารถนับว่าเป็นความสำเร็จของอัจฉริยะทั่วไปได้หรือ?
ฟิ้ว
เงาร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ
เมื่อใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ จ้าวเฟิงได้สร้างระยะห่างระหว่างตนเองกับเทียนหยุนจือ
เทียนหยุนจือหายใจหอบ บนหน้าผากปรากฏเหงื่อเม็ดโต บนร่างปรากฏรอยไหม้หลายแห่ง
“เหตุใดจึงไม่สู้ต่อ เมื่อครู่เจ้าเกือบจะชนะข้าแล้วมิใช่หรือ?”
เทียนหยุนจือกัดฟันเล็กๆ
จ้าวเฟิงไม่ได้มองไปยังอีกฝ่าย ดวงตาซ้ายจ้องมองไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ
ซ่า
กำลังสนับสนุนขั้นมนุษย์แท้ของตระกูลหยุนสาขาผู้หนึ่งร่วงลงจากกลางอากาศ คุกเข่าอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ มองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความตกใจและเหนื่อยล้า
ยอดฝีมือขั้นมนุษย์ผู้นี้คือแขกอย่างเป็นทางการของตระกูลหยุนรอง ได้ยินข่าวจึงไล่ตามมาจากสถานที่ห่างไกล เข้าช่วยเหลือตระกูลหยุนรอง
การมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเพิ่มขึ้นหนึ่งคนย่อมสามารถเพิ่มความหวังให้แก่ตระกูลหยุนรองได้หนึ่งส่วน
ทว่าเหล่าระดับสูงของตระกูลหยุนยังไม่ทันได้ยินดี กำลังสนับสนุนจากผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ผู้นั้นก็พ่ายแพ้ให้กับหนึ่งการมองของจ้าวเฟิง สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป
“บัดซบ… เขาไม่เพียงสู้กับข้า ทว่ายังแบ่งความสนใจไปยังภาพรวมของสถานการณ์ โจมตีเอาชนะยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้อื่น”
เทียนหยุนจือทั้งตื่นตะลึงทั้งกราดเกรี้ยว หวาดกลัวในความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงมากยิ่งขึ้นไปอีก
สิ่งนี้หมายความว่าอันใด? มันหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้สู้กับเขาอย่างเต็มที่และให้ความสนใจกับสถานการณ์โดยรอบอย่างมาก
ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุน อวิ๋นช่า เตี๋ยเย่ และยอดฝีมือคนอื่นๆ รับรู้ได้ถึงเรื่องนี้
ความสามารถในการต่อสู้ของจ้าวเฟิงนั้นไม่เพียงน่ากลัว สติปัญญาและสายตาของเขายังสามารถมองภาพรวมของสถานการณ์ได้
ความหวังจากกำลังสนับสนุนของตระกูลหยุนรองถูกจ้าวเฟิงบดขยี้ลงอย่างโหดเหี้ยม
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าวันนี้ตระกูลหยุนรองของข้าจะล่มสลายลง”
ใบหน้าของผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเต็มไปด้วยความหดหู่ ปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรงแทบจะเผาไหม้ พลังอันเหนือชั้นได้สลัดอวิ๋นช่าและเตี๋ยเย่ให้ล่าถอยได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ผู้นี้กำลังถดถอยจากความชรา พลังต่อสู้ไม่ได้อยู่ที่จุดสูงสุด มิเช่นนั้นอย่างน้อยย่อมสามารถไล่ต้อนอวิ๋นช่าและเตี๋ยเย่ได้
“ท่านผู้นำ”
คนตระกูลหยุนรอง รวมทั้งเทียนหยุนจือรู้สึกยากที่จะยอมรับได้
ในยามนี้ ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนแทบจะสละชีวิตตนเองแล้ว
“ผู้นำเฒ่า หากท่านเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณของท่านย่อมสามารถฆ่าผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ 1-2 คน ทว่าชีวิตของท่านเองก็ต้องจบลงเช่นกัน หากไม่มีท่าน ตระกูลหยุนรองก็คล้ายจบสิ้นลงแล้ว”
จ้าวเฟิงแย้มรอยยิ้มบาง
เมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยคำ การต่อสู้ระหว่างตระกูลหยุนรองและลัทธิโลหะเลือดสาขาก็ได้เข้าสู่สภาวะสงบสั้นๆ
“เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่?”
ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนขบฟันแน่นจนเห็นสันกรามชัดเจน
เขาจ้องมองจ้าวเฟิงอย่างระแวดระวัง มองเห็นโอกาสอยู่ลางๆ
จ้าวเฟิงนำสาขาโจมตีตระกูลหยุนรอง แม้จะดูมากอำนาจ ทว่าความจริงแล้วยังยั้งมือไว้อยู่บ้าง
ความจริงแล้ว จ้าวเฟิงก็ยังคงมีศีลธรรมอยู่บ้าง
หากจะฆ่าล้างตระกูลหยุนรอง ลัทธิโลหะเลือดสาขาเองก็ต้องสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน โดยเฉพาะผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนที่คิดจะสละชีวิตตนเอง เมื่อเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณย่อมสามารถแสดงพลังในจุดสูงสุดของตนเองได้ เมื่อถึงยามนั้นเหล่าระดับสูงและยอดฝีมือของลัทธิโลหะเลือดสาขาจะสูญเสียไปมากมายเท่าใดกัน?
“ตระกูลหยุนรองยอมแพ้ มอบดินแดนครึ่งหนึ่ง เหมืองผลึกเริ่มต้นและทรัพยากรอื่นๆ รวมทั้งทำสัญญาโลหิตว่าตระกูลหยุนรองจะขึ้นตรงและอยู่ในขอบเขตการดูแลของให้ลัทธิโลหะเลือดสาขาเป็นระยะเวลา 50 ปี”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยอย่างเชื่องช้า
หากจะทำลายตระกูลหยุนรองจนสิ้นซากย่อมสร้างความสูญเสียมากมาย เช่นนั้นก็ควรจะยอมถอยแล้วหาผลประโยชน์เสียดีกว่า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตระกูลหยุนรองทั้งระดับสูงต่ำที่ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังก็ได้เผยสีหน้ายินดีออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ลัทธิโลหะเลือดสาขาเองก็ไม่ได้โหดเหี้ยมเช่นนั้นและเอ่ยเจรจาอย่างสงบ อย่างน้อยตระกูลหยุนรองก็ไม่ต้องล่มสลาย
ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนลังเลเล็กๆ กัดฟันเอ่ย “ให้ตระกูลหยุนรองของข้าขึ้นตรงกับลัทธิโลหะเลือดสาขาย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจากนั้น ดินแดนกึ่งหนึ่งกับทรัพยากรยังมากเกินไป…”
จากนั้นคนทั้งสองจึงเจรจาผ่านการสื่อสารทางจิตต่อไป
ผู้นำตระกูลหยุนรองต้องการที่จะมอบดินแดนกับทรัพยากรให้เพียงหนึ่งในสาม และยังต้องการให้ลัทธิโลหะเลือดสาขายืนยันว่าจะไม่รุกรานดินแดนของตระกูลหยุนรองเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี มิเช่นนั้นสัญญาโลหิตถือเป็นโมฆะ
จ้าวเฟิงมุ่นคิ้วเล็กๆ ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนผู้นี้ยังไม่ยินยอมแต่โดยดีอีก
ในยามนั้น
พลังของเทียนหยุนจือฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มตวาดเสียงเย็น “ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุน ท่านอย่าได้ตอบรับคำขอของเขา ให้ข้ารับมือเขาเอง”
สูดดดด
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก สายเลือดทั้งสองภายในร่างแทบจะหลอมรวมกัน ปราณจิตวิญญาณสั่นสะท้านจนแทบเผาไหม้ มือจับกระบี่โบราณสีเขียวอีกครั้ง จิตแห่งกระบี่ควบรวมกันเต็มเปี่ยม
“มิคาดว่าการต่อสู้เมื่อครู่จะกระตุ้นพลังสายเลือดและจิตแห่งกระบี่ของเจ้า”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มไม่ใส่ใจ
ฟึบ
ในมือของเด็กหนุ่มยามนี้ปรากฏ ‘พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา’ ที่มีพลังสายเลือดปะปนอยู่
เพียงเสี้ยววินาที เรือนผมสีฟ้าอ่อนของเขาก็พลิ้วไหวไร้ทิศทาง หน้าผากของเด็กหนุ่มปรากฏผนึกอัสนีจางๆ ขึ้นอีกครั้ง
วูบ
‘พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา’ ในมือของจ้าวเฟิงถูกวาดออก ในเสี้ยวพริบตาคลื่นสายฟ้ารูปพัดก็ได้กวาดออกซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราวกับภูเขาอันใหญ่โตที่ถาโถมลง
เปรี้ยง
ตลิ่งของแม่น้ำถล่มลงในทันที น้ำในแม่น้ำทะยานขึ้นสูงนับร้อยหลา หลอมรวมเข้ากับคลื่นพัดอัสนี กลายเป็นสายน้ำที่มีกระแสไฟฟ้าปะปน เพิ่มแรงกดดันรุนแรงต่อทุกสิ่ง
“ไร้สาระ…”
พลังอำนาจของจิตแห่งกระบี่ของเทียนหยุนจือที่น่าพรั่นพรึงปะทะกับเข้าการโจมตีของพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา
เมฆาตัดธารา
ชายหนุ่มฟาดฟันดาบลง คมดาบส่องประกายเกรี้ยวกราด ตัดผ่าสายธารน้ำจากคลื่นพัดอัสนีสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
การโจมตีรุนแรงทั้งสองเข้าปะทะกัน เทียนหยุนจือพลันกระอักโลหิตพร้อมเสียง “อั่ก” ใบหน้าซีดขาว
เปรี้ยง
ร่างของเทียนหยุนจือถูกซัดไปโดยคลื่นพัดอัสนีอันน่าพรั่นพรึง กระเด็นลอยไปไกลหลายลี้ ทั่วทั้งร่างไหม้เกรียม กระแทกลงที่พื้นสิ้นสติไป
ความสามารถเช่นนั้นได้ทำให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายนิ่งอึ้ง
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเมื่อจ้าวเฟิงใช้พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาจะมีพลังรุนแรง พลังหลอมรวมกันระหว่างสายฟ้าและสายน้ำเกิดเป็นพลังของวารีอัสนีที่น่าหวาดกลัวขึ้น
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังได้ใช้พลังจิตผ่านพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา ทำลายพลังของต้นอ่อนจิตแห่งดาบที่เทียนหยุนจือส่งมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังจิตหรือพลังกายล้วนแข็งแกร่งโหดเหี้ยมทั้งสิ้น
“หยุด ข้ารับข้อเสนอของเจ้า!”
ใบหน้าของผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนขาวซีด มองไปยังจ้าวเฟิงคราหนึ่งด้วยสายตาตื่นตกใจ สองมือยกขึ้น
ฉึบ
พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาในมือของจ้าวเฟิงหุบฉับ ลมหายใจผ่อนลงเล็กๆ
เด็กหนุ่มยกมือขึ้น เหล่าสมาชิกของลัทธิโลหะเลือดได้หยุดโจมตีโดยสมบูรณ์
พลังโจมตีจากพัดของจ้าวเฟิงนั้นทรงพลังจนน่าตกใจ ขวัญกำลังใจของตระกูลหยุนรองพลันหดหายไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมใจกันยอมแพ้ ไม่มีความคิดจะต่อต้าน
แน่นอนว่าการโจมตีเมื่อครู่นั้นแม้จะมีพลังมหาศาล ทว่าก็ได้กินปราณจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงไปกว่าสองส่วน
ในวันเดียวกัน เหล่าระดับสูงของทั้งสองฝั่งก็ได้ตกลงสัญญากันที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ตระกูลหยุนรองมอบดินแดน เหมืองผลึกเริ่มต้น และทรัพยากรอื่นๆ ให้ครึ่งหนึ่ง ทำสัญญาโลหิตว่าจะขึ้นตรงกับลัทธิโลหะเลือดห้าสิบปี
วันนี้ หลังจากการต่อสู้ สถานการณ์ทั่วทั้งแม่น้ำพันธาราก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง
อำนาจของลัทธิโลหะเลือดสาขาได้ครอบคลุมพื้นที่พันธาราไว้อย่างมองไม่เห็น
ชื่อของจ้าวเฟิงได้ข่มขู่พื้นที่พันธารา ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่เล็กจำนวนมากต้องหวาดกลัวกับข่าวนี้