บทที่ 342 : ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่แข่ง
วิชาเคลื่อนไหวที่ไม่อาจคาดเดาและลึกลับของจ้าวเฟิงรวมทั้งวิชาธาตุสายฟ้าได้ทำให้อัจฉริยะทุกคนที่เห็นภาพนั้นต้องประหลาดใจอย่างมาก รวมทั้งผู้นำบางคนยังรู้สึกผวาไป
เว่ยหยุนฉีคือหนึ่งในศิษย์สายหลักของสำนักเทียนหยวน แม้ว่าจะเป็นเพียงอันดับที่เก้า ทว่าหากไปอยู่ในแคว้นใหญ่หรือสำนักใหญ่อื่นๆ อาจกระทั่งเป็นอันดับหนึ่งหรือสอง
ยอดฝีมืออัจฉริยะเช่นนั้น กลับพ่ายแพ้ให้กับจ้าวเฟิง
การเอาชนะเว่ยหยุนฉีนั้น จ้าวเฟิงไม่ได้ขยับ ‘มือ’ เลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มใช้ประโยชน์จากไอสวรรค์อัสนีแสดงพลังไฟฟ้าของตนเองออกมาจนถึงขีดสุด
ผลจากการหลอมรวมแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ และ ‘มรดกอัสนี’ ได้พัฒนามากขึ้น
“เขาไม่เพียงเก่งกาจในเคล็ดวิชาดวงตา ยากที่จะต่อกรยิ่งนัก”
สีหน้าของหลิงเยว่กงจูปรากฏความสนใจ
นางตระหนักขึ้นได้ว่าดาราที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรนภาไม่ใช่จินไท่จื่อ ไม่ใช่เทียนหยุนจือ ทว่าคือคนผู้นี้ที่เป็นเช่นซินอู๋เหิง เด็กหนุ่มผมฟ้าที่ไม่อาจมองเห็นถึงก้นบึ้งได้
ฝ่ายสำนักเทียนหยวน
“ศิษย์พี่โม่ การกระทำของเด็กนั่นเมื่อครู่ไม่เลว พลังอาจใกล้เคียงกับซินอู๋เหิงและเซี่ยเซียนชาง”
บุรุษใบหน้าเหลืองผู้มีพลังในขั้นผู้วิเศษแท้เอ่ยอย่างจริงจัง
บุรุษใบหน้าเหลืองคือศิษย์สายหลักของสำนักเทียนหยวน อันดับที่สองถัดจากโม่เทียนอี้
เมื่อครู่บุรุษใบหน้าเหลืองมองดูการประลองระหว่างจ้าวเฟิงและเว่ยหยุนฉีอย่างจริงจัง รู้สึกตะลึงไป
จ้าวเฟิงนั้นทำราวกับหยอกล้อ ใช้การเคลื่อนไหวและพลังสายฟ้า มือทั้งสองไม่แม้แต่จะขยับก็สามารถเอาชนะเว่ยหยุนฉีได้
ในโอกาสที่เขากับเว่ยหยุนฉีค่อนข้างสนิทกัน เขาจึงรู้รูปแบบการต่อสู้ของฝ่ายหลังที่มักจะเป็นไปอย่างมีแบบแผน มีเพียงแค่ยามที่คู่ต่อสู้เหนือกว่าโดยสิ้นเชิงที่จะพ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้
“จ้าวเฟิงผู้นี้ยังเยาว์ แม้จะแตกต่างจากเซี่ยเซียนชางและซินอู๋เหิงบ้าง ความแข็งแกร่งบางทีอาจนับว่าใกล้เคียงกับหลิงเยว่กงจู ในงานชุมนุมเซียนมังกรหากมีความเร็วการเคลื่อนไหวเพียงเท่านั้นสามารถพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา อย่างมากก็เพียงติดหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร ทว่าก็ต้องพึ่งดวงด้วย”
โม่เทียนอี้ส่ายศีรษะเล็กๆ
มุมปากของเขาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
ไม่ต้องเอ่ยถึงจ้าวเฟิงเลย กระทั่งเซี่ยเซียนชาง ซินอู๋เหิง และอัจฉริยะมากพรสวรรค์คนอื่นๆ เขาก็เอาชนะมาแล้ว
โม่เทียนอี้ยืนสองมือไพล่หลัง นัยน์ตาคมราวเหยี่ยวกวาดมองไปยังเหล่าอัจฉริยะให้ความรู้สึกเดี่ยวดายขึ้นประการหนึ่ง
บุรุษใบหน้าเหลืองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “นั่นก็จริง ข้านับว่าลืมดูระดับของศิษย์พี่โม่แล้ว แม้กวาดมองทั่วทั้งทวีปเหนือ ศิษย์พี่โม่ก็นับว่าไร้ซึ่งคู่ต่อสู้”
ระดับและสายตาของโม่เทียนอี้นั้นเหนือกว่าระดับของพวกเขา
อีกทั้งเขายังอัจฉริยะอัจฉริยะระดับสุดยอดในทวีปเหนือแห่งนี้
“คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของข้าคือหยูเทียนฮ่าว ตันไถ่หลันเยว่ และผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ”
สายตาของโม่เทียนอี้เหม่อมองไปยังสถานที่ห่างไกล นัยน์ตาปรากฏประกายส่องสว่าง
ในวินาทีนั้น ดวงตาของเขาได้เผยความเร่าร้อนและจิตต่อสู้ขึ้นอย่างหาได้ยาก
“ศิษย์พี่หมายถึงห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แห่งทวีปบุปผาครามนั่น!”
บุรุษใบหน้าเหลืองและคนอื่นๆ สูดลมหายใจลึกเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้!
ศิษย์หลักของสำนักเทียนหยวนจิตใจสั่นสะท้าน ดวงตายามจ้องมองไปยังโม่เทียนอี้ปรากฏความเคารพยำเกรงและเลื่อมใสศรัทธา
ในยามนี้
โม่เทียนอี้แม้จะอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือของพวกเขา กลับให้ความรู้สึกราวกับไม่อาจจับต้องได้
ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เป็นอัจฉริยะในตำนานที่ยืนอยู่เหนือเมฆแห่งทวีปบุปผาคราม เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง อาจกล่าวได้ว่าเป็นบุตรหลานที่สวรรค์เลือกสรร
บนทวีปแห่งนี้มีคำแบ่งยอดฝีมือ ผู้ถูกเลือกทั้งห้าจะมีพลังอำนาจที่ไม่อาจเทียบเคียงได้ในอนาคต
“ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ แบ่งออกเป็นทวีปกลาง ‘หยูเทียนฮ่าว’ ทวีปตะวันออก ‘ตันไถ่หลันเยว่’ ทวีปตะวันตก ‘ฉือเฉิงเทียน’ ทวีปใต้ ‘ไท่หยุนชวงจื่อ’ทวีปเหนือสุด ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ ”
เหล่าศิษย์สำนักเทียนหยวนล้วนเคยได้ยิน
เมื่อเอ่ยถึงห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ จิตใจของพวกเขาก็หนาวเยือก
“ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นี้มีความแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
จ้าวหยูเฟ่ยรู้สึกสงสัยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“แข็งแกร่งมาก… อัจฉริยะในทวีปเหนือของเราเก้าสิบเก้าส่วนจากร้อยส่วนไม่อาจรับมือได้กระทั่งหนึ่งกระบวนท่าของพวกเขา โดยเฉพาะอันดับหนึ่งในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อน ‘หยูเทียนฮ่าว’ ”
โม่เทียนอี้สูดลมหายใจลึก มือทั้งสองกำแน่นจนสั่นสะท้านเล็กๆ
กระทั่งบัดนี้ ในใจของเขายังปรากฏภาพในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้วฉายซ้ำ อีก
บุรุษใบหน้าเหลืองไม่เอ่ยคำใด งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อนเขาเองก็ได้เข้าร่วม ในยามนั้นห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้มีอยู่เพียงสาม ไม่ว่าจะเป็นตัวข้าหรือโม่เทียนอี้ผู้นี้ต่างก็พ่ายแพ้อย่างยับเยิน”
“ศิษย์พี่โม่ ในอดีตท่านเองก็ยังไม่ใช่หัวหน้าศิษย์ บัดนี้เวลาล่วงเลยมากว่าสิบปี พลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก งานชุมนุมเซียนมังกรในครั้งนี้อย่างน้อยท่านก็ต้องติดหนึ่งในสิบ มีคุณสมบัติที่จะท้าทายเหล่าผู้ถูกเลือกได้”
บุรุษใบหน้าเหลืองเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
แม้ว่าฝนจะยังคงตกอย่างหนักส่งเสียงดัง “ครืนนน” อัจฉริยะที่รวมตัวกันในแท่นดาวเหนือต่างหยุดประลองกัน
ในยามนี้ อัจฉริยะจากทุกฝ่ายในทวีปเหนืออาจนับได้ว่า ‘รู้สถานการณ์จริง’ ของผู้อื่นแล้ว
อัจฉริยะทั้งหมดเอ่ยพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน จากหัวข้อที่มีเพียงอัจฉริยะในทวีปเหนือได้เปลี่ยนไปเป็นอัจฉริยะทั่วทั้งทวีป
“ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้?”
เสียงต่างๆ ได้ลอยเข้าหูของจ้าวเฟิง
รวมทั้งจินไท่จื่อ เจียงซานเฟิง และคนอื่นๆ ก็มักจะเอ่ยถึงห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อยู่บ่อยๆ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
วันที่แท่นดาวเหนือจะเชื่อมต่อกับแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ใกล้เข้ามาอีกนิด
ในวันนี้
ทวีปเหนือพลันปรากฏคลื่นความเย็นขึ้นกะทันหัน ไอสวรรค์ผันผวนหนาแน่นได้หยุดนิ่งลงอย่างไม่อาจอธิบาย
คนหลายคนที่อยู่ ณ ที่นั้นพลันสะท้านเฮือกขึ้น
“เป็นไอความเย็นที่รุนแรงอันใดเช่นนี้…”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงคลื่นความเย็น เด็กหนุ่มเงยศีรษะขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาซ้ายจับจ้องไปยังสถานที่ห่างไกล
พลังความเย็นที่ไม่อาจมองจากสถานที่ห่างไกลนั้นพลันไหลบ่ามาในเสี้ยววินาที
บนแท่นดาวเหนือ
ผู้มีพลังขั้นนายเหนือแท้บางคน กระทั่งยอดฝีมือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังรับรู้ถึงมันได้และผุดตัวลุกขึ้น
ฟุ่บ
กลุ่มคนงดงามกลุ่มหนึ่งท่ามกลางประกายแสงเย็นเยียบได้บินมา เมื่อมองจากที่ไกลๆ นั้นราวกับก้อนน้ำแข็งที่หลอมรวมกัน สร้างคลื่นความเย็นที่น่าหวาดผวาตรงไปยังแท่นดาวเหนือ
แสงเย็นเยียบนั้นมาจากผลึกน้ำแข็งที่ส่องประกายไปทั่วทั้งสี่ทิศทาง ความเร็วเมื่อเทียบกับ ‘เกี้ยวทองมังกรโลหิต’ ของลัทธิโลหะเลือดแล้วกระทั่งรวดเร็วกว่านับสิบเท่า!
ทันใดนั้น แสงสีฟ้าเย็นพลันปรากฏตัวขึ้นเหนือแท่นดาวเหนือ
ครืน!
คลื่นสายลมเย็นเยียบได้พัดกระจายออก
วิ้ว
อัจฉริยะหลายคน ณ ที่นั้นรู้สึกราวโลหิตจับตัวแข็ง บางคนอุทานออกมาอย่างตกใจ ทว่ากลับไม่มีเสียงดังออกมา
สวบสวบ
ในเสี้ยววินาที ทั่วทั้งแท่นดาวเหนือได้กลายเป็นพื้นน้ำแข็งเย็นเยียบไป สายฝนที่เจิ่งนองจากเมื่อหลายวันก่อนได้กลับกลายไปเป็นหิมะและน้ำแข็งจนหมดสิ้น
โลหิตและปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงนั้นราวกับถูกแช่แข็งไปด้วย ร่างกายเย็นแข็งค้าง รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นที่ทิ่มแทงเข้ามา
เป็นเรื่องดีที่โลหิตสีฟ้าอ่อนในร่างได้มีท่าทีกระฉับกระเฉง เข้าหลอมรวมไอความเย็นในอากาศ
“ฮี่ฮี่ อัจฉริยะในทวีปเหนือเหล่านี้มีเข้าตาเพียงไม่กี่คน”
น้ำเสียงเย็นเยียบของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากแสงสีฟ้าเย็นนั้น
กลุ่มแสงสีฟ้าเย็นกระจายตัวออก เผยให้เห็นคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง
ผู้นำคือสตรีชุดขาวงดงาม ในมือถือคทาสีขาวเย็น สวมมงกุฎหงส์ที่สร้างขึ้นจากน้ำแข็ง ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นราชินีน้ำแข็งที่ปรากฏตัวขึ้นจากหมู่เมฆ
คทาสีขาวเย็นในมือของนางในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ปรากฏพลังความเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดก่อนจะค่อยๆ จางหายไป
ฟุ่บ!
ยอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นราวกับได้รับการให้อภัย
“คารวะท่านผู้สูงศักดิ์!”
“คารวะราชินีฉวนปิง!”
ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้แห่งสำนักเทียนหยวนและสามอาณาจักรใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง ค้อมคำนับลงพร้อมเพรียงกัน
การมาถึงของราชินีหิมะทำให้ระยะสิบลี้รอบด้านแปรเปลี่ยนไปเป็นดินแดนเหมันต์
นี่เพียงแค่นางบินมาพร้อมปล่อยอากาศเย็นเยียบโดยที่ไม่ทันได้ตั้งใจเท่านั้นเอง
“หาก ‘ราชินีฉวนปิง’ ผู้นี้ต้องการโจมตีจริงๆ ระยะสิบลี้รอบแท่นดาวเหนือนี้ย่อมถูกแช่แข็งในเสี้ยววินาที ในเวลาเดียวกัน หากตัดรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด และยอดฝีมือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดออกไป บางทีคนอื่นๆ ทั้งหมดคงยากที่จะหลบหนีไปได้โดยปลอดภัย”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ
สายตาของเขาแข็งแกร่งที่สุด มองเห็นได้อย่างชัดเจน
ราชินีฉวนปิงผู้นั้นได้สร้างอากาศเย็นเยียบออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทำให้ทั่วทั้งแท่นดาวเหนือกลับกลายเป็นดินแดนน้ำแข็ง
“อย่าได้มากพิธี”
ราชินีฉวนปิงโบกมือเล็กๆ มีเพียงผู้อาวุโสไม่กี่คนของสำนักเทียนหยวน สำนักวั่นหยวน และสำนักหมื่นดาบที่ตอบรับคำ
สิ่งที่ทำให้ยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจทั้งหลายรู้สึกแปลกประหลาดนั้นคือ ราชินีฉวนปิงได้สบตากับบุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว และพูดคุยกันอยู่สักหนึ่งหรือสองประโยค
บุรุษเรือนผมสีเลือดเถี่ยหมัวนั้นราวกับรู้จักราชินีฉวนปิง ไม่มีท่าทีเสียมารยาท
“ราชินีฉวนปิง! ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในตำนาน…”
เป่ยม่อที่อยู่มุมหนึ่งตื่นตะลึง ลมหายใจติดขัด
เขารู้สึกราวกับว่าโลหิตและปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างจับตัวแข็ง แขนขาทั้งราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก
นายเหนือเถี่ยเซียวที่อยู่ข้างๆ ผู้เย่อหยิ่งแห่งแคว้นมังกรโลหะและขู่เข็ญสิบสามแคว้น ยามนี้ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและหวาดกลัว กระทั่งความกล้าที่จะทักทายยังไม่มี
“ราชินีฉวนปิงเป็นผู้สูงศักดิ์ของแดนเหนือสุด ที่นั่นเองก็มีค่ายกลเคลื่อนย้าย เหตุใดจึงมายังแท่นดาวเหนือกัน?”
“ใช่แล้ว เหตุใดคนของวังฉวนปิงจึงได้มาที่นี่กัน?”
หลังจากความวุ่นวายเล็กๆ ก็เริ่มเกิดเสียงซุบซิบขึ้น
วังฉวนปิงนั้นเป็นเช่นเดียวกับสำนักเทียนหยวน หนึ่งในสิบยอดสำนัก
สำนักนี้อยู่ในทวีปเหนือ แต่นับได้ว่าอยู่ในด้านเหนือสุดของทวีป
ทว่า
หลายปีมานี้กลุ่มอำนาจของทวีปเหนือและวังฉวนปิงแทบจะไม่ไปมาหาสู่กันจนต่างฝ่ายต่างค่อยๆ แยกห่างกัน
ทว่าในยามนี้ วังฉวนปิงกลับมายังแท่นดาวเหนืออย่างไม่ปกติ
วังฉวนปิงและสำนักเทียนหยวนอยู่ในระดับเดียวกัน มีอัจฉริยะทั้งหมดสิบตำแหน่ง
อัจฉริยะทั้งสิบนั้น ส่วนมากเป็นสตรี มีบุรุษอยู่เพียงเล็กน้อย
หัวหน้าศิษย์ของวังฉวนปิงเป็นสตรีงดงามราวแกะสลักขึ้นจากน้ำแข็ง นัยน์ตาหงส์ราบเรียบ ทำให้จิตใจผู้มองสั่นสะท้าน ผิวกายทั่วทั้งร่างขาวเนียนราวหยกเย็นอันไร้ที่ติ ให้ความรู้สึกเย็นเยียบยิ่งนัก
“… ปิงเว่ยเซียนจื่อ!”
โม่เทียนอี้เอ่ยพูดอย่างยากเย็น ค่อยๆ เอ่ยตัวอักษรทั้งสี่ออกมาอย่างเชื่องช้า
“ปิงเว่ยเซียนจื่อ! หนึ่งในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทาน!”
อัจฉริยะหลายคนแห่งทวีปเหนือจิตใจสั่นสะท้าน ดวงตาจับจ้องไปยังสาวงงามที่ราวกับหยกหิมะนั้น
ปิงเว่ยเซียนจื่อนั่งนิ่ง บนกายปรากฏไอความเย็นที่ไม่อาจมองเห็นแพร่ออก กระทั่งอัจฉริยะในขั้นผู้วิเศษแท้สองคนที่มาด้วยกันยังไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
ฟุ่บ!
สายตาเย็นชาของปิงเว่ยเซียนจื่อกวาดมองเหล่าอัจฉริยะอย่างกะทันหัน
ในเสี้ยวพริบตา เหล่าอัจฉริยะพลันรู้สึกว่าจิตใจแข็งค้าง ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา ปราณจิตวิญญาณราวจับตัวแข็ง
“เป็นสตรีที่น่ากลัวนัก!”
กระทั่งคนรุ่นเก่าขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดยังรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบอันไม่อาจอธิบาย จิตใจหนาวเยือก รู้สึกไม่อาจต่อต้านได้อยู่บางส่วน
ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ทุกคนไม่อาจที่จะรับมือกับพลังความเย็นจากร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อได้
ผู้ที่แข็งแกร่งเช่น ‘โม่เทียนอี้’ ยังกัดฟันแน่น เพื่อต่อต้านความเย็นนั้นอย่างดื้อดึง
ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าเซี่ยเซียนชางและซินอู๋เหินไม่อาจที่จะต่อต้านตรงๆ ได้ ทำได้เพียงมองไปยังรูปลักษณ์งดงามหนาวเย็นของ ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’
“ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป… พลังเช่นนี้เป็นพลังที่คนรุ่นหลังควรจะมีได้หรือ”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงแรงกดดันในระดับเดียวกับผู้มีพลังในขั้นนายเหนือแท้ ร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจยับยั้ง
ในยามนี้ เขาจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำพูดของบุรุษผมสีเลือด เถี่ยหมัว ที่เคยเอ่ยกับตัวเขาในที่สุด
เถี่ยหมัวเดิมไม่ได้หวังว่าจะให้เขาติดอยู่ในชั้นแนวหน้า หากสามารถติดหนึ่งในร้อยก็นับว่าผ่านแล้ว ติดหนึ่งในห้าสิบนับว่ายอดเยี่ยม แต่จะให้ติดหนึ่งในยี่สิบนั้นเป็นไปไม่ได้ ยิ่งสิบอันดับแรก อันดับแรก… มันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น!
ปิงเว่ยเซียนจื่อกวาดมองผู้คนคราหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใด
“ปิงเว่ย เป็นอย่างไรบ้าง?”
ราชินีฉวนปิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไร้คู่ต่อสู้ ทั่วทั้งทวีป คู่ต่อสู้เพียงคนเดียวของข้าคือหยูเทียนฮ่าว”
ปิงเว่ยเซียนจื่อรั้งสายตากลับ ท่าทีผิดหวังเล็กๆ
หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ พวกนางคงไม่มายังทวีปเหนือแห่งนี้ให้เสียเวลา