บทที่ 341 : การประเมินค่าของโม่เทียนอี้
ห้าวันต่อมา
บนแท่นดาวเหนือได้มีคนมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าอัจฉริยะดาราแห่งกลุ่มอำนาจของทวีปเหนือได้รวมตัวกัน ราวกับกลุ่มดวงดาวที่ส่องสว่างแวววาว
“สำนักเทียนหยวน สามอาณาจักร และแคว้นใหญ่จำนวนมาก… ทุกกลุ่มอำนาจในทวีปเหนือคงจะมาถึงหมดแล้ว”
นัยน์ตาหงส์หลิงเยว่กงจูกวาดมองผู้คน
แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงของอาณาจักร ทว่ากลับมีจิตใจกล้าหาญราวบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะผู้ใดในทวีปเหนือล้วนรู้จัก
ฝ่ายอาณาจักรนภา
จินไท่จื่อผงกศีรษะเล็กๆ “มาถึงหมดแล้ว รอเพียงแค่แท่นดาวเหนือเชื่อมต่อกับแดนศักดิ์สิทธิ์ของพันธมิตร”
เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายของแท่นดาวเหนือและแดนศักดิ์สิทธิ์ของพันธมิตรเชื่อมต่อกัน ประตูสู่งานชุมนุมเซียนมังกรก็จะเปิดขึ้น
ในวันเวลาที่ผ่านมา เหล่าสำนักกลุ่มอำนาจต่างก็ทดสอบประลองกันเรื่อยๆ
บ้างก็ ‘มองหาอัจฉริยะหน้าใหม่’ มาท้าประลองเพื่อให้ ‘รู้สถานการณ์จริง’
ดังนั้นแล้ว
ชางหยูเยว่ จ้าวหยูเฟ่ย และอัจฉริยะคนอื่นๆ จึงได้ประลองอยู่บ่อยๆ
น่าประหลาดใจที่อัจฉริยะทุกคนที่ปรากฏตัวอยู่มีพลังต่อสู้สูงเกินกว่าจินตนาการ
ความเข้าใจในศาสตร์แห่งดาบของชางหยูเยว่น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก หลายคนที่อยู่ในระดับเดียวกันที่ท้าประลองนาง กระทั่งอัจฉริยะในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดยังพ่ายแพ้ลงด้วยคมดาบของนาง
คู่ต่อสู้ของนางพ่ายแพ้ลงในหนึ่งคมดาบเท่านั้น
“เป็นจิตแห่งดาบที่น่าหวาดกลัวนัก… รูปแบบศาสตร์แห่งดาบรุนแรงยิ่ง…”
เทียนหยุนจือเมื่อรับรู้ถึงความเข้าใจศาสตร์แห่งดาบของชางหยูเยว่ก็สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
ความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวนี้ได้ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเคลือบแคลงว่านางกลายมาเป็นหนึ่งในสองผู้มีเกียรติขอสำนักหมื่นดาบได้อย่างไร
จะอย่างไรชางหยูเยว่ก็เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิบสามสำนักพันธมิตร ยามที่นางก่อกำเนิดจิตแห่งดาบขึ้นนั้นยังเยาว์วัยกว่า ‘เซี่ยเซียนชาง’ มากนัก
งานประลองสิบสามสำนักพันธมิตรในอดีต กระทั่งจ้าวเฟิงก็เกือบพ่ายแพ้ให้แก่นาง
ความสามารถของจ้าวหยูเฟ่ยโดดเด่น ใช้พลังเพียงผิวเผินก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้จำนวนมากได้
หลังจากที่พลังสายเลือดของนางตื่นขึ้นและย้อนคืน ความเร็วในการรวมปราณแท้ของนางก็เข้าสู่ระดับที่น่าหวาดกลัว กระทั่งมีพลังปะทุรุนแรง
ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ อัจฉริยะอันดับสองของอาณาจักรจื่อจินที่ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับจินไท่จื่อยังพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวหยูเฟ่ย
รวมทั้ง
เทียนหยุนจือและหลิงเยว่กงจูยังท้าประลองกับ ‘ซินอู๋เหิน’ พ่อมดในตำนานผู้นี้
สุดท้ายแล้ว เทียนหยุนจือได้พ่ายแพ้ให้ซินอู๋เหินที่ใช้เพียงมือเดียวในสิบกระบวนท่า
ผลการท้าประลองของหลิงเยว่กงจูยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้า ไม่อาจไล่ต้อนให้อีกฝ่ายใช้สองมือได้
“ซินอู๋เหินผู้นี้ใช้หนึ่งมือประลองกับข้า… น่าเสียดายที่ยามนี้ข้ายังใช้ไพ่ตายไม่ได้”
นัยน์ตาหงส์ของหลิงเยว่กงจูกลอกไปมา มักจะมองไปยังซินอู๋เหินอย่างไม่พอใจ
ทว่าซินอู๋เหินปิดเปลือกตานั่งขัดสมาธิ ไม่สนใจนางโดยสิ้นเชิง
น่าเสียดายที่
เรื่องราวเหล่านี้ จ้าวเฟิงยังคงนั่งขัดสมาธิทำความเข้าใจ ทำให้พลาดการต่อสู้น่าตื่นตาไป
ในยามนี้ ในใจและจิตวิญญาณของเขากำลังฝึกฝน กระทั่งการมาถึงของจ้าวหยูเฟ่ย ซินอู๋เหิน และคนอื่นๆ เขาก็ไม่รับรู้
เปรี้ยง
กลางอากาศปรากฏเสียงฟ้าผ่าขึ้น ฝนพลันตกหนัก
เหล่าอัจฉริยะบางคนหลบฝนไม่ทันจึงทำให้ตัวเปียกโชกไปทั้งตัว
“พายุฝน?”
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ขณะที่เขากำลังฝึกฝน ประสาทสัมผัสในไอสวรรค์อัสนีที่เข้มข้นนั้นนับว่าคุ้นเคยนัก
เมื่อผ่านการฝึกฝนตนเองอย่างหนักเกือบสองเดือน พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นไปอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน ขอบเขตวิญญาณของเขาก็สูงส่ง ประสาทสัมผัสแข็งแกร่ง สามารถตรวจจับไอสวรรค์อัสนีได้
นอกจากนั้น ในร่างของจ้าวเฟิงยังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่แปลกประหลาดถูกผนึกไว้โดยจอมโจรฉุ่ยเยว่อยู่
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนั้นใกล้เคียงกับขั้นนายเหนือแท้ มักจะส่งกลิ่นอายเจือจางออกมา สามารถเพิ่มประสาทสัมผัสและความเข้าใจให้กับจ้าวเฟิงได้ในระดับหนึ่ง
โดยไม่รู้ตัวว่า
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้เข้าใกล้ขั้นมนุษย์แท้ระดับสูง
ทุกวันนี้ ‘มรดกอัสนี’ และ ‘จิตวิญญาณเหมันต์โบราณ’ สองแก่นกลางทั้งสองได้ทำให้การฝึกตนของจ้าวเฟิงเข้าสู่ขั้นสูงสุด ทว่ายังมีอุปสรรคราวยอดเขาสูงขัดขวางไว้อยู่
“งานชุมนุมเซียนมังกรเหลือเวลาอีกนานเท่าใดกัน?”
สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองผู้คน
“หัวหน้าสาขา ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว อีกราวๆ 10 วันแท่นดาวเหนือจะสามารถนำเราไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพันธมิตร”
เจียงซานเฟิงเอ่ยตอบ
“อืม ซินอู๋เหิง… ยังมีชางหยูเยว่… หยูเฟ่ย…”
จ้าวเฟิงกวาดตามองผู้คน ปรากฏความประหลาดใจที่น่ายินดีไม่น้อย มุมปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มยินดี
ในเวลาเดียวกัน
ฝ่ายสำนักวั่นหยวน ซินอู๋เหินที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันรับรู้ขึ้นได้
“ซินอู๋เหิน เราพบกันอีกแล้ว”
น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของซินอู๋เหินจากความว่างเปล่า
ซินอู๋เหินเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กๆ เปิดดวงตาที่ลึกล้ำไร้จุดสิ้นสุดขึ้น
ดวงตาคู่นั้นปรากฏตะกอนความผันผวนขึ้นอย่างลึกลับ ห่างไกลจากดวงตาที่คนรุ่นใหม่ควรจะมี
“ในอดีตข้าเคยคาดหวังไว้ ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่ง เราจะได้เจอกันอีกครั้ง”
สีหน้าของซินอู๋เหินปรากฏความตื่นตะลึงขึ้นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ทอดถอนใจด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ในงานชุมนุมอัจฉริยะในอดีต เขาได้กดพลังฝึกตนลงขั้นหนึ่ง ประลองจนเสมอกับจ้าวเฟิง ก่อนจะตัดสินใจออกจากดินแดนของแคว้นเมฆา
ในยามนี้
ความแปลกประหลาดได้ปรากฏขึ้นบนแท่นดาวเหนือ
สองเด็กหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิปิดตาอยู่แทบจะเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกัน ดวงตาทั้งสองคู่สบตากัน สีหน้าซับซ้อน ทอดถอนใจอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์
“หัวหน้าสาขาจ้าว ท่านรู้จักซินอู๋เหินหรือ?”
เจียงซานเฟิงพูดอย่างประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกัน
หลิงเยว่กงจูสังเกตรายละเอียดเหล่านั้น จ้าวเฟิงและซินอู๋เหิงที่สบตากันใบหน้าปรากฏความประหลาดใจยินดี ทั้งซาบซึ้ง หลากหลายอารมณ์ยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกเด็กนี่มากไป ดูจากความสัมพันธ์ของเขากับซินอู๋เหินแล้ว นี่ไม่ใช่แค่การพบกันโดยบังเอิญ แต่เหมือนกับสหายที่จากกันเป็นระยะเวลาอันยาวนาน”
นัยน์ตาหงส์ของหลิงเยว่กงจูส่องประกายวูบ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อยู่ในสายตาของอัจฉริยะหลายคน
“จ้าวเฟิง ที่ข้าพ่ายให้แก่เจ้าในอดีตทำให้ข้าทรมานตนเองไม่ว่ายามเหมันต์หรือคิมหันต์ ข้าได้ลับคมดาบของข้าให้แหลมคมกว่าเดิม งานชุมนุมเซียนมังกรครานี้ ข้าจะใช้ดาบในมือข้าทำลายความอับอายในครั้งนั้น”
น้ำเสียงเย็นเยียบของชางหยูเยว่ดังขึ้น
สายตาของนางราวกับปรากฏคมดาบที่มองไม่เห็นเข้าทิ่มแทง ทำให้อัจฉริยะจำนวนมากจิตใจร่างกายหนาวเยือก
ฟึบฟึบ!
สายตาจำนวนมากมองไปยังร่างของจ้าวเฟิง เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและสงสัย
เด็กหนุ่มผู้นี้มีความลับอันใดกันแน่? กระทั่งชางหยูเยว่ที่ทรงพลังเช่นนี้ยังเคยพ่ายแพ้ให้แก่เขา รวมทั้งซินอู๋เหินที่ไม่อาจมองออกได้ทะลุปรุโปร่งยังดูราวกับรู้จักกับเด็กหนุ่มมานาน
“งานชุมนุมเซียนมังกรครานี้ คู่ต่อสู้และเรื่องน่าประหลาดใจที่น่ายินดีช่างมากมายนัก”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี รู้สึกคาดหวังขึ้นหลายส่วน
เขาไม่กลัวที่จะประลองกับชางหยูเยว่ กระทั่งคาดหวังที่จะได้ประลองกับซินอู๋เหิน อัจฉริยะในตำนานของทวีป
กลางอากาศ สายฝนยังคงสาดเทลง
น้ำเสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้นในสมองของจ้าวหยูเฟ่ย คนทั้งสองพูดคุยกันผ่านจิต
ความยินดีบนใบหน้างดงามของจ้าวหยูเฟ่ยมีมากกว่าในสองเดือนที่ผ่านมา
ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของโม่เทียนอี้
ด้วยเหตุใดไม่มีผู้ใดทราบ โม่เทียนอี้พลันรู้สึกสนใจเด็กหนุ่มผมฟ้านั่นขึ้นกะทันหัน
“เว่ยหยุนฉี เจ้าลองไปทดสอบเด็กผมฟ้านั่นหน่อย”
โม่เทียนอี้ส่งเสียงผ่านจิตไปยังศิษย์หลักที่อยู่ใกล้ๆ
เว่ยหยุนฉีรู้สึกเหมือนได้รับความโปรดปรานขึ้นมาทันใด
ในการแข่งขันชิงตำแหน่งงานชุมนุมเซียนมังกรของสำนักเทียนหยวนครานี้ แม้เขาจะมีพลังฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด ทว่ากลับได้ครองเพียงอันดับเก้าเท่านั้น
โม่เทียนอี้ บุตรที่สวรรค์รักใคร่ผู้นี้คืออัจฉริยะในตำนานของทวีปเหนือ ทั้งยังเป็นศิษย์ของผู้สูงศักดิ์ เป็นสิ่งที่เว่ยหยุนฉีไม่อาจได้ครอบครอง
ไม่ช้า
เว่ยหยุนฉีได้เดินไปยังทางที่พักของอาณาจักรนภา
“ศิษย์หลักสำนักเทียนหยวน”
จินไท่จื่อและคนอื่นๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน
สิบยอดสำนัก สำนักในระดับนี้ กระทั่งสามอาณาจักรยังทำได้เพียงแหงนหน้ามอง
“ฮี่ฮี่ น้องจ้าวเฟิงผู้นี้ดูค่อนข้างลึกลับ ราวกับพื้นเพไม่ธรรมดา ใจของคนแซ่เว่ยผู้นี้ไม่เป็นสุขนัก อยากจะประลองด้วยสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า”
คำพูดของเว่ยหยุนฉีสุภาพอย่างมาก
จ้าวเฟิงมุ่นคิ้วเล็กๆ การประลองนี้ไร้ซึ่งเหตุผลโดยสิ้นเชิง รู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง
“รู้สถานการณ์จริงเช่นนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ครั้งนี้ตัดสินใจร่วมประลองเพื่อยืดเส้นยืดสาย
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองเว่ยหยุนฉีอย่างรวดเร็ว สามารถคาดเดาถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง
พลังฝึกตนของคนผู้นี้และจินไท่จื่อเท่าเทียมกัน ทว่าไม่มีพลังสายเลือด บางทีแม้พลังฝึกตนจะสูง ทว่าความแข็งแกร่งโดยรวมอาจเท่าเทียมกับจินไท่จื่อ หรือด้อยกว่าเล็กๆ
พลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ จ้าวเฟิงสามารถใช้หนึ่งการมองในการเอาชนะได้
“แต่ก็ดี แก่นแท้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ หลอมรวมเข้ากับมรดกอัสนีมีการพัฒนาความสามารถใหม่ขึ้นมาก ใช่เขา…”
จ้าวเฟิงยืนนิ่ง
ในยามนี้
ความสนใจของยอดอัจฉริยะจำนวนมากของทวีปเหนืออยู่ ณ ตรงนี้ รวมทั้งหลิงเยว่กงจู ซินอู๋เหิง ชางหยูเยว่ โม่เทียนอี้ และคนอื่นๆ ที่ให้ความสนใจ
“อายุของน้องจ้าวและพลังฝึกตนด้อยกว่าเมื่อเทียบกับข้า คนแซ่เว่ยผู้นี้ใจกว้าง จะยอมให้เจ้าสิบกระบวนท่า”
เว่ยหยุนฉีมีสีหน้ายินดี
เขาไม่เข้าใจจ้าวเฟิง ทั้งอายุ พลังฝึกตน และคุณสมบัติล้วนสูงกว่าอีกฝ่าย ย่อมรู้สึกละอาย รู้สึกดังเช่นคนแข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ
“ได้”
จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธ
ฟิ้ว
เพียงสิ้นเสียง อากาศพลันปรากฏประกายสายฟ้าขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มจางหายไปจากที่เดิม
“ไม่ดีแล้ว…”
เว่ยหยุนฉีรู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนนั้นเต็มไปด้วยความหนึบชา ลอบคิดในใจว่าไม่ดีแล้ว
เขากระตุ้นโคจรปราณณจิตวิญญาณอย่างไม่รู้ตัว คลื่นปราณจิตวิญญาณพุ่งวูบกวาดไปรอบกาย ไม่ว่าสิ่งใดที่เข้าใกล้จะถูกดีดกระเด็นออกไป
ครืนนน
เงาร่างสายฟ้าปรากฏขึ้นเบื้องหลังเว่ยหยุนฉีราวกับสายลมที่พัดไหว สั่นสะท้านพร่าเลือน
“วิชาเคลื่อนไหวของเด็กนี่แปลกประหลาดยิ่งนัก”
ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก ลอบโทษตนเองว่าไม่ควรดูแคลนคู่ต่อสู้
เว่ยหยุนฉีไม่รู้ว่าในยามนี้ คนโดยรอบกำลังเบิกดวงตากว้างจ้องมองไปยังเหนือศีรษะของเขา
ย่างก้าวอัสนีเปลี่ยนร่าง
เงาร่างสายฟ้าราวกับโผล่ออกมาจากอากาศ ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเว่ยหยุนฉี
อันใดกัน
เว่ยหยุนฉีตกใจ เหนือศีรษะรู้สึกถึงการถูกไฟฟ้าช็อตจนหนึบชาอย่างเห็นได้ชัด แสงสะท้อนจากดวงตาเขากระทั่งมองเห็นกระแสไฟฟ้าที่หมุนไปรอบๆ
ผัวะ
เขาตกใจ ใช้กรงเล็บวาดไปยังเงาของจ้าวเฟิงที่อยู่เหนือศีรษะ
ทว่าท้ายที่สุดกลับโจมตีไม่โดนสิ่งใด เงาที่อยู่เหนือศีรษะพลันจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ย่างก้าวโยกย้ายอัสนี
ร่างเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าร่างกายมีสายฟ้าโอบล้อมปรากฏขึ้นเบื้องหลังคู่ต่อสู้
ร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ใกล้ชิดกับเขานัก
สายโซ่อัสนี
เด็กหนุ่มผมฟ้าอยู่เบื้องหลัง ส่งโซ่สายฟ้าหนาเท่านิ้วโป้งออกมารัดพันร่างของเว่ยหยุนฉี
“อ๊ากกก”
ร่างของเว่ยหยุนฉีสั่นสะท้าน ถูกรัดโดยโซ่สายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่มีทางที่จะต่อต้าน
ตุบ
เพียงหนึ่งหรือสองลมหายใจ ทั่วทั้งร่างของเว่ยหยุนฉีก็ดำไหม้ราวถ่าน ล้มลงปรากฏควันดำลอยขึ้นทั่วทั้งตัว
ทว่าในยามนี้
เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นั้นยังคงอยู่ใกล้ร่างของเขา มุมปากปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้น ทำให้ผู้คนที่เฝ้ามองรู้สึกหวาดผวา
“ด้วยพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดของเว่ยหยุนฉีกลับตกอยู่ในกำมือของเด็กหนุ่มผู้นี้”
“เป็นวิชาเคลื่อนไหวที่น่าพรั่นพรึงนัก หลอมรวมเจตจำนงแห่งอัสนี เสริมสร้างความลึกลับให้หลายส่วน”
ฝั่งอาณาจักรนภา จินไท่จื่ออึ้งตะลึง แผ่นหลังปรากฏเหงื่อเย็นเยียบ “ความแข็งแกร่งของเว่นหยุนฉีไม่ด้อยกว่าข้านัก จ้าวเฟิงผู้นี้ปกปิดความแข็งแกร่งไว้มากมายเพียงใดกัน?”
ความจริงแล้ว ในงานประลองในเมืองหลวงนั้นจ้าวเฟิงไม่ได้ปกปิดความแข็งแกร่งอันใดมากมาย
เพียงแต่ว่าหลังจากที่ได้ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจ เด็กหนุ่มก็พัฒนาขึ้นมาก
“ก็ไม่เลว”
โม่เทียนอี้รั้งสายตากลับ พอที่จะค้นพบความสามารถส่วนหนึ่งของจ้าวเฟิง ใบหน้าไม่ปรากฏความสนใจใดๆ อีก