Skip to content

King of Gods 358

King Of Gods

บทที่ 358 : ป้องกันการโจมตีของผู้ถูกเลือก (2)

ในยามนี้

ทุกปาฏิหาริย์และเรื่องราวที่เป็นไปไม่ได้ในลานประลองชางกู่ได้รวมกันอยู่ที่ร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าแห่งลานประลองเหนือแล้ว

จากพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ ข้ามขั้นไปมีพลังฝึกตนเทียบเท่าขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำในเสี้ยววินาที

ลานประลองเหนือ

ครืน เปรี้ยง ตูม

จ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อปะทะกันห่างออกไป พลังอันมากมายของทั้งสองปะทะกันเหนือลานประลอง กลิ่นอายแรงกดดันที่น่าพรั่นพรึงได้ทำให้เหล่าอัจฉริยะล่างลานประลองจำนวนนับไม่ถ้วนต้องหายใจติดขัด

ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นผู้วิเศษแท้

หน่อสำนึกรู้ขั้นผู้วิเศษแท้

แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณขั้นผู้วิเศษแท้

จากฉากหน้า จ้าวเฟิงและพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำแทบจะไม่อาจแยกออกจากกันได้

“แผนสำเร็จ โอกาสที่จะติดหนึ่งในสิบอันดับแรกและท้าประลองผู้ถูกเลือกไม่ใช่เพียงความฝันอีกต่อไป”

ความพยายามอย่างหนักหน่วงที่ผ่านมาของจ้าวเฟิง ได้ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเสวียนอ้าวของฟ้าดิน ระเบิดพลังปราณจิตวิญญาณขั้นผู้วิเศษแท้ พลังแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัว

เมื่อจ้าวเฟิงพบว่าขอบเขตจิตวิญญาณของตนเองนั้นสูงเพียงพอ สามารถสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ขึ้นได้ ในสมองก็ส่องประกายวาบ ให้กำเนิดแผนการที่น่าตื่นตะลึงขึ้นแผนหนึ่ง

ในยามนั้น

ความคิดของจ้าวเฟิงคือ หากสามารถสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ขึ้นได้ นอกจากด้านพลังฝึกตนที่แท้จริงแล้ว ด้านอื่นๆ นั้นไม่มีความแตกต่างมากมายกับขั้นผู้วิเศษแท้เลย

ทว่าเขาก็ยังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่

สร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ควบคุมแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของ “จอมโจรฉุ่ยเยว่” ในยามนั้น มิใช่ว่าตัวเขากับขั้นผู้วิเศษแท้จะนับว่าไม่แตกต่างกันหรือ?

แผนการนี้น่าตื่นตะลึง เป็นเช่นการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นเทพ

เมื่อสำเร็จ งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ สำหรับจ้าวเฟิงก็นับว่ามีหวัง กระทั่งมีโอกาสสามารถท้าประลองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้

แน่นอนว่า

การที่แผนนี้สำเร็จ นอกจากดวงแล้วยังมีเงื่อนไขที่สำคัญอีกสองประการ

หนึ่งคือหน่อสำนึกรู้ ต้องหลอมรวมแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เข้าไปด้วย

สองคือแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่

เงื่อนไขทั้งสองคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทั้งยังเป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งนัก

ยอดฝีมือขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป หากสิ้นชีพก็ยากที่จะรักษาแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณไว้ได้ และยิ่งไม่อาจที่จะมอบให้แก่ผู้อื่นได้

ทว่า

จอมโจรฉุ่ยเยว่มีวิชาต้องห้ามจากมรดกความลับสวรรค์ ก่อนตายสามารถมอบแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณได้ในสภาวะพิเศษ

นี่คือแผนการที่วางไว้เป็นอย่างดีของจอมโจรฉุ่ยเยว่ เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ของผู้สืบทอด ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้ฝึกฝน ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ตรงๆ ทว่ายังได้รับ ‘มรดก’ ในอีกรูปแบบหนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนี้

“ยอดเยี่ยมงดงามโดยแท้”

บุรุษผมเลือด เถี่ยหมัว ที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชมตบโต๊ะ มีท่าทีตื่นเต้นเอ่ยชื่นชมขึ้นอย่างหาได้ยาก

ในฐานะของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด เถี่ยหมัวได้เป็นคนชักชวนจ้าวเฟิงเข้ามา ข้อมูลเหตุการณ์ทั้งหมดในอดีตของอีกฝ่ายล้วนต้องล่วงรู้อยู่แล้ว

บัดนี้เพียงรอให้จ้าวเฟิงประสบความสำเร็จ สิ่งที่ตัวเถี่ยหมัวได้คาดหวังไว้ก็เกือบจะเป็นความจริงแล้ว

ไม่เพียงแค่เถี่ยหมัวที่ตบโต๊ะเอ่ยชื่นชม ผู้คนที่คุ้นเคยกับจ้าวเฟิง รู้จักจ้าวเฟิง รวมทั้งชมชอบจ้าวเฟิงล้วนแล้วแต่อุทานออกมาในเวลาเดียวกัน

“ยอดเยี่ยมยิ่งนักศิษย์น้องจ้าว… เจ้าได้แสดงพลังให้ผู้คนได้ประจักษ์อีกครั้งแล้ว”

บนที่นั่งผู้ชม นัยน์ตาของหยางก่านพลันเปียกชื้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ น้ำเสียงสั่นสะท้าน

ตั้งแต่ยามที่มาถึงงานชุมนุมเซียนมังกร เขาก็เฝ้ามองการประลองของจ้าวเฟิงอย่างตั้งใจ

ชายหนุ่มรับรู้ในที่สุด ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ผู้อาวุโสหนึ่งส่งเขามาชมงานชุมนุมเซียนมังกร

“ยอดเยี่ยมพี่จ้าวเฟิง เจ้าทำสำเร็จ”

จ้าวหยูเฟ่ยสะอื้น

หลิวฉินซิน เตี๋ยเย่ เจียงซานเฟิง และคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและยินดี

ในขณะที่เหล่าตัวแทนอัจฉริยะจากอาณาจักรนภาอย่างจินไท่จื่อ เทียนหยุนจื่อ และคนอื่นๆ ตื่นตะลึง ก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นบ้างอย่างช่วยไม่ได้

“สวรรค์ ความมหัศจรรย์มากมายเพียงนี้นับว่าน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ไม่อาจใช้คำว่าม้ามืดมาอธิบายเด็กคนนี้ได้แล้ว”

ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เขาคือผู้ที่ชมชอบจ้าวเฟิงอย่างมาก มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เป็นศิษย์พี่ ‘ฉินคุนอู๋’

บนใบหน้าของฉินคุนอู๋ระบายไปด้วยความตื่นตะลึง มองไปด้วยสีหน้าว่างเปล่าไม่อาจเอ่ยคำใด

การเปลี่ยนแปลงที่สั่นคลอนสวรรค์บนลานประลองเหนือได้ส่งผลต่อทั้งลานประลองชางกู่ ทำให้อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนโลหิตเดือดพล่าน

“จ้าวเฟิง จ้าวเฟิง”

“การประลองกับผู้ถูกเลือกนี้ พวกเราสนับสนุนเจ้า”

เสียงของเหล่าผู้คนตะโกนออกมาดังสนั่น

ตำนานอันไร้เทียมทานของเหล่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นั้นเป็นราวกับเงาที่ปกคลุมจิตใจของเหล่าอัจฉริยะในยุคนี้

ทว่าจ้าวเฟิง ม้ามืดที่สร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้ก็เหมือนเช่นต่อต้านลิขิตสวรรค์ ท้าทายเหล่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

ท้องฟ้าเหนือลานประลอง บนแท่นสูงรูปวงรี

“ไม่น่าเชื่อ มันมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแปลกประหลาดอยู่ในร่างของเขา บางทีอาจมาจากวิชาลับของมรดกความลับสวรรค์”

“เขาดิ้นรนต่อสู้ไปทีล่ะก้าว ในสถานการณ์ที่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ทว่าเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นั้น การดิ้นรนต่อต้านนี้ได้ทำให้เขาสร้างปาฏิหาริย์ได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

ผู้สูงศักดิ์หลายคนเอ่ยด้วยอารมณ์สั่นไหว

พวกเขาคาดเดาว่าจ้าวเฟิงจะพ่ายแพ้ อีกฝ่ายต้องยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มประลอง มีหรือจะคาดคิดว่าจะสร้างปาฏิหาริย์ได้หลังจากนั้น?

ทว่าในพจนานุกรมของจ้าวเฟิงไม่มีความว่า ‘ยอมแพ้’ สองอักษรนี้เขียนอยู่ พ่ายได้ แต่ไม่อาจยอมแพ้

เมื่อเห็นเช่นนี้ เถี่ยหมัวที่อยู่บนที่นั่งผู้ชมก็อดที่จะจมลงสู่ห้วงความคิดไม่ได้

เขาจดจำตัวเขาในปีที่ผ่านๆ มาได้ เวลาที่เขายอมแพ้และยอมรับสภาพ หากยามนั้นเขาไม่ยอมแพ้และดิ้นรนต่อไปข้างหน้า บางทียามนี้อาจเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไปแล้วก็เป็นได้

คนที่อยู่ในห้วงอารมณ์เช่นเดียวกันคือโม่เทียนอี้

หมัดทั้งสองของชายหนุ่มกำแน่น ร่างกายสั่นสะท้าน

โม่เทียนอี้พลันค้นพบถึงสิ่งที่เขาขาดหายไป

ยามที่เผชิญหน้ากับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ หยูเทียนฮ่าว หนึ่งกระบวนท่าเขาก็ยอมแพ้ ในยามนั้น เขาเห็นถึงความผิดหวังเล็กๆ บนใบหน้าของอีกฝ่าย

เมื่อเทียบแล้ว ความแตกต่างระหว่างจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อนั้นมากมาย กลับกัน ความแตกต่างระหว่างเขากับหยูเทียนฮ่าวไม่ได้ยิ่งใหญ่เพียงนั้น

“ยอดเยี่ยม มีเพียงคู่ต่อสู้เช่นนั้นที่ควรค่าแก่การชื่นชม”

นัยน์ตาของหยูเทียนฮ่าวปรากฎประกายตื่นตะลึงชื่นชม

เรือนร่างของชายหนุ่มส่งกลิ่นอายเร่าร้อน โลหิตเดือดพล่าน ความตั้งมั่นในดวงตาเหนือกว่าปกติ

หยูเทียนฮ่าวคือหัวหน้าของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ยืนอยู่เหนืออัจฉริยะทั้งหมดของทวีป เป็นที่รู้กันว่าเหนือกว่าผู้นำลัทธิมารจันทราชาดและจอมดาบเย่อู๋เสี่ยในช่วงเวลาเดียวกันหลายสิบเท่า

อัจฉริยะอันดับหนึ่งตลอดกาล

ผู้คนมองไปอย่างสงสัย อัจฉริยะที่ไร้ที่ติและมักจะเดียวดายอยู่เสมอผู้นี้ได้เอ่ยชื่นชมผู้อื่นเป็นครั้งแรก

คำชื่นชมของผู้คนต่อจ้าวเฟิงได้เพิ่มระดับขึ้นไปอีกครั้ง

“หยูซิงเฉิน สายเลือดตระกูลหยูของเจ้ามีพลังปราณมากที่สุดบนโลก ยากที่จะหาผู้ใดเทียบเคียงได้ ใฝ่หาคู่ต่อสู้อย่างจริงจัง บนร่างของบุตรชายเจ้าก็ดูเหมือนจะมีอาการคล้ายๆ กัน”

ร่างยักษ์ผิวทองแดง ‘รองหัวหน้าสหพันธ์’ เอ่ยขึ้นอย่างสนใจ

“ในอดีตกาล บรรพบุรุษต้นสายเลือดของตระกูลหยูของข้านาม ‘หยูอู๋ชวง’ เป็นที่รู้กันว่าราวกับมาจากฟ้า ใต้ผืนฟ้านี้เป็นผู้แข็งแกร่งไร้คู่ต่อสู้ ความต้องการของเขาคือการครองโลก”

สีหน้าของผู้สูงศักดิ์หยูซิงเฉินเต็มไปด้วยความปรารถนา

“เช่นนั้นท้ายที่สุดหยูอู๋ชวงทำได้สำเร็จหรือไม่?”

ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ใกล้ๆ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือมนุษย์ยังมีมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่เป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง

“เขาทำได้สำเร็จ ทว่าผลนั้นคือเขาไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว— ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงคำสอนของตระกูลหยูของข้าที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น”

หยูซิงเฉินเอ่ยอย่างเคร่งเครียด

ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายที่ได้ยินเช่นนั้นจมลงสู่ห้วงภวังค์อย่างช่วยไม่ได้

หยูซิงเฉินเอ่ยว่า ‘หยูอู๋ชวง’ เป็นเพียงบุคคลในตำนานที่ไม่มีอยู่จริง

ไม่ว่าหยูอู๋ชวงจะครอบครองโลก กลายเป็นผู้ไร้คู่ต่อสู้จริงหรือไม่มิใช่เรื่องสำคัญ ทว่ามันคือคำสอนของบรรพบุรุษ! เป็นสิ่งที่มีความหมาย

ลานประลองเหนือ

ทุกการกระทำการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิง หน่อสำนึกรู้จะแสดงแก่นแท้ความเข้าใจชั่วชีวิตของเขาออกมา เชื่อมต่อไปยังเสวียนอ้าวแห่งฟ้าดิน

ย่าห์

เด็กหนุ่มตวาดเสียงดัง ทุกการโจมตีเทียบเท่าได้กับพลังของผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ

การประลองระหว่างยอดฝีมือ พลังฝึกตนของแต่ละคนนับเป็นพลังพื้นฐานที่สุด

จากนั้นจึงเป็นแก่นแท้วิชา พลังสายเลือด อาวุธวิเศษและอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยช่วยเสริมพลังให้แข็งแกร่งขึ้น

พลังฝึกตนในยามนี้ของจ้าวเฟิงเทียบได้กับขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ เมื่อรวมกับการเสริมพลังของหน่อสำนึกรู้และพลังสายเลือดที่เพิ่มขึ้น การโจมตีธรรมดาเพียงหนึ่งฝ่ามือก็สามารถระเบิดร่างของผู้ฝึกตนขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปได้แล้ว

“นี่… นี่มันเป็นไปได้อย่างไร”

ความรู้สึกส่วนลึกของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ปิงเว่ยเซียนจื่อ ส่งเสียงเตือนดังลั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและเคลือบแคลง ดูราวกับไม่อาจยอมรับความจริงได้

ยามที่ต่อสู้กันก่อนหน้า นางจำต้องออมพลังเอาไว้บางส่วนเพื่อไม่ให้เผลอหรือจงใจฆ่าอีกฝ่ายไป เพราะจะส่งผลกระทบต่องานชุมนุมเซียนมังกรที่เหลือ

แผนของนางคือการใช้ความเย็นกัดกร่อนร่างกายของจ้าวเฟิง ทำให้กลายเป็นเพียง ‘ศพเย็นเยียบ’ ที่มีความนึกคิดทว่าไม่อาจขยับไหว พลาดโอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรและตายในอีกหกเดือนให้หลัง

ผู้ใดเล่าจะคาดคิด

แผนการไม่เพียงไม่สำเร็จ คู่ต่อสู้กระทั่งบรรลุขั้น

สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัด โจมตีกลับมาที่นางอย่างหนักหน่วง

การทำตามแผนทุกอย่างของนางอย่างตั้งใจ กลับช่วยเพิ่มพลังให้คู่ต่อสู้

ในยามนี้ ปิงเว่ยเซียนจื่อนับว่าทุ่มพลังสุดตัวในการประลองกับจ้าวเฟิง

พลังความเย็น วิชา รวมทั้งสายเลือดของปิงเว่ยเซียนจื่อไม่มีเก็บรั้งเอาไว้ พลังโดยรวมแม้นับในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ยังนับว่าเป็นแนวหน้า

ทว่าปัญหานั้นคือพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงสามารถดูดกลืนและเปลี่ยนแปลงพลังความเย็นได้ ยิ่งนานไปสายเลือดยิ่งแข็งแกร่งทรงพลัง สร้างแรงกดดันเล็กๆ ให้แก่ปิงเว่ยเซียนจื่อ

ในสถานการณ์ที่ระดับพลังของสองฝ่ายไม่แตกต่างกันมากเกินไป ลักษณะพิเศษพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงเหนือกว่าอย่างมาก

รวมทั้งจ้าวเฟิงยังมีการป้องกันของ ‘สามปทุม’ เมื่อพลังฝึกตนสูงกว่า การป้องกันก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ในอดีต จอมโจรฉุ่ยเยว่กระทั่งใช้สามปทุมนี้ในการรับมือกับการตามล่าของกลุ่มคนในขั้นนายเหนือแท้ได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ

ที่น่าเศร้าคือ

วิธีการโจมตีทั้งหมดของปิงเว่ยเซียนจื่อมีธาตุน้ำแข็ง เมื่อการโจมตีใดเข้าใกล้ร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวก็จะถูกเงาเย็นเยียบและบัลลังก์น้ำแข็งดูดกลืนทำลายไปกว่าครึ่ง กระทั่งเพิ่มความทนทานให้แก่สายเลือดของเด็กหนุ่ม

ความพิเศษนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คนผู้หนึ่งเหนือกว่าผู้อื่น

ทว่าในสถานการณ์ที่เท่าเทียมกัน เมื่อความพิเศษนั้นเจอขั้วตรงข้ามก็นับว่าน่าอนาถไม่น้อย

การโจมตีของจ้าวเฟิงสามารถจู่โจมไปยังจิตใจและกายเนื้อได้พร้อมกัน

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า

นัยน์ตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องประกายเพลิงอัสนีสีเขียวอ่อน

ฟุ่บ เปรี้ยง

เมื่อเทียบกับก่อนหน้า เพลิงอัสนีนี้ได้ปรากฏขึ้นยังร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อจากความวางเปล่า อาละวาดทำลายร่างกายของหญิงสาว

แม้ว่านางจะมี ‘กายหยกฉวนปิง’ ก็ไม่กล้าที่จะประมาทการโจมตีนี้

“เพลิงอัสนีของเขากำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”

ร่างกายและจิตใจของปิงเว่ยเซียนจื่อได้รับความเจ็บปวดไม่น้อย โดยเฉพาะจิตใจ

กระทั่งผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ยังต้องรับมือกับมันอย่างระมัดระวัง สามารถแสดงให้เห็นถึงพลังของ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิงในยามนี้ได้

จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้ช่วงเวลานั้นในการไล่ต้อน ทว่ากลับใช้มันในการหลอมรวมดูดกลืนแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่

“มีเพียงแค่ผ่านการหลอมรวมแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่ แก่นแท้ ปราณ และจิตวิญญาณ ทั้งสามปัจจัย จึงจะสามารถนับได้ว่าข้าอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ได้จริงๆ”

จ้าวเฟิงไม่ได้เลอะเลือนไปกับพลังแข็งแกร่งในปัจจุบัน

บัดนี้เขาดูเหมือนว่าขอบเขตจิตวิญญาณและปราณจิตวิญญาณได้บรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้

ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว

มีเพียงแค่การหลอมรวมแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่เข้ากับหน่อสำนึกรู้ เลือดเนื้อ จิตวิญญาณ และเสวียนอ้าวได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เกิดการต่อต้านกับแก่นแท้ ปราณ และจิตวิญญาณของตัวเขา จึงนับว่าสำเร็จ

“พลังฝึกตนที่แท้จริงของข้าในยามนี้ อย่างมากก็เพียงใกล้เคียงขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด”

จ้าวเฟิงชัดเจนอยู่ในใจ

อีกทั้งแม้เขากับปิงเว่ยเซียนจื่อต่อสู้กัน ทว่าส่วนมากเขาจะป้องกันเป็นหลัก ลดการใช้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่นั้น แม้จ้าวเฟิงจะสามารถหยิบยืมมาได้ในยามนี้ ทว่าใช้ไปเท่าใด มันก็ลดน้อยลงเท่านั้น

หรืออีกนัยหนึ่ง

แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนี้เป็นแหล่งที่ ‘ตายแล้ว’ ไม่อาจที่จะเพิ่มปริมาณของมันได้

มีเพียงแค่แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนี้ถูกถ่ายทอดไปยังจ้าวเฟิงทั้งหมด เด็กหนุ่มจึงจะสามารถฟื้นฟูมันผ่านร่างกายได้

ในยามนั้น

จ้าวเฟิงถึงจะเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้จริงๆ

ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงให้ความสำคัญกับการป้องกันเป็นอย่างแรก บางครั้งจึงใช้เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าในการข่มขู่ปิงเว่ยเซียนจื่อให้เกิดความกังวล

อีกนัยหนึ่ง จ้าวเฟิงกำลังลอบเปลี่ยนแปลงหลอมรวมแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่ผ่านหน่อสำนึกรู้

ทุกครั้งที่ถ่ายทอดไปได้ส่วนหนึ่ง พลังฝึกตนที่ ‘แท้จริง’ ของจ้าวเฟิงก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version