Skip to content

King of Gods 379

King Of Gods

บทที่ 379 : เจตจำนงแห่งโบราณกาลข้ามผ่านกาลเวลา

งานชุมนุมเซียนมังกรแต่ละครั้ง จำนวนของอัจฉริยะเซียนมังกรมีทั้งหมด 100 คน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

อาจกล่าวได้ว่านาม ‘อัจฉริยะเซียนมังกร’ ไม่ใช่เพียงแค่เกียรติยศ มันยังมีสิทธิอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือมรดกยู่ไว่

มีเพียงผู้ครอบครองฐานะอัจฉริยะเซียนมังกรที่ล้วนเป็นทายาทแห่งสรวงสวรรค์ที่แข็งแกร่ง จึงจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในมรดก

ดังนั้นแล้ว อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหนึ่งร้อยจึงนับเป็นสันปันน้ำขนาดใหญ่

อัจฉริยะที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า ล้วนคาดหวังว่าจะสามารถติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร กลายเป็นอัจฉริยะเซียนมังกรได้

แต่น่าเสียดายนักที่การไปให้ถึงจุดหมายนี้ได้ช่างยากลำบากยิ่งนัก

จะอย่างไร อัจฉริยะทุกคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรยามแรกก็มีหลายพันคน สุดท้ายผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนเหลือเพียงหนึ่งร้อยคน การแข่งขันจะรุนแรงมากมายเพียงใดกัน?

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ในมิติ เหล่าอัจฉริยะที่ถูกตัดออกได้เดินออกจากแท่นเคลื่อนย้าย

สุดท้ายแล้ว

เหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหนึ่งร้อยคน

พวกเขาคือผลผลิตที่แท้จริงของทวีป เป็นอัจฉริยะเซียนมังกรที่แท้จริง มีโชคชะตาที่จะเป็นผู้ชี้นำ

จ้าวเฟิงใช้ดวงตาเทพเจ้ากวาดมองไป อัจฉริยะร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกรมีคนของทวีปเหนืออยู่มากกว่า 20 คน มากถึง 27-28 คน

แดนเหนือ แดนใต้ แดนตะวันออก แดนตะวันตก และแดนกลาง แดนทั้งห้าของทวีป รวมทั้งหมดหนึ่งร้อยคน

โดยปกติแล้ว แต่ละด้านจะมีคนราวๆ 20 คน

เมื่อเป็นเช่นนี้ นับว่าทวีปเหนือในครั้งนี้ได้เหนือกว่าผลลัพธ์ของเมื่อสิบปีที่แล้ว

คนที่จ้าวเฟิงรู้จักก็มีไม่น้อยอย่างซินอู๋เหิน จ้าวหยูเฟ่ย โม่เทียนอี้ หลิวฉินซิน ชางหยูเยว่ จินไท่จื่อ หวังเสี่ยวก้วย เจียงซานเฟิง และคนอื่นๆ เป็นต้น

นี่นับว่าค่อนข้างน่าเสียดายที่เป่ยม่อพลาดหนึ่งร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร แต่ด้วยผลงานในรอบแรกของเขา แม้จ้าวเฟิงจะพยายามคิดอยากจะดูแลก็ยังยาก

หลังจากที่เลือก ‘ร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร’ แล้ว ลานประลองชางกู่ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น

ครืนนน

ลานประลองขนาดยักษ์ได้ส่องแสงเล็กๆ ก่อนจะกลายเป็นสีดำเงา

“เพ้ย!”

“เกิดอันใดขึ้น!”

ยอดฝีมือนับแสนบนที่นั่งผู้ชมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในทันที

ทั่วทั้งลานประลองชางกู่ได้กลับกลายเป็นสีดำสนิท

มีเพียงแค่มิติเยื่อแสงโปร่งใสที่ส่องสว่าง

ครืนนนน

เยื่อแสงนั้นได้ส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่วทุกพื้นที่ ส่งเสียง ‘เปรี้ยง’ ออกมา

จากนั้น

เมื่อแสงของมิตินั้นส่องสว่างจนถึงขีดสุดก็ได้พุ่งสูงทะลุชั้นเมฆ ราวกับจะเผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามอยู่จางๆ

จากมุมมองนี้ไม่เพียงแค่เห็นลานประลองชางกู่และภาพมรดกด้านบน ทว่ายังสามารถเห็นภูเขารูปปั้นศิลารอบด้านได้ด้วย

“เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันได้รึยัง?”

บนแท่นสูง ผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ยังไม่ได้เลย! เราขาดความเข้าใจในมิติเยื่อแสงนั่น มันจะต่อต้านผู้ที่ไม่มีวาสนาเซียนมังกร”

ผู้อาวุโสเคราขาวที่อยู่ห่างออกไป หลังจากที่ทดสอบดูก็ส่ายศีรษะเอ่ย

นับตั้งแต่รอบที่สอง สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้สูญเสียการควบคุมงานชุมนุมเซียนมังกรไป

สถานการณ์เช่นนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีนั้นคือมันไม่มีการการแทรกแซง สามารถทำให้งานชุมนุมเซียนมังกรดำเนินต่อไปด้วยความยุติธรรมมากขึ้นได้

ทว่าข้อเสียคือมันได้นำมาซึ่งการสูญเสียจำนวนมาก

ตัวอย่างเช่น งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ได้มีผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ตายไปหนึ่งคน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในงานหลายสิบครั้งก่อนหน้า

“ลานประลองชางกู่จะนำพางานชุมนุมเซียนมังกรไปที่จุดใดกัน?”

รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวทองแดงเอ่ยพึมพำกับตนเอง นัยน์ตาปรากฏความคาดหวังขึ้นหลายส่วน

ครืนนน เปรี้ยง!

ค่ายกลมิติได้ทำให้ ‘มิติเยื่อแสงโปร่งใส’ ลอยขึ้นช้าๆ ท่ามกลางลานประลองชางกู่สีดำสนิท

“อย่าได้บอกข้าว่านี่…”

นัยน์ตาของผู้อาวุโสหยูซิงเฉินส่องประกายวาบ

เมื่อเห็นว่ามีเพียงแค่มิติเยื่อแสงโปร่งใสนั่นที่เข้าใกล้กลุ่มเมฆที่ถูกรายล้อมไปด้วย ‘ภาพมรดก’

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม รับรู้ได้ว่าแสงทั่วทั้งมิติได้หม่นลงเล็กๆ

พื้นที่ภูเขาและแผ่นดินได้ลดน้อยลงอย่างช้าๆ

ในสายตาของเขา ภาพมรดกยู่ไว่เหล่านั้นได้เข้ามาใกล้เล็กๆ

บนเงาภาพเหนือก้อนเมฆสามารถเห็นรูปแบบภาพลักษณ์ของมรดกยู่ไว่ รวมทั้งภาพราชวังที่แตกต่างออกไป กระทั่งสามารถเห็นเผ่าพันธุ์จากยู่ไว่ที่แตกต่างออกไปได้ แม้ว่าเงาภาพเหล่านั้นจะค่อนข้างพร่าเลือนก็ตาม

“มรดกฉวนปิง!”

ปิงเว่ยเซียนจื่อมองไปยังเงาภาพมรดกที่มีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือศีรษะ รู้สึกประหลาดใจและยินดีไปพร้อมๆ กัน

ตั้งแต่เริ่มงานชุมนุมเซียนมังกรมาจนถึงยามนี้ ภาพมรดกที่ปรากฏขึ้นมีราวๆ สิบมรดก ทว่ากลิ่นอายที่ทรงพลังของ ‘มรดกฉวนปิง’ ได้ครอบคลุมกดดันมรดกอื่นๆ ไปเสียสิ้น

การปรากฏขึ้นของมรดกฉวนปิง สำหรับผู้ฝึกตนในธาตุน้ำแข็งแล้วนับว่าเป็นโชคดี

ทว่าปิงเว่ยเซียนจื่อคือผู้ฝึกตนธาตุเหมันต์ที่แข็งแกร่งที่สุด ก่อนหน้ายังเคยเข้าไปในมรดกฉวนปิงสาขา มีประสบการณ์มาก

ในยามนี้

สายเลือดและปราณจิตวิญญาณในร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อได้มีปฏิกิริยาแปลกประหลาด ตอบสนองกับมรดกฉวนปิงจางๆ

ดวงตาเทพเจ้าและสายเลือดของจ้าวเฟิงก็รับรู้ได้

จะอย่างไร สายเลือดของเขาในยามนี้ก็มีธาตุน้ำแข็ง

“หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่ามรดกฉวนปิงก็ดูจะเหมาะกับข้าอยู่?”

จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

สี่มหามรดกคือมรดกที่มีพลังมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นมรดกใดก็แข็งแกร่ง

เมื่อคิดไปคิดมา

จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจพิจารณามรดกฉวนปิงสักหน่อย

ทว่าเขาเองก็ยังกังวลอยู่บ้างในด้านของพลังอัสนีและศาสตร์แห่งวิญญาณโบราณ

สำหรับเรื่องธาตุน้ำแข็งนั้น จ้าวเฟิงไม่อาจมั่นใจได้ว่าดวงตาเทพเจ้าของตนเองจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกธาตุหรือไม่

เมื่อเป็นเช่นนี้ การเลือกมรดกฉวนปิงก็มีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง

“ในยามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องคิดเรื่องนี้ ทุกงานชุมนุมเซียนมังกรมีทั้งหมดสามรอบ มันควรจะมีอีกรอบหนึ่ง”

จ้าวเฟิงเลิกคิดเรื่องนี้

ไม่นาน

ค่ายกลมิติรอบเยื่อแสงโปร่งใสก็ได้หายไป

ลานประลองชางกู่สีดำสนิทใกล้ชั้นเมฆก็ได้แสดงภาพลานประลองขนาดยักษ์เสมือนจริงขึ้น

เหตุผลที่เอ่ยว่าเสมือนจริงนั้นเป็นเพราะลานประลองใหม่นั้นยังมีรูปลักษณ์เช่นเดิม เพียงแค่ลดขนาดลงเท่านั้น

หากมองจากที่ไกลๆ มันก็ดูเหมือนกับเกาะลอยเล็กๆ

ลานประลองลอยฟ้า!

ยอดฝีมือและอัจฉริยะบนที่นั่งผู้ชมนับแสนรู้สึกตื่นตะลึง

งานชุมนุมเซียนมังกรในยามนี้ ภาพของลานประลองชางกู่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

ในยามนี้

ภูเขารูปปั้นศิลารอบลานประลองชางกู่ที่เป็นตัวตนแห่งตำนานทั้งหลายได้จับจ้องไปยังลานประลองสีดำสนิทด้วยสายตาที่ราวกับมีชีวิต

เหนือศีรษะของเหล่าผู้ชมคือ ‘ลานประลองลอยฟ้า’

ด้านบนของลานประลองลอยฟ้าคือภาพมรดกยู่ไว่

สิ่งเหล่านี้ได้พลักดันในงานชุมนุมเซียนมังกรเข้าสู่จุดสูงสุด

อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหนึ่งร้อยคนได้ถูกแยกกระจัดกระจายไปทั่วลานประลองลอยฟ้า แหงนหน้ามองไปยังเงาภาพมรดกยู่ไว่ที่แปลกประหลาดมากมาย

“รอบสุดท้ายแตกต่างจากในอดีตนัก”

“ในปีก่อนๆ รอบที่สามคือการแข่งขันแย่งชิงอันดับในร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร แย่งชิงอันดับหนึ่ง แย่งชิงสามอันดับแรก แย่งชิงสิบอันดับแรก…”

ผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“แล้วยังไม่มีกฎอีกหรือ? อัจฉริยะเซียนมังกรเหล่านี้อาจเรียกได้ว่าเป็นบุตรหลานแห่งสวรรค์ หนึ่งในล้านล้านคนของทวีปเลยเชียวนะ”

เสียงพูดคุยดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

ทั่วทั้งลานประลองชางกู่สีดำสนิทได้เผยภาพลานประลองลอยฟ้า ภูเขารูปปั้นศิลา รวมทั้งภาพมรดกให้เห็นได้อย่างชัดเจน

และ

แสงของลานประลองลอยฟ้าได้ส่องสว่างเจิดจ้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม

ภูเขารูปปั้นศิลาค่อนข้างหม่นหมอง บ้างก็ปรากฏแสงประหลาดเจิดจ้าขึ้น

ภาพมรดกดูเห็นได้ชัดอยู่บ้าง

ในขณะที่ผู้คนต่างคาดเดากังวลไป การเปลี่ยนแปลงก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

เปรี้ยง

ภูเขารูปปั้นศิลารอบด้านได้ปรากฏความสั่นไหวขึ้นอย่างชัดเจน

“เกิดอันใดขึ้น?”

ผู้ชมทั้งแสนในลานประลองชางกู่ชะงักงันไป

ครืนนน

ทันใดนั้น รูปปั้นศิลาทั้งหลายที่มีความสูงกว่าหนึ่งร้อยหลาพลันส่องประกายแปลกประหลาด

รูปปั้นศิลานั้นมีรูปลักษณ์ของวานรตัวขนาดยักษ์ ในยามนี้ดูราวกับมีชีวิตขึ้น ส่งกลิ่นอายโบราณออกมา

โฮกกกก

เสียงคำรามน่าตื่นตะลึงดังขึ้นแผ่วเบา ดังขึ้นจากรูปปั้นอสูรวานรนั้น กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน

ฟุ่บ!

รูปปั้นศิลาวานรที่สูงใกล้หนึ่งร้อยหลาได้ปรากฏเงาวานรขนาดยักษ์ขึ้น พุ่งตรงไปยังลานประลองลอยฟ้าดัง ‘ฟุ่บ’

“เป็นกลิ่นอายที่ทรงพลังนัก ภูเขารูปปั้นศิลานี่ไม่ธรรมดาโดยแท้ มีพลังลึกลับอยู่ในระดับหนึ่ง”

ดวงเทพเจ้าของจ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงเงาของวานร

ฟุ่บ!

เงาวานรนั้นได้หล่นลงไปยังเหนือศีรษะของชายหนุ่มอัจฉริยะเซียนมังกรผู้หนึ่งที่มีรูปลักษณ์ไม่โดดเด่น

หวังเสี่ยวก้วย!

อัจฉริยะจากอาณาจักรนภาอุทานออกมา

ตราคำสั่งเซียนมังกรในมือของหวังเสี่ยวก้วยได้กลับกลายเป็นปราณมังกรเข้มข้น กลายเป็นเงาวานรเกาะติดซึมเข้าไปในร่างกาย

สุดท้ายแล้วปราณจิตวิญญาณก็ได้ส่งเสียงออกมาครั้งหนึ่ง วาสนามังกรได้ถูกกลืนกินไปโดยเงาวานรนั้นอย่างสมบูรณ์

ครืนนนน

เงาวานรที่กลืนกินวาสนามังกรเข้าไปได้ส่องแสงสว่างเจิดจ้า รูปลักษณ์ชัดเจนกว่าเดิม เกาะติดอยู่กับร่างของหวังเสี่ยวก้วย

โฮกกกก

หวังเสี่ยวก้วยคำรามออกมาอย่างตื่นเต้น มือทั้งสองตีอก ราวกับราชาอสูรจำแลงกาย แก่นแท้ ปราณ และจิตต่อสู้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ดวงตาก็ราวกับปรากฏความเข้าใจในบางอย่างอย่างชัดเจน

ในยามนี้ กลิ่นอายที่ร่างของหวังเสี่ยวก้วยส่งออกมาทำให้อัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ ต้องหวาดกลัว รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็น

“นี่… นี่คือเจตจำนงแห่งโบราณกาลข้ามผ่านกาลเวลา!”

“สวรรค์ ไม่คิดว่าตำนานจะเป็นความจริง ภูเขารูปปั้นศิลาเหล่านี้ได้มีตัวตันอันเป็นที่สุดอยู่ กระทั่งมีเจตจำนงของเทพโบราณบางตนอยู่”

ผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง มองไปยังภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

เมื่อมีเงาวานรสูงเกือบร้อยหลานั่นเกาะติดอยู่ พลังต่อสู้ของหวังเสี่ยวก้วยเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน พลังสายเลือดถูกกระตุ้นมากขึ้นกว่าเดิม ส่งกลิ่นอายน่าหวาดกลัวออกมา

เปรี้ยง!

กระบองสีเงินทองในมือหวังเสี่ยวก้วยวาดออก พลังมากมายตามมาด้วยเงาขนาดยักษ์ที่ไปพร้อมกับการวาดกระบองนั้น ทำให้อัจฉริยะเซียนมังกรที่อยู่ใกล้ๆ สั่นสะท้าน กระเด็นลอยออกไปพร้อมกับกระอักโลหิต

“เป็นไปได้อย่างไร…”

เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรต่างใบหน้าขาวซีดลง

ในบรรดาหนึ่งร้อยคน พลังและตำแหน่งของหวังเสี่ยวก้วยนับว่าอยู่ในอันดับท้ายๆ

อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนใกล้ๆ นั้นก่อนหน้าเหนือกว่าหวังเสี่ยวก้วย แต่บัดนี้กลับถูกกวาดไปโดยกระบองเดียวจนกระเด็นลอย

ครืนนน

ภูเขารูปปั้นศิลาอีกสองรูปปั้นได้สร้างเงาขนาดยักษ์ขึ้น หนึ่งดูเหมือนเทพโบราณในชุดเกราะสีดำ และวิญญาณยักษ์มารที่มีหางเป็นงู

ฟุ่บ ฟุ่บ

เงาใหญ่ทั้งสองลอยไปยังลานประลองลอยฟ้า

อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหนึ่งร้อยพลันเผยสีหน้าคาดหวังออกมา

พลังของเงายักษ์นี้คือตัวแทนความชื่นชอบของเจตจำนงโบราณ เป็นพลังที่ข้ามผ่านห้วงเวลามายังลานประลองชางกู่ เกาะติดกับอัจฉริยะที่เลือก

ไม่นาน อัจฉริยะทั้งสองที่ได้รับความชื่นชอบจากเงาขนาดยักษ์ของรูปปั้น ได้รับเจตจำนงโบราณที่ข้ามผ่านกาลเวลา พลังพลันเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว

ในเวลาเดียวกัน

บนภูเขารูปปั้น รูปปั้นขนาดยักษ์หลายรูปได้ส่องแสงสว่างจ้า ส่งเสียงกระซิบคำรามแผ่วเบา… พลังที่น่าอัศจรรย์ทุกรูปแบบได้สั่นไหวไปมาในลานประลองชางกู่

ไม่นาน

เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลากว่าสิบเงาก็ได้ไปถึงร่างของอัจฉริยะแต่ละคน

เงาสตรีงดงามที่ถือพิณหยกสูงเกินกว่าร้อยหลาได้ไปยังร่างของ ‘หลิวฉินซิน’ ฝ่ายหลังปิดเปลือกตา ใกล้ใบหูปรากฏเสียงดนตรีโบราณไพเราะขึ้น

พลังที่ข้ามผ่านกาลเวลาเหล่านี้แทบจะทำให้พลังของอัจฉริยะแต่ละคนเพิ่มขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ พลังของแต่ละคนนั้นกระทั่งใกล้เคียงกับระดับของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

“หืม?”

จ้าวเฟิงพลันรับรู้ขึ้นได้

ในภูเขารูปปั้นได้มีรูปปั้นขนาดยักษ์หลายรูปส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน สายตาส่องประกาย ‘จับจ้อง’ มายังเขา

รูปปั้นยักษ์เหล่านี้มีความสูงเกินกว่าหนึ่งร้อยหลาเป็นอย่างน้อย เหนือกว่าเงาก่อนหน้า สายตาเหล่านั้นราวกับกำลังคาดหวังจะพูดคุยกับจ้าวเฟิง เฝ้ารอการตอบรับของเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!