Skip to content

King of Gods 378

King Of Gods

บทที่ 378 : พรสวรรค์เซียนมังกร

ในลานประลองชางกู่

เหล่าผู้ชมและยอดฝีมือจากหลายแดนกว่าหมื่นคนต่างจ้องมองไปยังภาพการต่อสู้ครั้งนี้

ตั้งแต่เริ่มต้นงานชุมนุมเซียนมังกรมาจนถึงยามนี้ พลังของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นับว่าไม่อาจหาผู้ใดเทียบ ไม่อาจสั่นคลอน

ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่างานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้จะมีผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่ต้องร่วงหล่นลงจากฟากฟ้าทั้งยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเช่นแฝดไท่หยุน

กระทั่งการปรากฏตัวขึ้นของจ้าวเฟิงม้ามืดแห่งปาฏิหาริย์นี้ทำให้ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้

ตอนแรกเขาได้ประลองกับปิงเว่ยเซียนจื่อจนเสมอ สั่นคลอนสถานะของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เป็นครั้งแรก จากนั้นจึงโจมตีผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้จนบาดเจ็บกลายเป็นผู้ถูกเลือกคนใหม่

กระทั่งยามนี้ การตายของแฝดไท่หยุนเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างมาก

แม้ว่าจะเป็นชื่อเฉิงเทียนที่ลงมือฆ่าแฝดไท่หยุน ทว่าผู้ที่คนส่วนมากให้ความสนใจกลับเป็นเด็กหนุ่มผมฟ้าที่ยืนหลังเหยียดตรงอยู่บนผาสูงนั้น

แทบจะไม่ได้ลงมืออันใด ใช้เพียงการจู่โจมไปยังจุดอ่อนในจิตใจ จ้าวเฟิงกลับสามารถไล่ต้อนแฝดไท่หยุนให้เข้าสู่สถานการณ์สิ้นหวังได้

ขณะที่มองไปยังแฝดไท่หยุนที่โดนขยี้อย่างไม่อาจต่อต้าน สีหน้าของจ้าวเฟิงก็ยังคงไร้ความรู้สึกว่างเปล่าเช่นเดิม

ในยามนี้

วาสนามังกรบนร่างของเขาได้อยู่ในระดับของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อย่างแท้จริง ไม่ต่างจากชื่อเฉิงเทียนมากนัก เหนือกว่าตันไถ่หลันเยว่และปิงเว่ยเซีนจื่อ

“พลังต่อสู้ของแฝดไท่หยุนนั้นแม้จะแข็งแกร่ง ทว่าขอบเขตจิตวิญญาณกลับด้อยที่สุดในบรรดาผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งห้า โดยเฉพาะความวิปลาส รอยแผลบนจิตใจ การใช้ ‘เนตรใจวิญญาณ’ นับว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม”

จ้าวเฟิงคิดถึง ‘สี่วิชาดวงตา’ ที่ตนเองได้ฝึกฝนอยู่ในยามนี้

‘คุกลวงตา’ เป็นวิชาพลังจิตมายา กักขังคู่ต่อสู้เอาไว้ ไม่มีพลังโจมตีตรงๆ

‘เนตรใจวิญญาณ’ มุ่งโจมตีไปยังจุดอ่อนของจิตใจศัตรู กระทั่งสามารถควบคุมทำให้บาดแผลในขอบเขตจิตวิญญาณแผ่ขยายขึ้น

‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ มีพลังธาตุน้ำแข็ง โจมตีแช่แข็งความรู้สึกนึกคิดของคู่ต่อสู้ตรงๆ

‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ใช้เปลวเพลิงจิตวิญญาณอัสนีในร่างเป็นแหล่งพลัง หลอมรวมกับพลังของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า โจมตีไปยังกายเนื้อและจิตวิญญาณพร้อมกัน

สี่วิชาดวงตานี้ไม่มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่เป็นที่สุด

ด้านการโจมตี ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ย่อมแข็งแกร่งที่สุด แต่บางครั้งก็ไม่ใช่วิชาที่จะสามารถใช้ออกได้โดยง่าย

ตัวอย่างเช่น ยามที่ต่อสู้กับชื่อเฉิงเทียน การใช้เนตรจิตวิญญาณเหมันต์อย่างต่อเนื่องร่วมกับการโจมตีระยะไกลกลับสามารถไล่ต้อนอีกฝ่ายได้ แต่หากใช้เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้ากลับไร้ผล

และตัวอย่างเช่นยามที่ต่อสู้กับแฝดไท่หยุน จุดอ่อนในจิตใจของทั้งสองนั้นชัดเจน ในสถานการณ์ที่ขอบเขตจิตวิญญาณใกล้เคียงกัน จ้าวเฟิงใช้ ‘เนตรใจวิญญาณ’ เอาชนะโดยไม่แม้แต่จะลำบากยกมือ

“วิชาดวงตาทั้งสี่สามารถทำให้ข้ารับมือกับศัตรูส่วนมากได้ มีเพียงแค่ขอบเขตหรือพลังของคู่ต่อสู้สูงเกินกว่าข้าไปมากเท่านั้นที่จะเป็นปัญหา”

ในใจของจ้าวเฟิงวิเคราะห์

บนแท่นสูง

ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้ามองไปยังการตายของแฝดไท่หยุนอย่างจนใจ ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้

งานชุมนุมเซียนมังกรได้เข้าสู่สถานการณ์ที่ถูกควบคุมโดยลานประลองชางกู่อย่างอัตโนมัติแล้ว

“น่าเสียดายนักสำหรับอัจฉริยะที่แปลกประหลาดเช่นนั้น หากสามารถบรรลุสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ในอนาคต พลังย่อมไม่อาจคาดเดา ตั้งแต่ทวีปถือกำเนิดขึ้นก็ยังไม่เคยมีผู้สูงศักดิ์พี่น้องที่ใช้ร่างเดียวกันมาก่อนแม้แต่คนเดียว”

ผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งอดที่จะเอ่ยขึ้นอย่างเสียดายไม่ได้

ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นั้น โดยปกติแล้วนานๆ ครั้งจึงจะปรากฏขึ้นสักคน

แม้ว่าแฝดไท่หยุนจะโหดเหี้ยมกระหายเลือด การร่วงหล่นของเขาก็ได้ทำให้ผู้สูงศักดิ์หลายคนต้องทอดถอนใจ

“จุดอ่อนของแฝดไท่หยุนคือความวิปลาส หากไม่กำจัด แม้ต้องการเป็นผู้สูงศักดิ์ในอนาคตก็คงไม่ง่ายดาย บางทีเด็กพวกนี้อาจจะเข้าสู่หนทางมารเสียด้วยซ้ำ”

หยูซิงเฉินส่ายศีรษะเล็กๆ

ความแข็งแกร่งนับเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าบางครั้งจิตใจ ความมุ่งมั่น และด้านอื่นๆ ในการฝึกตน เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งแล้วยังนับว่าสำคัญกว่า

ยอดฝีมือนั้น อย่างแรกจำต้องมีหัวใจของยอดฝีมือก่อนจึงจะสามารถควบคุมพลังของยอดฝีมือได้

มันคือความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และพลังฝึกตน

ดังนั้น การฝึกตนจึงมีการฝึกฝนจิตใจด้วย

“ด้านจิตใจความตั้งมั่น ในงานชุมนุมเซียนมังกรนี้อาจกล่าวได้ว่ามีสามคนที่เป็นที่สุด แทบไม่มีจุดอ่อนใด”

รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงเปิดปากพูดอย่างเชื่องช้า

“สามคนใดกัน?”

“หยูเทียนฮ่าวมีความเชื่อมั่นที่ไม่อาจหาผู้ใดเทียบเคียง มีความมั่นใจเหนือผู้ใด ซินอู๋เหินไร้ซึ่งความหวั่นไหวแม้ได้รับหรือสูญเสียสิ่งใด ราวกับผิวน้ำที่ราบเรียบ สุดท้ายคือจ้าวเฟิง อารมณ์ของเขาเยือกเย็นสงบนิ่งอยู่เสมอ แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์วิกฤตหรือถูกไล่ต้อนจนเข้าตาจนก็ตาม”

“ถูกแล้ว จิตใจอารมณ์ของทั้งสามคนเป็นสิ่งที่ไร้ที่ติ”

ผู้สูงศักดิ์หลายคนผงกศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน

คนผู้หนึ่ง หากมีจิตใจของยอดฝีมือ ไม่ช้าก็เร็วย่อมกลายเป็นยอดฝีมือ

บางทีนี่ก็อาจเป็นเรื่องที่จ้าวเฟิงไม่ได้คาดคิด การเปลี่ยนแปลงของดวงตาเทพเจ้านั้นไม่เพียงเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขา ทว่าได้ปรับเปลี่ยนความรู้สึกส่วนลึกของเขาด้วย

ในบรรดาสามคนที่รองหัวหน้าสหพันธ์เอ่ยถึง หยูเทียนฮ่าวและจ้าวเฟิงเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ตำแหน่งพลังต่อสู้ล้วนเป็นที่สุด

ซินอู๋เหินอยู่ในระดับที่เทียบเคียงกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างน้อย กระทั่งอาจสามารถรับมือกับผู้ถูกเลือกทั่วไป ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้แน่ชัด

ในมิติ

ผู้ถูกเลือกสมัยเก่าได้ถูกกำจัด ย่อมมีผู้ถูกเลือกคนใหม่มาทดแทน

ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ในยามนี้มีทั้งหมดห้าคน หยูเทียนฮ่าว ชื่อเฉิงเทียน จ้าวเฟิง ตันไถ่หลันเยว่ และปิงเว่ยเซียนจื่อ

ในบรรดาคนทั้งหมด วาสนามังกรของหยูเทียนฮ่าวเป็นอันดับหนึ่ง

จากนั้นจึงเป็นชื่อเฉิงเทียนและจ้าวเฟิงที่ไม่รู้ว่าผู้ใดเหนือกว่า

ผู้ที่มีวาสนามังกรต่ำที่สุดคือปิงเว่ยเซียนจื่อที่ในรอบแรกถูกแย่งชิงไปส่วนหนึ่งโดยจ้าวเฟิง

“จ้าวเฟิง เจ้าช่วยชีวิตข้า คนแซ่ชื่อผู้นี้ติดหนี้บุญคุณเจ้า นี่คือ ‘จี้หยกใจผา’ เป็นสมบัติที่ตระกูลชื่อของข้าสืบทอดต่อกันมาจากในอดีต ในยามนี้มอบให้เจ้าไปก่อน เมื่อใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือสามารถไปยังตระกูลชื่อเพื่อหาตัวข้าได้”

ชื่อเฉิงเทียนมอบจี้หยกที่ดูเหมือนไร้ค่าให้จ้าวเฟิงด้วยท่าทีจริงจัง

จ้าวเฟิงรับ ‘จี้หยกใจผา’ มาก่อนจะพบว่าภายในเต็มไปด้วยไอสวรรค์ธาตุดิน ทั้งยังสามารถใช้ทำสิ่งอื่นได้อีกมาก มูลค่าของสิ่งนี้ควรจะใกล้เคียงกับอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับสูง

การมอบให้ด้วยเจตนาดีเช่นนี้ จ้าวเฟิงย่อมไม่ปฏิเสธ

“ดี ยามที่ข้ากลับไปยังสิบสามแคว้น ต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของแคว้นเมฆาคล้อย อาจจะต้องการผู้ช่วย”

ในใจของจ้าวเฟิงคาดคำนวณ

หลังจากที่ชื่อเฉิงเทียนเอ่ยลา จ้าวเฟิงก็กลับไปเจอกับพวกเจียงซานเฟิงทั้งสองที่อยู่เบื้องหลัง

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ในยามนี้ยังคงปรากฏความตื่นตะลึงอยู่บนใบหน้า

ก่อนหน้าที่พวกเขาจะออกเดินทางมาหาเรื่องแฝดไท่หยุน ในใจยังปรากฏความกระวนกระวายอยู่บ้าง

ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าจ้าวเฟิงใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่า สามารถทำลายแฝดไท่หยุนแบบถอนรากถอนโคนจริงๆ

“ดีแล้วที่ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาดแฝดไท่หยุนนี่ตายแล้ว! ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ คนมากมายได้ตายตกด้วยน้ำมือของพวกมัน”

ความโกรธแค้นของเจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่จางหายไปอย่างมาก

ก่อนหน้า เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมมอบตราคำสั่งเซียนมังกรให้อีกฝ่ายแต่โดยดีจึงเกือบโดนฆ่าโดยแฝดไท่หยุน

หลังจากที่จัดการเรื่องของแฝดไท่หยุนเสร็จเรียบร้อย พวกจ้าวเฟิงทั้งสามก็กลับไปยังเขตแม่น้ำ ไปเจอกับคนของสำนักเทียนหยวนทั้งสาม

จ้าวหยูเฟ่ยยังคงอยู่ในการสร้างสมดุลให้พลังฝึกตน พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองทำหน้าที่คุ้มกัน

ในยามนี้ พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองยังไม่รู้ข่าวการตายของแฝดไท่หยุน เมื่อรับรู้ความจริงจิตใจก็สั่นสะท้านไม่น้อย

สองวันต่อมา

จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ไม่ได้ออกไปหาตราคำสั่ง

พวกเขามีตราคำสั่งเซียนมังกรอยู่ และวาสนามังกรบนร่างเองก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง

ในบรรดาห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

หยูเทียนฮ่าวมักจะปรากฏตัวขึ้นบ้าง

ชื่อเฉิงเทียนกำลังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ

ตันไถ่หลันเยว่เองก็อยู่ในช่วงการฟื้นฟู ให้สัตว์เลี้ยงออมแรงเอาไว้

จ้าวเฟิงได้ทำความเข้าใจในการต่อสู้ระหว่างหยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินซ้ำๆ

มีเพียงปิงเว่ยเซียนจื่อที่ออกไปหาวาสนามังกรอยู่บ่อยๆ เพิ่มวาสนามังกรของตนเอง

ทว่า

ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นั้นมีวาสนามังกรใหญ่โต ทำให้ได้รับตราคำสั่งเซียนมังกรเพียงไม่กี่ตรา อัตราการเติบโตไม่มากนัก

นี่เองก็เป็นเหตุผลจ้าวเฟิงหยุดเคลื่อนไหว

เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิ ดวงตาทั้งสองปิดสนิททำความเข้าใจ ในมิติในดวงตาซ้ายปรากฏภาพการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยเจตจำนงลึกล้ำของคนทั้งสอง

“ดาราเคลื่อนคล้อย… แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณกลับสู่สามัญ… หลอมรวมกับฟ้าดิน…”

ในการทำความเข้าใจแก่นแท้เจตจำนงของ ‘ดาราเคลื่อนคล้อย’ ของจ้าวเฟิงได้หยิบยืมการใช้พลังของคัมภีร์บุปผาลึกลับมาเป็นพิเศษ เปรียบเทียบการเชื่อมต่อของมันในส่วนที่สอดคล้องกัน

การทำความเข้าใจใน ‘ดาราเคลื่อนคล้อย’ ได้ทำให้จ้าวเฟิงสามารถรักษาพลังได้มากขึ้นกว่าเดิม

ทว่า ‘แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน’ นั้นไม่เพียงแค่สามารถกระตุ้นความสามารถให้มากขึ้นกว่าเดิม ทำลายขีดจำกัดของร่างกาย สิ่งที่สำคัญคือมันสามารถเพิ่มขอบเขตจิตวิญญาณและหน่อสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงได้ด้วย

แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณกลับสู่สามัญได้กลายเป็นสิ่งที่นำทางจ้าวเฟิงไป

หลอมรวมฟ้าดินได้แตะสู่ชายขอบภายใต้การทำความเข้าใจได้ทำให้การใช้ ‘พลังอัสนี’ ลึกล้ำยิ่งขึ้น

วันแรก

จ้าวเฟิงได้ทำความเข้าใจ ‘แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน’ รู้สึกว่าความสามารถของร่างกายและขอบเขตจิตวิญญาณได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

วันต่อมา

จ้าวเฟิงทำความเข้าใจมรดกอัสนี ก้าวเข้าไปที่ชายขอบของชั้นที่สามอีกครั้งได้สำเร็จอย่างคาดไม่ถึง

“มรดกอัสนีชั้นที่สาม จากข้อกำหนดต้องมีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้จึงจะสามารถข้ามธรณีประตูไปได้ บัดนี้มิคาดว่าจะทำได้สำเร็จ”

ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี

การเชื่อมต่อไอสวรรค์ของมรดกอัสนีชั้นที่สามนั้นมีข้อกำหนดสูงยิ่งนัก

แต่เพราะจ้าวเฟิงได้ทำความเข้าใจ ‘แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน’ สามารถทำลายกฎเกณฑ์ ฝึกฝน ‘มรดกอัสนี’ ชั้นที่สามได้

มรดกอัสนีชั้นที่สามนั้น ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำจะควบคุมเชื่อมต่อกับกระแสไฟฟ้าของฟ้าดินอันทรงพลัง ไอสวรรค์อัสนีได้เข้าสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง

แม้ว่าพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เทียบได้กับขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง ทว่าการใช้วิชาของมรดกอัสนีชั้นที่สามยังนับว่าเกินกำลังไปอยู่บ้าง

“เจตจำนงของซินอู๋เหินผู้นั้นอยู่ในระดับใดกัน? หากไม่เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขาเพียงธรรมดา ทั้งยังไม่มีพลังสายเลือด บางทีอาจมีพลังฝึกตนมากกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มไปแล้ว”

จ้าวเฟิงอดที่จะคาดเดาถึงซินอู๋เหินไม่ได้

ก่อนหน้า พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงเองก็ธรรมดายิ่งนักเช่นกัน ทว่าหลังจากได้ครอบครองดวงตาเทพเจ้า ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไป

ร่างกายที่แสนธรรมดานั่น ความเร็วการฝึกตนที่เชื่องช้านั่น จ้าวเฟิงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

วันที่เจ็ดในมิติ

ตราคำสั่งเซียนมังกรในมิติลดจำนวนลง

อัจฉริยะที่ไม่ได้ครอบครองตราคำสั่งเซียนมังกรอยู่มักจะโจมตีตอบโต้อยู่บ่อยครั้ง กระทั่งร่วมมือกันเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม

สถานการณ์ในยามนี้นับว่าตึงเครียดยิ่งนัก

ทว่าการต่อสู้นี้ไม่ได้ส่งผลต่อผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

เมื่ออยู่ในระดับของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้ว ความแข็งแกร่งอย่างน้อยก็เทียบเคียงได้กับขั้นนายเหนือแท้ วิธีการใช้คนหมู่มากรุมจะมีประโยชน์อันใด?

ดังนั้น

สถานการณ์ของจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ จึงค่อนข้างเงียบสงบ

จนกระทั่งวันนี้

จำนวนของตราคำสั่งเซียนมังกรในมิติลดลงเหลือเพียงหนึ่งร้อยตรา

ครืนน ครืนน

มิติเริ่มที่จะสั่นสะท้าน รวบรวมวาสนามังกรขนาดใหญ่

ภายในสามารถได้ยินเสียงคำรามของมังกรที่สั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณได้อย่างแผ่วเบา

จากมุมมองของลานประลองชางกู่ จากบนแท่นสูง เงาวาสนามังกรได้ท่องทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าทั้งหมดหนึ่งร้อยตัว

เงามังกรทองที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งห้าพลันพุ่งทะยานขึ้นสูงถึงสามหลา สร้างภาพวาสนามังกรที่ทรงพลัง วาสนามังกรในระยะหลายสิบลี้รอบด้านสั่นสะท้านไหวไปมา

รวมทั้งแสงของวาสนามังกรของผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับผู้ถูกเลือกก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีทองอย่างสมบูรณ์ ทว่ามีความสูงน้อยกว่าหนึ่งหลา

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ทันใดนั้น อัจฉริยะที่ไม่ได้ครอบครองตราคำสั่งเซียนมังกรอยู่หลายร้อยคนก็ได้หายไปจากมิติอย่างสมบูรณ์

อัจฉริยะที่เหลืออีกหนึ่งร้อยคนคือร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกรและยังเป็น ‘อัจฉริยะเซียนมังกร’ ที่เลื่องชื่อของทวีปอีกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!